หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 204
บทที่ 204
“ได้แน่นอนสิ” ท่าทางเอาจริงเอาจังของเด็กสาวทำให้เฉียวโม่ใจลอยไปครู่หนึ่งถึงกล่าวตอบ
นางเผยรอยยิ้มเจิดจ้าทันใด แหงนหน้าน้อยๆ มองเขาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “เช่นนั้นพวกเราลากตัวคนที่วางยาพิษท่านออกมาเถอะ”
เด็กสาวพูดถึงตรงนี้แล้วสุ้มเสียงก็กระด้างขึ้น แฝงรอยหมายมั่นปั้นมืออยู่หลายส่วน “ถึงอย่างไรก็มีคำกล่าวที่ว่ามีเพียงพันวันเป็นโจร ไม่มีพันวันป้องกันโจร”
“…” เฉียวโม่รู้สึกอยู่ไม่วายว่าดูเหมือนจะคืบหน้าเร็วไปสักหน่อย เมื่อครู่นี้เขากับนางยังเป็นคนแปลกหน้ากันแท้ๆ ตอนนี้จะทำเรื่องสำคัญที่เคร่งเครียดเช่นนี้ด้วยกันแล้วหรือ
แต่เผอิญว่าเขากลับไม่รู้สึกอึดอัดใจแต่ประการใด
“พี่…เฉียว ท่านเห็นเป็นอย่างไรเจ้าคะ” ชั่วอึดใจที่เรียกขานคำว่า ‘พี่’ ในใจเฉียวเจาทั้งแช่มชื่นทั้งขมขื่น
ในที่สุดก็สามารถเรียกเขาว่า ‘พี่’ ได้อย่างเปิดเผย
“เรื่องนี้…” เฉียวโม่ลังเลเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างจนใจ “มันมิใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น”
เขากับน้องสาวคนเล็กมาขออาศัยอยู่กับครอบครัวท่านตา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นทางท่านตาจัดแจงให้ กระทั่งคนที่เขาจะเรียกใช้ได้ก็ยังไม่มี แล้วคิดจะสืบหาคนที่วางยาพิษโดยไม่ให้ใครรู้ใครเห็น จะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ใดกัน
“พี่เฉียวเห็นว่าไม่มีคนที่เชื่อใจได้ใช่หรือไม่” เด็กสาวเหมือนจะเดาใจของเฉียวโม่ได้หมด สีหน้าของนางนิ่งสงบและจริงจังยามกล่าวด้วยสุ้มเสียงไม่เร็วไม่ช้า “เช่นนั้นพวกเราค่อยเป็นค่อยไปทีละก้าว เริ่มจากยืนยันให้แน่ใจว่าผู้วางยาเป็นคนในเรือนครัวหรือคนยกอาหาร”
เช่นเดียวกับตระกูลผู้มั่งมีสูงศักดิ์โดยมาก เรือนของท่านตาก็ให้เด็กรับใช้หรือสาวใช้ของเจ้านายแต่ละคนไปยกอาหารที่เรือนครัวตามเวลา ท่านตากับท่านยายจะเป็นสำรับหนึ่ง พวกท่านลุงท่านป้าสะใภ้ก็เป็นอีกสำรับหนึ่ง ส่วนพี่ใหญ่กับญาติผู้น้องทั้งหลายจะเป็นสำรับเดียวกัน
ในสำรับพิเศษจะมีอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่างจากสำรับปกติ ฉะนั้นอยากยืนยันให้แน่ใจว่าการวางยาพิษเกิดขึ้นในช่วงใดมิใช่เรื่องยาก
“พี่เฉียวลองทบทวนความจำสักหน่อยว่าอาหารที่มีเป็นประจำตอนอาหารเช้าคืออะไร”
“โจ๊ก ส่วนใหญ่จะเป็นโจ๊กข้าวเม่า โจ๊กต้มพุทราแดง หรือโจ๊กหมูสับ บางทีเป็นโจ๊กข้าวกล้อง แล้วยังมีหมั่นโถวกลมกับหมั่นโถวไหมเงินบ่อยๆ” เฉียวโม่รู้สึกเต็มตื้นกับท่าทีเอาจริงเอาจังของเด็กสาว พาให้เขากล่าวตอบอย่างจริงจังดุจเดียวกัน
“พิษหอมสูญไม่เหมาะจะใส่ในของกินจำพวกหมั่นโถว เช่นนั้นน่าจะใส่ในโจ๊ก พี่เฉียว วันนี้ข้าจะใช้เข็มเงินช่วยขับพิษออกมาให้ก่อน สามวันนี้ท่านอย่าแตะต้องโจ๊ก จะอ้างว่าไม่เจริญอาหารก็ได้ รออีกสามวันตอนข้ามาอีกครั้ง หากในตัวท่านไม่มีพิษหอมสูญแล้วแสดงว่าเป็นคนในเรือนครัววางยาพิษ แต่ถ้าโดนพิษอีกก็หมายความว่าเป็นฝีมือของเด็กรับใช้ยกอาหาร”
