หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 205
บทที่ 205
เด็กหนุ่มวัยราวสิบสามสิบสี่ผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นอีกฝั่งหนึ่งของป่าไผ่
เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม คิ้วหนาตาโต ปากแดงฟันขาว มีเด็กรับใช้รุ่นราวคราวเดียวกันติดตามอยู่ข้างหลัง
“พี่เทียนอวี่?” เฉียวหว่านย่นหัวคิ้วเข้าหากัน ดูท่าทางไม่อยากพบเจอเด็กหนุ่มอย่างมาก
เฉียวเจาซึ่งหันหลังให้เด็กหนุ่มอยู่ที่ริมป่าไผ่อีกฟากหนึ่งได้ยินเสียงแล้วชะงักมือเล็กน้อย จากนั้นเร่งฝังเข็มอย่างว่องไวมากขึ้น
คนที่พูดอยู่กับหว่านวานน่าจะเป็นญาติผู้น้องโค่วเทียนอวี่
ญาติผู้น้องผู้นี้กับนางมีอายุห่างกันค่อนข้างมาก เมื่อก่อนตอนนางมาเมืองหลวง ทุกคราล้วนพบหน้ากันผ่านๆ ตอนนี้คิดๆ ไปแล้วดูเหมือนกระทั่งญาติผู้น้องวัยเยาว์ผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร นางก็จำได้อย่างเลือนรางมาก
โค่วเทียนอวี่ยังไม่สังเกตเห็นพวกเฉียวเจาในชั่วขณะ เขาย่างเท้าเดินไปหาเฉียวหว่าน ปั้นหน้าเคร่งกล่าวขึ้น “หว่านวาน เจ้ายังเด็กอยู่ ออกมาวิ่งเพ่นพ่านคนเดียว ถ้าเกิดหลงทางไปจะวุ่นวายนะ วันหน้าห้ามทำเช่นนี้อีก รู้แล้วใช่หรือไม่”
เฉียวหว่านเบะปากพูด “ข้าไม่ได้อยู่คนเดียวเสียหน่อย ข้ามาพร้อมกับพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
พี่เทียนอวี่น่าชังเป็นที่สุดจริงๆ ชอบทำหน้าบึ้งเทศนานาง เข้มงวดยิ่งกว่าพี่ใหญ่ ทั้งๆ ที่ตัวสูงกว่านางเพียงเล็กน้อย
“หือ ญาติผู้พี่อยู่ที่ใดหรือ” โค่วเทียนอวี่อึ้งไป
เด็กรับใช้ที่อยู่ด้านข้างกระตุกชายเสื้อเขา “คุณชาย คุณชายเฉียวอยู่โน่นขอรับ เอ๊ะ ยังมีสตรีอีกนางหนึ่ง…”
เด็กรับใช้ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เป็นสตรีนางหนึ่งจริงๆ ด้วยหรือนี่ หรือว่าเขาจะโชคดีได้มาเจอะเจอเหตุการณ์คุณชายคุณหนูลักลอบพบกันที่เขียนอยู่ในหนังสือเรื่องเล่าแล้ว
เฉียวเจาเก็บเข็มเงินขึ้นแล้วพยักหน้าเล็กน้อยกับเฉียวโม่
โค่วเทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ได้เดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กหนุ่มทั่วไปในวัยนี้ แต่ยืนรออยู่ที่เดิมเงียบๆ
รอจนเฉียวโม่เดินมาถึง เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะมองเฉียวเจาสักแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ญาติผู้พี่ ท่านนัดพบกับสตรีที่นี่เป็นเรื่องไม่ถูกต้องนะขอรับ”
เฉียวโม่นิ่งเงียบ “…”
เฉียวเจาก็นิ่งเงียบเช่นกัน “…”
สองพี่น้องคิดคำนึงอย่างจิตใจตรงกัน นี่จะต้องเป็นญาติผู้น้องของเรือนอื่นเป็นแน่แท้ ถึงพูดจาได้รนหาที่เจ็บตัวนัก!
ครั้นเห็นเฉียวโม่ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เด็กหนุ่มถึงนับว่าพึงใจในท่าทีของญาติผู้พี่ เขากล่าวเสริมขึ้น “อันว่าหญิงสาวแสนดี ชายหนุ่มหมายปองนั้น ข้าก็เข้าใจได้เช่นกัน ถ้าญาติผู้พี่อยากนัดพบกันจริงๆ ครั้งหน้าได้โปรดอย่าพาหว่านวานมาด้วย จะอย่างไรนางก็ยังเยาว์วัยอยู่”
เฉียวโม่ยกมือตบศีรษะโค่วเทียนอวี่เบาๆ “รู้แล้ว ญาติผู้น้องสั่งสอนได้ถูกต้อง”
เด็กหนุ่มตวัดสายตามองเฉียวเจาอย่างฉับไวแล้วใบหน้าแดงซ่านทันใด ญาติผู้พี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงกับลูบศีรษะเขาต่อหน้าสตรี!
เฉียวเจามองพี่ชายแวบหนึ่งอย่างเห็นใจ นางนึกในใจ มีญาติผู้น้องเช่นนี้ผู้หนึ่งที่ต้องพบหน้าค่าตากันเสมอ พี่ใหญ่ยังอารมณ์เย็นอยู่ได้ก็มิใช่ง่ายดายแล้ว
ขณะคิดคำนึงเช่นนี้ ไม่นึกว่าเด็กหนุ่มจะหันมามองนางอีกทีด้วยสายตาพินิจพิจารณาก่อนพยักหน้าหงึกๆ “คุณหนูแอบพบปะกับญาติผู้พี่ของข้า แม้ว่าจะไม่ถูกธรรมเนียมอยู่บ้าง แต่ท่านไม่ตัดสินคนที่เปลือกนอกได้ แสดงว่าอุปนิสัยพอใช้ได้”
เด็กหนุ่มทำหน้านิ่งขรึมผงกศีรษะขึ้นลงแล้วก้าวขาเดินจากไป
เฉียวเจากับเฉียวโม่มองหน้ากันไปมา
“น้อง…เอ่อ…ข้าหมายถึงญาติผู้น้องของพี่เฉียวเป็นอย่างนี้เสมอหรือเจ้าคะ”
ไฉนเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ถึงยังไม่โดนตีตายนะ
เฉียวโม่กลั้นยิ้มพลางพยักหน้า “ญาติผู้น้องเป็นคนเคร่งขรึม คุณหนูหลีเคยชินแล้วก็ดีไปเอง”
“นินทาว่าร้ายผู้อื่นลับหลัง มิใช่วิสัยวิญญูชน” โค่วเทียนอวี่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งคู่อีกคราเมื่อไรก็สุดรู้
“เหตุใดญาติผู้น้องไปแล้วย้อนกลับมาอีก”
“ข้ามาดูลูกกวางน่ะสิ เมื่อครู่นี้ลืมไป” เด็กหนุ่มกล่าวคำนี้จบแล้วสาวเท้าเดินไปหาลูกกวาง แต่ยังไม่ลืมตะโกนเรียก “เอ้อร์หนิว มานี่” เขาทำท่าทำทางราวกับ ‘ข้าจะยืนชมทิวทัศน์อยู่ตรงนี้ เชิญพวกท่านตามสบาย’
“ญาติผู้น้อง…”
โค่วเทียนอวี่หันศีรษะมาบอกด้วยสีหน้าขึงขัง “ญาติผู้พี่โปรดวางใจ ข้าจะเก็บความลับให้ท่าน”
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงอุทานของโค่วชิงหลัน “เทียนอวี่ เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“เอ้อร์หนิวบอกว่ากวางที่พี่จื่อโม่เลี้ยงไว้ออกลูกทีเดียวสองตัว แต่ข้าเคยอ่านตำรามาก่อน กวางน่าจะออกลูกตัวเดียว ฉะนั้นเพื่อยืนยันว่าเอ้อร์หนิวพูดไม่ถูกต้อง ข้าจึงมาพิสูจน์ความจริงขอรับ” เด็กหนุ่มกล่าวอธิบาย
“แต่มีลูกกวางคลอดออกมาสองตัวจริงๆ นะ” คุณหนูรองสกุลโค่วถูกน้องชายพาออกนอกเรื่องไปในชั่วอึดใจ
“ใช่ เพราะข้าลืมว่ายังมีลูกฝาแฝดอยู่ด้วย” เด็กหนุ่มกล่าวจบแล้วเลิกคิ้วสูง “ไฉนพี่ชิงหลันมาที่นี่ได้ขอรับ”
โค่วชิงหลันตอบไม่ออก ไฉนนางมาที่นี่น่ะหรือ ยังมิใช่เพราะหลีซานเป็นต้นเหตุรึ
เมื่อครู่นางวิ่งกลับไปแล้วให้สาวใช้ผู้หนึ่งแอบเรียกพี่สาวออกมา จากนั้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้ แต่พี่สาวนางกลับพูดว่า ‘ระแวงคนไม่ใช้ ใช้คนไม่ระแวง’ และบอกให้นางกลับมาพาคุณหนูหลีซานกลับไปเท่านั้นเป็นพอ
พอเป็นเช่นนี้นางกลับจะดูเป็นฝ่ายเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง หากที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือถูกน้องชายจับได้คาหนังคาเขา
“เมื่อครู่นี้พี่ชิงหลันก็อยู่ด้วยเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านพูดแทรกขึ้นคำหนึ่ง
“หือ?” โค่วเทียนอวี่จ้องพี่สาวตาเขม็ง สีหน้าเขาขรึมลงทันใด “ที่แท้พี่ชิงหลันเป็นแม่สื่อแม่ชักนี่เอง”
“ไม่ใช่ๆ เทียนอวี่ เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน!”
“อธิบายอะไรกัน พี่ชิงหลันไม่จำเป็นต้องโกหกข้า ข้าเคยอ่านในหนังสือเรื่องเล่า คุณหนูตระกูลใหญ่ลักลอบชอบพอกับบัณฑิตยากจน สุดท้ายถูกทอดทิ้งพบกับจุดจบน่าอนาถใจ จะว่าไปแล้วสาวใช้ของนางที่เป็นแม่สื่อแม่ชักต่างหากที่เป็นต้นตอตัวการใหญ่! พี่ชิงหลัน ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะ รู้หรือไม่ว่า…”
เด็กหนุ่มเปิดฉากพูดเป็นน้ำไหลไฟดับในพริบตา แม่นางเฉียวมีสีหน้าตะลึงลาน พูดพึมพำขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ที่แท้เมื่อครู่น้องเทียนอวี่เกรงอกเกรงใจท่านมากแล้วหรือนี่”
“เป็นเช่นนี้…” เฉียวโม่ชะงักปากกลางคัน เพ่งมองเฉียวเจาด้วยสายตาลึกล้ำ “เมื่อครู่นี้…เรียกข้าว่าอะไรนะ”
เฉียวเจาใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง นางรู้ตัวว่าพลั้งปาก แต่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้กล่าวขึ้น “ก็ต้องเรียกว่าพี่ใหญ่อยู่แล้วน่ะสิเจ้าคะ พี่เฉียวตอบตกลงให้ข้าเรียกพี่แล้วมิใช่หรือ”
อืม เรียกว่า ‘พี่ใหญ่’ ทั้งคล่องปากทั้งสบายใจ
เฉียวโม่อ้าปากแล้วหุบปากซ้ำๆ
คำกล่าวของคุณหนูเฉียวฟังแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ทว่า ‘พี่ใหญ่’ กับ ‘พี่เฉียว’ ต่างกันชัดๆ ชั่วพริบตาที่ได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่’ ความสงบเยือกเย็นเป็นนิจของเขาแทบจะพังทลายราบคาบ
สำหรับเฉียวโม่ การซักไซ้เด็กสาวที่ยังไม่นับว่าคุ้นเคยกันผู้หนึ่งเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมาก แต่เขาทำเช่นนี้แล้ว “เมื่อครู่นี้คุณหนูเฉียวเรียกน้องเทียนอวี่หรือ”
แม่นางเฉียวตกลงใจทำหน้าหนาไร้ยางอายถึงที่สุด “คุณชายน้อยท่านนั้นมิใช่ญาติผู้น้องของพี่เฉียวหรือเจ้าคะ”
“ถึงจะพูดไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว ทว่าเพราะอะไรท่านก็เรียกเขาว่าญาติผู้น้อง?”
เฉียวโม่ถามซักไซ้อย่างไม่ลดละ เผยความนัยของถ้อยคำนี้ออกมาอย่างอ้อมค้อม
เฉียวเจากล่าวตอบด้วยสีหน้านิ่งสนิท “นี่เป็นการย่นย่อเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่หมดปัญญาโดยสิ้นเชิง
โค่วชิงหลันจู่ๆ ก็ปรี่เข้ามาคว้ามือเฉียวเจาแล้วออกวิ่ง “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าจะพานางไปหาพี่จื่อโม่”
ถึงผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม น้องชายช่างบ่นของนางก็ยังบ่นได้ไม่จบไม่สิ้น นางไม่วิ่งหนีก็โง่แล้ว
เฉียวเจาถูกโค่วชิงหลันฉุดข้อมือวิ่งออกไป นางได้แต่เหลียวหลังมาทำมือทำไม้เป็นคำว่า ‘สาม’ กับเฉียวโม่
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมาย ในใจเขาหดหู่อยู่บ้างชอบกล แม้ว่าจะไม่ใคร่เหมาะสม แต่นางเรียกเขาว่า ‘พี่เฉียว’ แล้ว ดูเหมือนเขาสมควรถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามของนางบ้าง
“พี่ใหญ่ ข้ากระหายน้ำแล้ว พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านกระตุกแขนเสื้อพี่ชาย
“ญาติผู้พี่เชิญตามสบาย”
รอเมื่อเฉียวโม่พาเฉียวหว่านไปแล้ว ริมป่าไผ่เหลือเพียงเด็กหนุ่มกับเด็กรับใช้ เด็กหนุ่มถึงกล่าวเสียงเนิบนาบ “เอ้อร์หนิว จงจำไว้เรื่องในวันนี้ต้องเก็บเป็นความลับ รู้หรือไม่”