หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 202
บทที่ 202
อะไรกัน!
โค่วชิงหลันตกใจจนอ้าปากค้างหุบไม่ลงเนิ่นนาน ลืมเลือนที่จะแสดงท่าทีอื่นใดไปชั่วขณะ
ฝ่ายเฉียวหว่านผู้หวงแหนพี่ชายนั้น แม้นางจะให้ความสนใจส่วนใหญ่ไปที่ตัวลูกกวาง กลับตอบสนองได้ในพริบตา ถลันเข้ามาตีมือเฉียวเจาพร้อมพูดอย่างขุ่นเคือง “ท่านแตะเนื้อต้องตัวพี่ใหญ่ข้าด้วยเหตุใด”
เฉียวเจาก้มหน้าจ้องมองมือข้างที่กุมประสานกับมือเฉียวโม่อยู่แล้วบังเกิดความคับข้องหมองใจอยู่หลายส่วนชอบกล นี่ข้าจับมือ มิใช่แตะเนื้อต้องตัว
มือของเฉียวโม่เห็นปล้องกระดูกชัดเจน นิ้วมือเรียวยาวขาวกระจ่างอ่อนนุ่มเฉพาะตัวคุณชายสูงศักดิ์ แต่อุ้งมือกลับเย็นเฉียบเสียจนเฉียวเจารู้สึกเจ็บแปลบปลาบตรงกลางอก
เฉียวโม่ดูเลื่อนลอยอยู่บ้าง
ชั่วพริบตานี้ เขาพลันหวนประหวัดถึงเด็กสาวที่เหลือบเห็นโดยบังเอิญท่ามกลางฝูงชนเนืองแน่นในวันแห่ศพน้องสาวคนโต ซึ่งนี่คือเหตุผลที่เขาไม่ได้สะบัดมือของสตรีแปลกหน้าออกทันทีทันใด
เด็กสาวนางนั้นมีดวงตาที่คล้ายคลึงกับน้องเจา ดวงตาก็คล้ายมากแล้ว ทว่าแววตายิ่งคล้ายมากกว่า
ยามนั้นในใจเขาปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด สอดส่ายสายตามองหาอีกแต่ไม่เห็นวี่แววของนาง ผู้ใดจะคิดว่าวันนี้นางจะปรากฏตัวเบื้องหน้าตนอย่างไม่ทันตั้งตัวเฉกนี้ ซ้ำยังมองเขาด้วยสายตาดังเดิม
เมื่อถูกเพ่งมองด้วยดวงตาคู่หนึ่งเช่นนี้ เขาจะฉุกคิดขึ้นว่าต้องปล่อยมือนางได้อย่างไร
ตอนเฉียวหว่านวิ่งเข้ามา เขาถึงตั้งสติได้รีบคลายมือออก แต่เด็กสาวกลับตวัดข้อมือวางปลายนิ้วบนข้อมือเขา
เฉียวหว่านเบิกตากว้าง พูดอย่างฉุนเฉียว “ท่าน…ท่านไม่อายหรือไร รีบปล่อยมือนะ ห้ามเอาเปรียบพี่ชายข้าอีก”
“เป็นเด็กดี อย่าเพิ่งพูด” เฉียวเจาเอื้อมมือไปลูบกระหม่อมดรุณีน้อย นิ้วแตะข้อมือของเฉียวโม่ไว้ไม่ผละออก สีหน้านางเคร่งเครียด
ยามที่แลเห็นสีหน้าแววตานิ่งสนิทของเด็กสาว เฉียวโม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง เขาไม่รู้ว่าสมควรผลักนางออกด้วยขัดกับธรรมเนียมหญิงชายไม่พึงใกล้ชิดกัน หรือว่านิ่งเฉยรอดูต่อไปเช่นนี้
แม้ว่าจริงๆ แล้วคุณชายเฉียวก็ไม่รู้ว่าจะรอดูอะไรต่อไป
“พี่ชิงหลัน ท่านพาสตรีมากตัณหามาจากที่ใดเจ้าคะ” เฉียวหว่านตัวเล็กแรงน้อย ได้แต่หันไปขอความช่วยเหลือจากโค่วชิงหลันอย่างกระฟัดกระเฟียด
เพลานี้โค่วชิงหลันได้สติเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ก้าวฉับๆ เข้าไปพูดตะกุกตะกัก “คะ…คุณหนูหลีซาน ท่านอย่าตื่นเต้นเกินไป สตรีทำเยี่ยงนี้ไม่ดีนะ”
มาตรว่าญาติผู้พี่จะเคยเป็นที่หลงใหลใฝ่ฝันของสตรีทั้งเมืองหลวง แต่บัดนี้เสียโฉมไปแล้ว ไฉนคุณหนูหลีซานยังตื่นเต้นเพียงนี้อีกเล่า
อะ…แต่คิดไปแล้ว นับได้ว่าคุณหนูหลีซานชมชอบญาติผู้พี่จากใจจริง จิตใจเช่นนี้ก็น่าประทับใจยิ่งนัก
ไม่ๆ ข้าคิดเหลวไหลอะไรอยู่ ญาติผู้พี่เป็นของพี่จื่อโม่!