การเลือกใช้พิษหอมสูญให้ออกฤทธิ์ทีละเล็กละน้อย บ่งบอกว่าอีกฝ่ายละเอียดรอบคอบไม่กระโตกกระตาก ถึงหมายปองชีวิตพี่ใหญ่ก็คิดจะสร้างภาพลวงตาว่าตายเพราะร่างกายอ่อนแอ เมื่อพินิจพิเคราะห์จากในมุมของผู้วางยาพิษ เห็นได้ชัดว่ามีคนพัวพันกับเรื่องนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี เช่นนี้ความเป็นไปได้ที่คนในเรือนครัวกับเด็กรับใช้จะสมรู้ร่วมคิดกันจึงต่ำมาก
ถ้าพี่ใหญ่ไม่กินโจ๊กในสองสามวันนี้ ยังเป็นเวลาที่สั้นเกินกว่าทางเรือนครัวจะไหวตัว เช่นนั้นถึงคนผู้นั้นใส่ยาพิษในโจ๊กตามเดิม แต่พี่ใหญ่จะไม่โดนพิษซ้ำอีก
แต่ถ้าเป็นฝีมือของเด็กรับใช้ที่ปรนนิบัติพี่ใหญ่ เขาเห็นพี่ใหญ่ไม่กินโจ๊กก็ต้องใส่ยาพิษในของกินอย่างอื่นเช่นน้ำชาเพื่อให้ภารกิจลุล่วงอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางเพียงรออีกสามวันแล้วค่อยมาใหม่ก็จะยืนยันได้ว่าผู้วางยาพิษเป็นใคร
เฉียวเจาพูดจบแล้วเห็นเฉียวโม่ขมวดคิ้วไม่เอื้อนเอ่ยคำใด นางจึงเอ่ยถามยิ้มๆ “พี่เฉียว ท่านเห็นว่าเช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นจะยื่นไปยีหัวเด็กสาวโดยไม่รู้ตัว แต่เขาชะงักมือแล้วสะกดใจไว้ กล่าวด้วยสีหน้าสงบอ่อนโยน “ดี”
พี่ใหญ่คิดออกแล้วเหมือนกัน
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ คิดคำนึงในใจ เมื่อก่อนพี่ใหญ่ยีหัวข้า ข้ามักโกรธเคืองบ่อยๆ ตอนนี้กลับอยากให้ท่านยีหัวข้าเหลือเกิน นี่ข้ายิ่งอยู่นานยิ่งกลายเป็นเด็กน้อยแล้วแน่ๆ
“คุณหนูหลีซาน ขืนยังไม่ไปอีก พวกพี่จื่อโม่คงรอจนร้อนใจแล้วนะ” โค่วชิงหลันเห็นท่าทางเฉียวเจากับเฉียวโม่พูดคุยยิ้มหัวกันอย่างสนุกสนาน จึงส่งเสียงกล่าวเตือนขึ้นอย่างสุดระงับ
เฉียวเจากับเฉียวโม่สบตากันแล้วเดินกลับไป
“คุณหนูรอง เกรงว่าตอนนี้ยังไปไม่ได้”
“อะไรนะ” โค่วชิงหลันตกใจ
ไฉนยังหน้าหนาดึงดันไม่ยอมไปอีก
“ข้าทำตามที่ได้รับไหว้วานสุดความสามารถเท่านั้น คุณหนูใหญ่ขอให้ข้ารักษาใบหน้าให้คุณชายเฉียว ข้าก็ต้องรับผิดชอบถึงที่สุด”
“ท่านจะรับผิดชอบอย่างไรหรือ” โค่วชิงหลันเบะปาก นางไม่ชอบฟังสตรีพูดว่าจะรับผิดชอบต่อบุรุษมากที่สุด ปกติเวลาพูดเช่นนี้ล้วนมิใช่เรื่องดีๆ อะไรเลย
“แผลไฟไหม้บนใบหน้าคุณชายเฉียวสาหัสมาก ใช้ยาเลยจะไม่ได้ผล จำเป็นต้องฝังเข็มขับพิษไฟออกมาก่อนถึงค่อยใช้ยาได้”
โค่วชิงหลันได้ยินแล้วพิศวงงงวย นางทักท้วงโดยไม่ทันคิด “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าคนที่เป็นแผลไฟไหม้จำเป็นต้องฝังเข็มขับพิษไฟอะไรออกแล้วถึงใช้ยาได้”
เฉียวเจาพยักหน้าอย่างขึงขัง “อื้อ คุณหนูรองไม่เคยได้ยินเป็นเรื่องปกติมาก เพราะท่านไม่รู้วิชาแพทย์”
โค่วชิงหลันแทบกระอักเลือด นางไม่ได้หมายความเช่นนี้!
