หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 207
บทที่ 207
โค่วจื่อโม่เห็นน้องสาวเผยสีหน้าเจ็บปวดก็รีบถามขึ้น “น้องชิงหลัน เจ้าเป็นอะไรไป”
“ข้า…” โค่วชิงหลันกุมท้องตามความรู้สึก
ไฉนถึงปวดหน่วงๆ ตรงท้องนะ หรือระดูจะมาแล้วจริงๆ
โค่วจื่อโม่คิดถึงจุดนี้ได้แล้วเช่นกันอย่างเห็นได้ชัด นางเลียบเคียงถาม “น้องชิงหลัน ใช่หรือไม่ว่า…”
“เป็นไปไม่ได้” โค่วชิงหลันปฏิเสธอย่างร้อนรน
โค่วจื่อโม่รู้จักน้องสาวดี รู้ว่านางทำปากแข็งเพราะกลัวเสียหน้าเลยจงใจพูดหยอกเย้านาง “ข้าหมายถึงเจ้ากินของผิดสำแดงจนท้องเสียใช่หรือไม่”
“ใช่ๆ ข้าน่าจะท้องเสีย พี่จื่อโม่ ข้าขอใช้ห้องชำระกายสักหน่อยนะ”
นานครู่หนึ่ง เสียงอ่อยๆ ของโค่วชิงหลันดังลอยมาจากข้างใน “พี่จื่อโม่ ช่วยเรียกสาวใช้สักคนไปหยิบผ้าซับระดูที่ห้องข้ามาให้ด้วยเจ้าค่ะ…”
โค่วจื่อโม่โคลงศีรษะอย่างขบขัน นางสั่งให้สาวใช้เอาผ้าซับระดูที่นางยังไม่เคยใช้เข้าไปให้น้องสาว
ไม่นานนักโค่วชิงหลันก็ก้าวออกจากห้องชำระกายด้วยสีหน้ากระดากกระเดื่อง
โค่วจื่อโม่พูดยิ้มๆ “นี่มีอันใดน่าอายกัน สตรีล้วนเป็นเช่นนี้”
โค่วชิงหลันกัดริมฝีปากกล่าวขึ้น “พี่จื่อโม่ ท่านว่าคุณหนูหลีซานรู้ได้อย่างไร ต่อให้นางเดาส่งเดชก็เดาได้แม่นยำเช่นนี้ไม่ได้หรอก”
“ใช่น่ะสิ” โค่วจื่อโม่รินน้ำร้อนถ้วยหนึ่งยื่นให้นางเองกับมือ “ฉะนั้นนางไม่ได้เดาส่งเดชแน่นอน”
โค่วชิงหลันกุมถ้วยแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว สีหน้านางซีดขาวเพราะปวดท้อง “หรือว่านางดูออกจริงๆ ว่าคนอื่นจะมีระดูเวลาใด ถึงเป็นแพทย์หลวงในสำนักแพทย์หลวงเกรงว่ายังทำไม่ได้กระมัง”
“แพทย์หลวงในสำนักแพทย์หลวงก็รักษาแผลไฟไหม้ของญาติผู้พี่ไม่ได้ เอาล่ะ น้องชิงหลัน ร่างกายเจ้าไม่ปกติ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อพูดกล่อมให้น้องสาวกลับไปแล้ว โค่วจื่อโม่นั่งลงเอานิ้วมือเคาะขอบเตียงไปเรื่อยๆ
คุณหนูหลีซานเก่งกาจกว่าที่นึกภาพไว้ หวังว่าแผลไฟไหม้บนใบหน้าของญาติผู้พี่จะดีขึ้นได้บ้างเถอะ
สามวันผ่านไปในพริบตา
เฉียวเจาเหยียบย่างเข้าประตูจวนเสนาบดีโค่วอีกคำรบหนึ่ง
สถานที่พบหน้ากันครั้งนี้ยังคงเป็นที่ว่างด้านหน้าป่าไผ่ผืนนั้น
“คุณหนูหลีซาน รบกวนท่านด้วย” โค่วจื่อโม่ยอบกายให้เฉียวเจาแล้วจูงโค่วชิงหลันไปตรงปากทางเดิน ป้องกันมิให้คนอื่นบุกเข้ามาอีก
เฉียวเจามองเฉียวโม่โดยไม่ละสายตา
ครั้นถูกนางจ้องมองนานเกินไป เขาจึงกระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่งก่อนถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง”
“เอ่อ…อะไรนะเจ้าคะ”
เห็นท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันของเด็กสาวตรงหน้า เฉียวโม่กล่าวด้วยรอยยิ้มจนใจ “ข้าถามว่าในตัวข้ามีพิษหอมสูญอีกหรือไม่”
“เรื่องนี้ดูไม่ออกเจ้าค่ะ เพราะเป็นเวลาสั้นเกินไป ต้องลองตรวจดู”
เฉียวโม่นิ่งงัน “…” แล้วเมื่อครู่นี้คุณหนูเฉียวมองอะไรอยู่จนไม่ละสายตา
“ยื่นมือมาเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่ยื่นมือไปอย่างว่าง่าย
เฉียวเจาหยิบเข็มเงินกับของชิ้นเล็กๆ รูปทรงเหมือนถั่วลิสงอันหนึ่งออกมา ใช้เข็มเงินจิ้มปลายนิ้วเฉียวโม่ก่อน ต่อจากนั้นบิดเมล็ดถั่วลิสงเงิน มันก็เปิดอ้าออก ข้างในซีกหนึ่งว่างเปล่า อีกซีกหนึ่งใส่ยาขี้ผึ้งคล้ายไขสัตว์เอาไว้
นางบีบเลือดจากปลายนิ้วเฉียวโม่ให้หยดลงในซีกที่ใส่ยาขี้ผึ้งไว้สองสามหยดพลางพูดอธิบายเสียงเบา “หากในโลหิตมีพิษหอมสูญ ยาขี้ผึ้งสีขาวขุ่นนี้จะกลายเป็นสีแดงอ่อน”
สิ้นเสียงนางไม่ทันไร ยาขี้ผึ้งในถั่วลิสงเงินซีกหนึ่งก็เปลี่ยนสีชมพูอ่อนกับตา มิหนำซ้ำสียังเข้มขึ้นเรื่อยๆ
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นสบตากับเขา
สีหน้าแววตาของเฉียวโม่ไม่แปรเปลี่ยนสักเท่าไร เขากล่าวเสียงเรียบ “ครอบครัวเพิ่งประสบเคราะห์กรรม ทั้งข้ายังชอบความสงบ หลังมาที่จวนเสนาบดี เด็กรับใช้ที่ดูแลปรนนิบัติข้างกายและทำหน้าที่ส่งอาหารจึงมีแค่คนเดียว”
“เด็กรับใช้คนนี้เป็นผู้ใดมอบให้พี่เฉียวเจ้าคะ”
“ผู้ปกครองดูแลจวนเสนาบดีเป็นท่านยายของข้า แต่ตอนนี้การงานส่วนใหญ่มอบหมายให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าแล้ว เมื่อพวกข้าสองพี่น้องมาขออาศัย เรื่องการกินการอยู่ล้วนเป็นท่านป้าสะใภ้ใหญ่จัดการให้” เฉียวโม่บอกเล่าตามความเป็นจริงแล้วพูดตบท้าย “ทว่านี่ไม่อาจบ่งบอกอะไรได้”
เฉียวเจาพยักหน้า ในเมื่อท่านยายค่อยๆ มอบอำนาจในการปกครองดูแลเรือนให้แก่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ นางจะจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ย่อมถูกต้องเหมาะสมดี ด้วยเหตุนี้นางเป็นคนส่งเด็กรับใช้มาก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องวางยาพิษเกี่ยวข้องกับนาง
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ก็ต้องคู่กับความแปรผันยอกย้อน เป็นไปได้ว่าเด็กรับใช้อาจจะทำตามคำสั่งของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ แล้วก็เป็นไปได้ว่าอาจถูกผู้ทรงอำนาจกลุ่มใดติดสินบนอยู่ลับๆ
“ดังนั้นนี่ยังคงเป็นเรื่องที่ยากคลี่คลายได้ ทำให้ต้องวุ่นวายใจแล้ว”
ใบหน้าของเฉียวเจาไม่ปรากฏร่องรอยท้อใจให้เห็นแม้สักกระผีก ซ้ำยังคลี่ยิ้ม “อย่างน้อยตอนนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าเด็กรับใช้มีปัญหา ดังนั้นเริ่มสืบสาวจากเขาเป็นอันสิ้นเรื่องเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่มีสีหน้าเรียบเฉย “อันว่าทวนในที่แจ้งหลบง่าย ธนูในที่ลับยากปัดป้อง ขณะนี้รู้ว่าเด็กรับใช้มีปัญหา สามารถระวังป้องกันได้บ้าง แต่หากไล่เขาไปกลับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“จริงเจ้าค่ะ” เฉียวเจาผงกศีรษะ
ยามนี้ผู้บงการเบื้องหลังแค่ให้เด็กรับใช้วางยาพิษหอมสูญที่ฤทธิ์อ่อนเบาแอบแฝงอยู่ได้นาน ถ้าเกิดถูกต้อนจนมุมแล้วใส่ยาเบื่อหนูให้พี่ใหญ่กินล่ะก็ จะร้องไห้ยังไม่ทันการณ์เลย
พี่ใหญ่กับน้องสาวคนเล็กอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ในมือไม่มีคนที่เชื่อใจได้ เขากริ่งเกรงจุดนี้อย่างเห็นได้ชัด ถึงหุนหันพลันแล่นไม่ได้
แต่นางไม่จับตัวคนร้ายออกมาแล้วจะวางใจได้อย่างไร
พอคิดถึงว่ามีคนปองร้ายพี่ชายเช่นนี้ แววตาของเฉียวเจาเย็นเยียบขึ้น นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ตอนนี้อยากจับผู้บงการอยู่เบื้องหลังออกมา เด็กรับใช้จะเป็นช่องทางในการสาวไปถึงตัวคนร้ายได้ดีที่สุด พี่เฉียวเป็นห่วงว่าไล่เด็กรับใช้ไปเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ถึงนี่จะมีเหตุผลก็จริงอยู่ แต่ข้ามีวิธีการอย่างหนึ่งซึ่งสามารถแหวกหญ้าโดยไม่ให้งูตื่นได้เจ้าค่ะ”
ท่าทางพูดจาฉะฉานอย่างสุขุมเยือกเย็นของเด็กสาวทำให้จิตใจของเฉียวโม่โอนเอนเล็กน้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเอื่อยๆ “น้อมรับฟังโดยละเอียด”
เฉียวเจาเป็นห่วงว่าพูดนานเกินไปจะสร้างความสงสัยให้โค่วจื่อโม่กับน้องสาว นางจึงฝังเข็มไปบอกไป “ง่ายมากเจ้าค่ะ พี่เฉียวคิดหาหนทางให้คุณหนูใหญ่เตรียมการให้พวกเราพบกันคราวหน้าที่นอกจวนเท่านั้นเป็นพอ…”
นางกล่าวจบแล้วไม่ได้ยินพี่ชายพูดตอบ จึงอดมองเขาแวบหนึ่งไม่ได้
หรือว่าเป็นถ้อยคำที่น่าตะลึงพรึงเพริดเกินไป ทำให้พี่ใหญ่ตกใจ?
“พี่เฉียว ท่านเห็นว่าเช่นนี้เป็นอย่างไร”
เฉียวโม่สะกดอารมณ์ที่ไหวกระเพื่อมในอกไว้แล้วพยักหน้า “ดีอย่างยิ่ง ทำตามที่คุณหนูหลีบอกเถอะ”
นางถอนหายใจโล่งอกอย่างสุดระงับแล้วเผยรอยยิ้มจางๆ
“คุณหนูหลี ขอถือวิสาสะถามนามของท่านสักหน่อย”
เฉียวเจาสะดุดใจ ด้วยนิสัยของพี่ใหญ่ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะออกปากถามชื่อก่อนออกเรือนของสตรีที่เพิ่งพบกันครั้งที่สอง เช่นนี้ดูไร้มารยาทเกินไป แต่พี่ใหญ่กลับถามอย่างอดใจไม่อยู่
เฉียวเจาลอบปีติยินดี นี่บ่งบอกว่าพี่ใหญ่รู้สึกว่านางคล้ายน้องสาวของตนเองมากใช่หรือไม่
ลึกๆ ในใจเฉียวเจานั้นปรารถนาอยากแสดงตัวกับพี่ชายเป็นอันมาก ทว่าเรื่องวิญญาณย้ายร่างนั้นน่าเหลือเชื่อเกินไป ถ้านางเปิดเผยตนเองอย่างวู่วาม เป็นไปได้มากว่าผลลัพธ์คือพี่ใหญ่เกิดความระแวงระวังและตีตัวออกหาก
นางจะเสี่ยงไม่ได้
ขอแค่พี่ใหญ่มีชีวิตอยู่ ถึงต้องเฝ้าคอยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่สองพี่น้องได้อยู่พร้อมหน้ากันวันนั้นนางก็ไม่ระย่อ
ถึงตอนนั้นนางจะมิใช่ตัวคนเดียวแล้ว
เฉียวเจาคิดไปเช่นนี้ พาให้รอยยิ้มอ่อนหวานขึ้น
ฝ่ายเฉียวโม่กลับงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
เขาถามชื่อก่อนออกเรือนของสตรีออกจะละลาบละล้วงไปบ้าง หากอีกฝ่ายจะไม่เต็มใจตอบก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ไม่ตอบแล้วเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นี่หมายความว่าอะไรกันแน่
“เอ่อ…เป็นข้าละลาบละล้วงไปแล้ว…”
เฉียวเจาโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ละลาบละล้วงเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่า ‘เจา’ พี่เฉียวสามารถเรียกข้าว่า ‘เจาเจา’ ได้”