โค่วชิงหลันถึงดึงสติคืนมาได้เต็มที่
สวรรค์…จะมิกลายเป็นว่าพี่จื่อโม่ชักศึกเข้าเรือนหรือไร
“คุณหนูหลีซาน ขืนท่านทำเช่นนี้ ข้าจะตะโกนเรียกคนแล้วนะ…” โค่วชิงหลันพูดขู่ด้วยสีหน้ามึนตึง
“อย่าตะโกน ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของคุณชายเฉียว” เฉียวเจาพูดตอบทันใด นิ้วมือนางยังแตะบนข้อมือเฉียวโม่อยู่ตลอด ในอกพลุ่งพล่านปั่นป่วนดุจคลื่นคลั่ง
โค่วชิงหลันอึ้งไป
นี่คือที่เรียกว่าคนเราสิ้นยางอาย ใต้หล้าไร้ผู้ใดต่อกรได้ใช่หรือไม่ คุณหนูหลีซานนึกถึงแต่ชื่อเสียงของญาติผู้พี่ ไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงตนเอง ฉะนั้นนางกลับเป็นฝ่ายโดนข่มขู่สินะ
คุณหนูรองสกุลโค่วงงงันไปกับคำขู่ของเฉียวเจา
“คุณหนูหลี จับชีพจรเสร็จแล้วหรือยัง” เมื่อบรรยากาศชักกระอักกระอ่วนเกินไป เฉียวโม่จึงอดอ้าปากพูดขึ้นไม่ได้ในที่สุด สุ้มเสียงเขาประหนึ่งน้ำใสไหลรินผ่านกลางใจคนในฤดูร้อน ปลุกปลอบอารมณ์ที่หงุดหงิดกระวนกระวายให้สงบลงได้ในพริบตา
โค่วชิงหลันเยือกเย็นลง นางย้อนถาม “จับชีพจร? คุณหนูหลีซาน ท่านยังตรวจโรคได้ด้วยหรือ”
มีตำรับยาลบรอยแผลชั้นดีในมือกับจับชีพจรตรวจโรคนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ท่านปู่บุญธรรมข้าคือหมอเทวดา” แม่นางเฉียวคลายมือออกจนได้ นางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย กิริยาท่าทางงดงามเข้าทียิ่งกว่าบุตรสาวตระกูลใหญ่ ดูไม่ออกแม้สักนิดว่าเมื่อครู่นี้ยังจับข้อมือบุรุษแปลกหน้าไว้ไม่ยอมปล่อย
“อ้อ” โค่วชิงหลันพยักหน้า
คำอธิบายนี้ฟังดูชอบด้วยเหตุผลมาก แต่ก็ดูเหมือนมีตรงใดทะแม่งๆ ชอบกล
“คุณชายเฉียว พวกเราไปทางโน้นจะได้หรือไม่ ข้าอยากสนทนากับท่านตามลำพัง”
“ได้” เฉียวโม่มองเฉียวเจาอย่างพินิจก่อนจะลูบศีรษะของน้องสาวอย่างปลอบประโลม จากนั้นก้าวขาเดินไปที่ที่เฉียวเจาชี้บอก
จวบจนทั้งคู่หยุดยืนห่างไปไม่ไกล โค่วชิงหลันถึงฉุกใจขึ้นได้ภายหลัง ไม่ถูกสิ ท่านปู่บุญธรรมของคุณหนูหลีซานเป็นหมอเทวดามิใช่เรื่องเท็จ แต่นี่เกี่ยวอะไรกับตัวคุณหนูหลีซานรู้วิชาแพทย์หรือไม่
“พี่ชิงหลัน คนที่ท่านพามาเป็นใครมาจากที่ใดกันเจ้าคะ” เฉียวหว่านทำหน้ามุ่ยแก้มป่องอย่างโมโหแกมไม่ชอบใจ
ในใจโค่วชิงหลันปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก “ข้าไม่รู้เช่นกัน”
นางก็อยากถามคำถามนี้กับพี่สาวของนางเช่นกัน
เฉียวโม่มองนางด้วยสีหน้าสุภาพนุ่มนวล พาให้เฉียวเจาขมปร่าในอก นางเอ่ยถามเสียงเบา
“คุณชายเฉียว เมื่อครู่ทำให้ท่านตกใจแล้วกระมัง”
“หามิได้ คุณหนูหลีซานทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลเป็นแน่” เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วหยักยิ้ม “กลับเป็นข้าต่างหาก มิได้ทำให้ท่านตกใจก็ดีแล้ว”
เฉียวเจาขอบตาร้อนผ่าว นางรีบกัดริมฝีปากไว้
ไม่ว่าจะถูกเคี่ยวกรำด้วยความทุกข์ยากลำบากใดๆ พี่ชายนางยังคงวางตัวได้ไร้ที่ติเสมอ
“คุณชายเฉียวได้พบกับหมอเทวดาหลี่แล้วกระมัง เขาเป็นท่านปู่บุญธรรมของข้าเองเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่คลายยิ้มแล้ว ในรอยยิ้มแฝงความใกล้ชิดเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ที่แท้หลานสาวบุญธรรมที่ท่านหมอเทวดาเอ่ยถึงก็คือคุณหนูหลีนั่นเอง”
“ท่านปู่หลี่เคยเอ่ยถึงข้ากับท่านหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว ท่านหมอเทวดายังบอกว่ารอท่านกลับมาจะแนะนำพวกเราให้รู้จักกันอีกด้วย” เฉียวโม่พูดอย่างเปิดเผยมาก
เฉียวเจาหลุบตาลง “ท่านปู่หลี่บอกอะไรๆ ไปหลายเรื่องแล้วหรือนี่”
ในเมื่อท่านปู่หลี่พูดกับพี่ใหญ่ตั้งมากมายเช่นนี้ จะไม่ได้บอกว่าเขาโดนพิษหอมสูญอย่างนั้นหรือ
หรือว่าพี่ใหญ่เพิ่งได้รับพิษหอมสูญเมื่อไม่นานมานี้ หากเป็นเช่นนี้ นางคงเป็นห่วงมากขึ้น ถึงอย่างไรตอนนี้พี่ชายของนางอยู่ในเรือนท่านตาแทบจะไม่ย่างเท้าออกนอกเรือน แล้วพิษนี้จะมาจากที่ใด เพียงคิดก็สะท้านเยือกในอกแล้ว
วันนี้นางต้องรู้ให้กระจ่างให้ได้!
“คุณชายเฉียวทราบหรือไม่ว่าตนเองโดนพิษแล้ว” เฉียวเจาเลือกวิธีเปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา
บัดนี้ทั้งคู่เป็นคนแปลกหน้ากันโดยแท้ บางทีเปิดอกคุยกันแบบตรงไปตรงมาอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
รอยยิ้มของเฉียวโม่นิ่งค้าง เขามองเฉียวเจาอย่างพินิจ
เขานึกว่าเด็กสาวตรงหน้ารู้วิชาแพทย์แค่งูๆ ปลาๆ จึงคาดไม่ถึงจริงๆ ว่านางดูปราดเดียวก็รู้ว่าตนเคยโดนพิษมาก่อน
“พิษนี้มีชื่อว่าพิษหอมสูญ” เฉียวเจาเผยหมากเด็ดอีกเม็ดหนึ่ง
มีฐานะเป็นหลานสาวบุญธรรมของหมอเทวดาหลี่ อีกทั้งบอกได้อย่างแม่นยำว่าเขาโดนพิษอะไร เห็นทีว่าพี่ใหญ่คงไม่ปิดปากเงียบไม่พูดสักคำเกี่ยวกับเรื่องนี้
“คุณหนูหลีมีสายตาแหลมคมยิ่ง ข้าโดนพิษหอมสูญจริงๆ เคราะห์ดีที่ท่านหมอเทวดาถอนพิษให้ข้า…”
“ใช่”
เฉียวเจาถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้านางปราศจากสีเลือด ซีดขาวราวกระดาษ
ที่แท้ท่านปู่หลี่เคยถอนพิษให้พี่ใหญ่แล้ว!
ทว่าท่านปู่หลี่ไม่เอ่ยถึงเรื่องพี่ใหญ่โดนพิษกับนางสักคำ หากมิใช่นางอยากพบหน้าเขาจนอดใจรอไม่ไหว เกรงว่าคงไม่ล่วงรู้เรื่องที่ทำให้นางหวาดหวั่นพรั่นพรึงเรื่องนี้ไปตลอด ในเมื่อท่านปู่หลี่ถอนพิษให้พี่ใหญ่แล้ว เช่นนั้นพิษหอมสูญในตัวเขาเวลานี้มาจากที่ใดกัน
หรือว่าคนที่ปองร้ายพี่ใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในเรือนท่านตา
เฉียวเจาเพียงรู้สึกคล้ายมีม่านหมอกบดบังอยู่เบื้องหน้าชั้นแล้วชั้นเล่า ทำให้นางอึดอัดจนหายใจไม่ออก
“คุณหนูหลีไม่สบายหรือ”
“ข้าไม่เป็นไร คุณชายเฉียว ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องบอกท่าน”
“คุณหนูหลีเชิญกล่าว”
“ในตัวท่านตอนนี้ยังมีพิษหอมสูญอยู่อีกเจ้าค่ะ”