คุณหนูหลีซานมิใช่อาศัยข้ออ้างนี้ใกล้ชิดญาติผู้พี่จริงๆ ใช่หรือไม่
อีกอย่างพูดว่านางไม่รู้วิชาแพทย์? เด็กสาวอายุสิบสามปีผู้หนึ่งอยู่ในเรือนของนางพูดว่านางไม่รู้วิชารึ แม่นางน้อยคนนี้ช่วงคุยโวโอ้อวดได้อย่างไม่ละอายใจเลยทีเดียว!
“หรือว่าคุณหนูหลีซานแตกฉานในวิชาแพทย์” โค่วชิงหลันย้อนถามอย่างยิ้มเยาะ
ถ้าเด็กสาววัยเท่านี้แตกฉานในวิชาแพทย์ได้ จะมิใช่เรื่องพิลึกกึกกือหรือไร
เฉียวเจาสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งกะทันหัน ยื่นหน้าไปกระซิบข้างใบหูนาง “คุณหนูรอง คืนนี้ท่านจะมีระดู”
โค่วชิงหลันได้ยินประโยคนี้แล้วดวงหน้าพริ้มเพราแดงก่ำทันใด นางหันไปมองเฉียวโม่อย่างแตกตื่น เห็นเขาไม่มีท่าทีใดๆ ถึงดึงสายตากลับมาถลึงมองเฉียวเจา กล่าวด้วยความอับอายระคนโกรธ “คุณหนูหลีซาน ขืนท่านพูดไร้สาระอีก ข้าจะมีน้ำโหแล้วนะ”
นางเริ่มมีระดูมาไม่ถึงหนึ่งปี ระยะเวลาไม่แน่ไม่นอนสักนิด กระทั่งตัวนางเองยังไม่รู้ว่าหนนี้มาแล้ว คราวหน้าจะมาอีกครั้งเมื่อไร คุณหนูหลีซานกล่าวเช่นนี้จะไม่เหลวไหลน่าขันหรือ
“คุณหนูหลีซาน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนพูดจาส่งเดชเฉกนี้ ข้าจะไปบอกพี่จื่อโม่ว่านางดูท่านผิดไป” โค่วชิงหลันกระทืบเท้าด้วยความเดือดดาล นางพูดกำชับกับเฉียวหว่าน “หว่านวาน จับตาดูนางไว้ให้ข้าด้วย อย่าปล่อยให้นางเข้าใกล้พี่ใหญ่ของเจ้า ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา”
เมื่อเห็นโค่วชิงหลันวิ่งออกไปด้วยความโมโหโกรธา เหลือแต่เฉียวหว่านทำแก้มป่องๆ ยืนบังอยู่หน้าพี่ชายด้วยท่าทางประหนึ่งแม่ไก่กางปีกปกป้องลูกน้อย เฉียวเจาก็เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
ทีนี้ดีล่ะ นางจะได้ถอนพิษให้พี่ใหญ่เสียที น้องชิงหลันช่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นโดยแท้
“พี่เฉียว พวกเราเริ่มต้นกันเถอะเจ้าค่ะ”
เฉียวหว่านกางสองแขนออกขวาง “ห้ามเข้ามาใกล้พี่ใหญ่ของข้านะ พี่ชิงหลันบอกแล้วว่าให้ข้าจับตาดูท่านไว้”
เฉียวโม่ย่อกายลงตบศีรษะน้องสาวเบาๆ “หว่านวาน เจ้าเชื่อฟังพี่ชิงหลันหรือพี่ใหญ่”
เฉียวหว่านนิ่งคิดแล้วถามขึ้น “เชื่อฟังทั้งสองคนไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“เลือกได้คนเดียว”
“เช่นนั้นก็ต้องเชื่อฟังพี่ใหญ่แน่นอนเจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยตอบโดยไม่ลังเลใจสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นหว่านวานก็เป็นเด็กดีรอครู่หนึ่ง อย่ามารบกวน คุณหนูหลีจะรักษาแผลบนใบหน้าของพี่ใหญ่”
“อื้อ” เฉียวหว่านมองเฉียวเจาอย่างแคลงใจ
แม้นนางรู้สึกว่าสตรีมากตัณหาที่อายุมากกว่าตนไม่กี่ปีคนนี้ไม่มีทางรักษาบาดแผลที่ใบหน้าพี่ชายให้หายดีได้ แต่เมื่อเป็นคำพูดของพี่ชาย นางยังคงยอมเชื่อฟังอยู่ดี
“พี่เฉียว ท่านไปนั่งทางโน้นเถอะ” เฉียวเจาชี้ที่พื้นหญ้าข้างป่าไผ่
เฉียวหว่านไม่ค่อยกล้ามองดูสตรีมากตัณหาหยิบเข็มเงินออกมาแทงตามตัวพี่ชาย นางจึงไปดูลูกกวางเสียเลย
ขณะที่ดรุณีน้อยกำลังมองอย่างเพลิดเพลิน พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “หว่านวาน ไยเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว”