หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 21
บทที่ 21
ทายาทของเชื้อพระวงศ์!
พอรุ่ยอ๋องเอ่ยปาก หมอเทวดาหลี่ก็ปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว
ฮ่องเต้หมิงคังเป็นผู้คลั่งไคล้บูชาลัทธิเต๋าผู้หนึ่ง วันๆ คิดแต่เรื่องชีวิตอมตะครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินไปตลอดกาล ในวังจึงชุบเลี้ยงนักพรตกลุ่มหนึ่งไว้สกัดยาอายุวัฒนะโดยเฉพาะ เขาอยู่ในฐานะผู้เป็นแพทย์ได้แต่ยิ้มเยาะ กินยาลูกกลอนพวกนั้นเข้าไปแล้ว อย่าว่าแต่เป็นอมตะเลย ไม่จบชีวิตก็นับว่าดีแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง พระวรกายของฮ่องเต้หมิงคังจึงไม่แข็งแรง พระโอรสที่เกิดมาก็สุขภาพไม่ดี จากองค์ชายสิบกว่าพระองค์ที่มีชีวิตอยู่จนโตเป็นผู้ใหญ่มีแค่สองพระองค์ก็คือรุ่ยอ๋องและมู่อ๋อง
ฮ่องเต้หมิงคังมิได้แต่งตั้งรัชทายาทมาโดยตลอด รุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องก็รุ่นราวคราวเดียวกัน ย่อมชิงดีชิงเด่นกันอยู่ลับๆ เป็นธรรมดา รุ่ยอ๋องมีศักดิ์สูงกว่า ตามหลักแล้วต้องครองความได้เปรียบ น่าเสียดายที่เขาร่างกายอ่อนแอ มีทายาทสืบสกุลยากลำบากเหมือนพระบิดา จนบัดนี้อายุสามสิบเศษแล้ว เขากลับไม่มีโอรสธิดาเหลืออยู่สักพระองค์
ใครๆ ล้วนแจ่มแจ้งดีว่าฮ่องเต้หมิงคังไม่มีทางแต่งตั้งองค์ชายที่ไร้ผู้สืบสกุลเป็นรัชทายาท
หมอเทวดาทำหน้างอเป็นตะขอ นี่มิใช่แค่เข้าไปพัวพันในวังวนชิงอำนาจของเหล่าองค์ชาย แต่เขายืนอยู่ใจกลางมรสุมเลยทีเดียว
หมอเทวดาหลี่หมุนกายจะออกเดินไป
ท่านหมอเทวดาโปรดหยุดก่อน รุ่ยอ๋องประสานมือคำนับอย่างเคารพ เห็นแก่ที่ข้าเชิญท่านมาด้วยความจริงใจ โปรดช่วยตรวจอาการให้ข้าด้วยเถอะ
รุ่ยอ๋องเห็นหมอเทวดาหลี่ไม่หวั่นไหว เขาจึงพูดเสริมขึ้นอีกคำหนึ่ง อีกอย่างท่านเข้าเมืองหลวงมาโดยไม่ปิดบังใคร หวั่นใจว่าขณะนี้คงมีผู้ที่มีจุดประสงค์แอบแฝงมากมายล่วงรู้ว่าท่านเข้ามาในวังของข้าแล้ว หากท่านจากไปเช่นนี้ เรื่องความปลอดภัย…
หมอเทวดาชะงักฝีเท้า เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ถึงหมุนกายมาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ให้ข้าพำนักที่นี่?
รุ่ยอ๋องยินดียกใหญ่ เข้าไปประคองหมอเทวดาด้วยตนเอง ท่านถูกใจที่ใด ข้าจะสั่งคนจัดเตรียมให้ทันที
หมอเทวดาหลี่ถอนใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง เขาตกหลุมพรางแล้วคิดจะปีนขึ้นคงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว
ชาวบ้านทั้งเมืองล้วนไปดูกองทหารเป่ยเจิงยกทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ ส่งผลให้ถนนสายอื่นๆ เงียบเหงาวังเวงไปหมด ด้านที่ว่าการของกององครักษ์จินหลินซึ่งตั้งอยู่ใกล้เขตพระราชฐานยิ่งเห็นผู้คนบางตา
เจียงหย่วนเฉายืนยิ่งอยู่หน้าประตู จับเสื้อคลุมสีดำให้เข้าที่ก่อนย่างเท้าเข้าไป
หยุดนะ กององครักษ์จินหลินเป็นสถานที่สำคัญ ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้ามาเพ่นพ่าน องครักษ์จินหลินที่หน้าประตูสกัดเขาเอาไว้
เขากระตุกมุมปากยิ้มน้อยๆ ผู้ไม่เกี่ยวข้อง?
ผู้ใต้อาณัติซึ่งยืนอยู่ข้างหลังรีบสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวไปพูดตวาด เจ้าลูกสุนัข กินดีหมีหัวใจเสือมารึ แม้แต่ท่านสิบสามของพวกเจ้าก็ยังไม่รู้จัก
ท่านสิบสามอะไร…
องครักษ์จินหลินหนุ่มน้อยยังพูดงึมงำอยู่ องครักษ์จินหลินอีกคนก็ร้องอุทานอย่างตื่นเต้น ท่าน! ท่านสิบสามกลับมาแล้ว เชิญเข้ามาขอรับ!
มุมปากของเจียงหย่วนเฉายังมีรอยยิ้ม ทว่าสายตาเย็นเยียบ เขาพลางถามพลางเดินก้าวเข้าไปข้างใน ท่านผู้บัญชาการใหญ่อยู่หรือไม่
องครักษ์จินหลินคนที่จำหน้าเจียงหย่วนเฉาได้โค้งกายต่ำอย่างอ่อนน้อม ท่านไม่อยู่ขอรับ วันนี้มาเดินตรวจรอบหนึ่งแล้วก็กลับจวนขอรับ
กลับจวน?
เจียงหย่วนเฉาตรึกตรองชั่วครู่ก่อนถามเขา วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคุณหนูเจียง?
องครักษ์จินหลินพยักหน้าหงึกหงัก ท่านสิบสามความจำดียิ่ง ท่านผู้บัญชาการใหญ่กลับจวนไปก็เพื่อฉลองวันเกิดให้คุณหนูใหญ่ขอรับ
คุณหนูเจียงหรือเจียงซือหร่านเป็นบุตรสาวโทนของเจียงถัง ทั่วทั้งกององครักษ์จินหลินไม่มีผู้ใดไม่ล่วงรู้ว่านางเป็นดั่งไข่มุกในอุ้งมือ* ท่านผู้บัญชาการใหญ่
เจียงหย่วนเฉาหยุดฝีเท้า ผงกศีรษะเล็กน้อย พวกเจ้าไปทำงานของตนเองเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมคารวะท่านพ่อบุญธรรมที่จวนสกุลเจียงก่อน
จวบจนเขาหมุนกายจากไปพร้อมผู้ใต้อาณัติ องครักษ์จินหลินหนุ่มน้อยยังชะเง้อคอมองตาม เป็นเหตุให้องครักษ์จินหลินอีกคนตบไหล่เขาทีหนึ่ง ยังมองอะไรอยู่
องครักษ์จินหลินหนุ่มน้อยเพิ่งเข้าสังกัดได้ไม่นาน เขาทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ นั่นคือท่านสิบสาม หนึ่งในสิบสามราชองครักษ์หรือนี่ ยังหนุ่มมากจริงๆ!
วันหน้าหัดดูตาม้าตาเรือสักหน่อย คนที่ท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือท่านสิบสาม!
องครักษ์จินหลินหนุ่มน้อยลอบฉงนใจ
ท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้ความสำคัญกับท่านสิบสามที่สุด แล้วเหตุใดถึงส่งตัวไปที่อื่นตั้งหลายปีเล่า เฮ้อ…ความคิดของพวกคนใหญ่คนโตช่างเข้าใจได้ยากดีแท้
เจียงถังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ จวนของเขาจึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขตพระราชฐาน เจียงหย่วนเฉาสั่งผู้ใต้อาณัติไปซื้อตุ๊กตาชุดหนึ่งที่หอเจินเป่าแล้วถือมันไปเยือนที่นั่น
ท่านสิบสามกลับมาแล้ว! รอสักครู่นะขอรับ ข้าน้อยจะเข้าไปรายงานประเดี๋ยวนี้เลย
ยามหน้าประตูหันหลังกลับเข้าไปรายงาน เจียงหย่วนเฉาเหยียดมุมปาก
เมื่อก่อนตอนเขาอยู่ในเมืองหลวง เวลามาที่จวนสกุลเจียงไม่เคยต้องรอคนรายงานมาก่อน
ไม่นานนักยามเฝ้าประตูก็วิ่งตัวปลิวมาหา ท่านสิบสาม นายท่านเชิญท่านเข้าไปขอรับ
เจียงหย่วนเฉาพยักหน้า ย่างเท้าเดินเข้าไปด้านใน เขาแลเห็นเจียงถังยืนรออยู่บนบันไดแต่ไกลก็เร่งฝีเท้าสองสามก้าวเข้าไปคุกเข่าลงข้างหนึ่งใกล้ๆ สือซานลูกอกตัญญูกลับมาแล้ว คำนับท่านพ่อบุญธรรมขอรับ
หากมิใช่บุรุษเบื้องหน้าผู้นี้ เด็กเร่ร่อนข้างถนนเช่นเขาหรือจะอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ เกรงว่าคงยากแค้นต้อยต่ำดังมดปลวก ดังนั้นเขาจึงเคารพรักพ่อบุญธรรมท่านนี้จากใจจริง
บุรุษบนบันไดย่างวัยห้าสิบเศษ เรือนกายอวบอ้วน เขาเดินพุงพลุ้ยเข้าไปพยุงเจียงหย่วนเฉาให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง แม้นดวงหน้าเคร่งขรึม แต่นัยน์ตาแฝงรอยยิ้ม กลับมาก็ดีแล้ว
เมื่อทั้งคู่เดินเคียงกันเข้าไปข้างใน สาวน้อยสวมชุดสีชมพูนางหนึ่งก็วิ่งทะยานออกจากห้องตรงเข้าไปหาเจียงหย่วนเฉาด้วยใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานสดใส พี่สือซาน ในที่สุดท่านก็กลับมาจนได้
เจียงหย่วนเฉาเบี่ยงกายมิให้ถูกเนื้อต้องตัวกันโดยไม่ให้จับสังเกตได้ เขายื่นหีบใบเล็กงามวิจิตรในมือไปตรงหน้านาง ดีที่กลับมาทันวันคล้ายวันเกิดของหร่านราน
เจียงซือหร่านร้องอุทานอย่างยินดีพร้อมกับรับของขวัญไว้ นางเปิดออกต่อหน้าคนทั้งสอง เห็นตุ๊กตาทำด้วยฝีมือประณีตชุดหนึ่งในนั้น แม้ถูกอกถูกใจ แต่ก็อดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้ พี่สือซาน ข้าอายุสิบหกแล้วนะ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เหตุใดท่านยังให้ของเช่นนี้กับข้าอีก
เจียงหย่วนเฉาอมยิ้ม ในใจพี่สือซาน หร่านรานเป็นสาวน้อยที่น่ารักและน่าเอ็นดูเสมอมาน่ะสิ
ยามกล่าวถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเงาร่างสายหนึ่งก็ผุดขึ้นในห้วงความคิดกะทันหัน
นั่นต่างหากที่เป็นสาวน้อยอย่างแท้จริง แต่เขากลับลืมเลือนจุดนี้อยู่ร่ำไป คงเป็นเพราะสตรีที่จะเอาต้นกระบองเพชรปาใส่กวนจวินโหวได้ลงคอมีอยู่น้อยเหลือเกินกระมัง
ถ้อยคำของเจียงหย่วนเฉาสร้างความไม่พึงใจให้เจียงซือหร่าน นางกระทืบเท้าพลางกล่าวเสียงห้วนๆ คำหนึ่ง
ข้ามิใช่สาวน้อยแล้วนะ นางว่าแล้วก็หมุนกายวิ่งออกไป
เจียงถังทั้งจนปัญญาทั้งกระอักกระอ่วนใจ เขาส่ายหน้าเอ่ยขึ้น สือซานอย่าไปถือสาเด็กผู้นั้นเลยนะ นิสัยนางก็เป็นอย่างนี้
จะถือสาได้อย่างไรขอรับ เจียงหย่วนเฉายิ้มจางๆ บ่งบอกได้ว่าวาจาท่าทางของเจียงซือหร่านเป็นดั่งเม็ดฝนหยดลงมหาสมุทรมิได้ทิ้งร่องรอยไว้สักน้อยนิด
ในดวงตาเจียงถังทอแววผิดหวังอยู่บ้าง เขาพูดสั่ง ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ
ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในห้องหนังสือ เจียงถังหุบยิ้มทำหน้าขึงขัง สือซาน เจ้าประจำการอยู่ที่จยาเฟิง ไฉนสกุลเฉียวถึงโดนไฟไหม้วอดวายใต้จมูกเจ้าได้ ตกลงว่าเป็นเภทภัยธรรมชาติหรือฝีมือคนกันแน่
ข้าบกพร่องเองขอรับ ท่านพ่อบุญธรรมโปรดลงทัณฑ์ด้วย
เจียงถังโบกมือไปมา เขาพูดอย่างหงุดหงิด ไม่ต้องพูดไร้สาระ เข้าเรื่องเถอะ
ท่าทีไม่เห็นตนเป็นคนนอกแม้แต่น้อยของบิดาบุญธรรมทำให้เจียงหย่วนเฉาลอบถอนหายใจโล่งอก
ดูทีว่าเขาจากไปหลายปี ถึงจะห่างเหินกันอย่างยากจะเลี่ยงได้ แต่ท่านพ่อบุญธรรมยังวางตัวกับเขาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าใด
ท่านพ่อบุญธรรม ข้าเห็นว่าเรือนสกุลเฉียวโดนไฟไหม้ต้องเป็นฝีมือผู้ไม่ประสงค์ดีแน่นอนขอรับ
เหตุใดจึงคิดเช่นนี้
เหตุไฟไหม้ที่สกุลเฉียวเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป พวกข้ายังสืบหาผู้ต้องสงสัยไม่ได้ กระนั้นคุณชายเฉียวที่โชคดีรอดชีวิตกลับมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ เขามิได้รั้งอยู่ที่นั่นเพื่อไว้ทุกข์หรือพักรักษาตัว แต่กลับพาน้องสาวคนเล็กไปเยี่ยมคารวะสหายสนิทของตระกูลหลายคนแล้วออกเดินทางจากจยาเฟิง ข้าคิดว่าเขาต้องรู้อะไรบ้างเป็นแน่ขอรับ
* ไข่มุกในอุ้งมือ เป็นสำนวน หมายถึงบุคคลผู้เป็นที่รักดั่งสิ่งของล้ำค่า ต่อมามักใช้แทนบุตรธิดาอันเป็นที่รัก คล้ายกับภาษาไทยที่เปรียบลูกเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่