หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 210
บทที่ 210
“เปิดประตูเร็วเข้า!” หน้าประตูจวนเสนาบดีโค่ว สารถีในสภาพเนื้อตัวมอมแมมเคาะประตูเต็มแรง
ประตูสีแดงเข้มติดห่วงสำริดลายหัวสัตว์เปิดออกดังเอี๊ยดอ๊าด ยามเฝ้าประตูนึกว่าตาลาย เขาขยี้ตาแล้วตกใจยกใหญ่ “เหล่าหวัง นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
“อย่าเพิ่งถาม รีบให้พวกข้าเข้าไปก่อน”
ยามเฝ้าประตูเห็นบุรุษด้านข้างสารถีแล้วสะดุ้งโหยง “คุณชายเฉียว! เหตุ…เหตุใดตัวท่านเปื้อนดินไปหมด รีบเข้ามาๆ”
ไม่นานนัก เรื่องคุณชายเฉียวโม่โดนดักทำร้ายระหว่างทางกลับมาก็แพร่สะพัดไปทั่วจวนเสนาบดี
โค่วจื่อโม่ที่คุยเป็นเพื่อนมารดาอยู่ตกใจจนหน้าซีด นางลุกพรวดขึ้น
เหมาซื่อชายตามองบุตรสาวแล้วกล่าวเสียงเรียบ “จื่อโม่ เจ้ากลับเรือนก่อนเถอะ ข้าไปดูญาติผู้พี่เจ้าสักหน่อย”
“ท่านแม่…” โค่วจื่อโม่สืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง
“ข้าบอกให้เจ้ากลับเรือน”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นเหมาซื่อไปแล้ว โค่วจื่อโม่ก้าวขาวิ่งตรงไปที่เรือนของโค่วชิงหลัน
“คุณหนูรองล่ะ”
“คุณหนูรองยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”
โค่วจื่อโม่ผิดหวังอย่างช่วยมิได้
จริงสิ นางมัวแต่แตกตื่นจนลืมไปได้อย่างไรว่าตอนนี้ชิงหลันน่าจะยังอยู่กับคุณหนูหลีซานที่ร้านน้ำชาอู่ฝู เกรงว่ายังไม่รู้เรื่องที่ญาติผู้พี่โดนดักทำร้าย
เด็กสาวปลงใจเด็ดเดี่ยวไปที่เรือนพำนักของเฉียวโม่
ในเรือนทิงเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียกับสะใภ้ใหญ่เหมาซื่อและสะใภ้รองโต้วซื่อล้วนรุดไปถึงแล้ว พอเห็นโค่วจื่อโม่มาถึง เหมาซื่อปรายตามองแล้วกล่าวเสียงนุ่ม “มาจนได้นะจื่อโม่”
โค่วจื่อโม่ยอบกายคำนับท้าสายตาแฝงนัยแปลกๆ ของมารดา “ท่านย่า ท่านแม่ ท่านอาสะใภ้รอง ข้าได้ยินว่าญาติผู้พี่โดนดักทำร้ายระหว่างทางกลับจากวัดต้าฝู ไม่ทราบว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียกล่าวเสียงขรึม “เคราะห์ดีที่ญาติผู้พี่ของเจ้าไม่เป็นไร เพียงได้รับความตกใจบ้าง ตอนนี้นอนพักอยู่ในห้อง”
โค่วจื่อโม่ลอบถอนหายใจโล่งอก ขอบคุณฟ้าดินที่ญาติผู้พี่ไม่เป็นอะไร หาไม่แล้วนางคงทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต เพราะถ้านางไม่ได้เป็นคนจัดแจง ญาติผู้พี่จะออกจากจวนได้เช่นไร
“ท่านย่า เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ญาติผู้พี่ถึงโดนดักทำร้ายเจ้าคะ”
“กำลังถามความอยู่ ชิ่งมามา ไปพาสารถีเหล่าหวังมาที่นี่”
ไม่นานนัก ชิ่งมามาก็เดินนำหน้าสารถีชราก้าวเข้ามาในเรือน
เหล่าหวังคุกเข่าลงทันที “คารวะฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงใหญ่ นายหญิงรอง”
“ชิ่งมามา ยกม้านั่งตัวหนึ่งมาให้เหล่าหวังนั่งสิ”
สาวใช้ยกม้านั่งมาให้ เหล่าหวังนั่งลงอย่างสำรวมตน
“เหล่าหวัง เรื่องราวในวันนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าเล่ามาให้ละเอียด”
“ขอรับ เรียนฮูหยินผู้เฒ่า เรื่องเป็นเช่นนี้ พวกข้าออกจากวัดต้าฝูก็เร่งรุดเดินทางกลับ ทุกคนต่างร้อนใจอยากกลับจวนเพราะอากาศร้อนเหลือเกิน แต่แล้วก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่กลางถนน…” เหล่าหวังเล่าถึงเหตุการณ์ระทึกใจก็ตบเข่าฉาดอย่างสุดระงับ “ไหวเฟิงเจ้าลูกสุนัขนั่นช่างไร้สำนึกนัก พอเห็นมือสังหารวิ่งมาที่รถม้าก็เผ่นหนีไปทันที โชคดีที่ยามมีภัยข้าหาได้พรั่นกลัวไม่ รีบขับรถม้าหนีอย่างรวดเร็วด้วยความจงรักภักดี มือสังหารไล่ตามไม่ทันเลยเห็นว่าไม่คุ้มค่าเป็นแน่ จึงจับตัวลูกสุนัขไหวเฟิงไป สวรรค์มีตาจริงๆ…”
ครั้นเห็นเหล่าผู้เป็นนายทำสีหน้าไม่สู้ดี เหล่าหวังลดสุ้มเสียงเบาลง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้ากับคุณชายถึงได้ดูสะบักสะบอมเพียงนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียไต่ถามเสียงขรึม
เหล่าหวังปาดน้ำตาออก “ไม่สะบักสะบอมไม่ได้หรอกขอรับ ข้าเร่งความเร็วรถม้าเต็มเหยียดแล้ว ใครจะรู้ว่ายังมีมือสังหารรออยู่อีกคน เขาสวมชุดสีเทาใส่หมวกบังใบหน้า…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเลิกคิ้วขึ้นอย่างอดกลั้น
เหมาซื่อกระแอมกระไอเสียงหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “พูดเข้าเรื่อง!”
“เอ่อ…จุดสำคัญคือมือสังหารชุดสีเทาทั้งโหดเหี้ยม ทั้งเลือดเย็น ทั้งน่ากลัวยิ่งกว่า ข้าขัดขวางสุดกำลังแล้วก็เปล่าประโยชน์ คนผู้นั้นปรี่เข้าใส่คุณชายเฉียวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง คุณชายเฉียวหลบหลีกสุดชีวิต ขณะมือสังหารเงื้อกระบี่จวนจะแทงเข้ากลางอกคุณชายเฉียว ฉับพลันทันใดนั้น…”
“นี่มิใช่เล่าเรื่องเล่ารึ!” มุมปากของเหมาซื่อกระตุกริกๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียยกมือขึ้น “ให้เขาพูดต่อ”
เมื่อได้รับอนุญาตจากฮูหยินผู้เฒ่าเซวีย เหล่าหวังก็แสดงทักษะการเป็นนักเล่าเรื่องออกมาทันใด เขาเล่าพรรณนาถึงมือสังหารชุดสีเทาผู้โหดเหี้ยมเลือดเย็นไปจนกระทั่งมีผู้ผ่านทางยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จากนั้นสองนายบ่าวหนีกลับมาด้วยความลำบากยากเย็นอย่างเข้าถึงอารมณ์จนเห็นภาพเป็นฉากๆ อย่างชัดเจน
“เหล่าหวัง เจ้าปกป้องเจ้านายด้วยความซื่อสัตย์ ทำได้ดีมาก ไปรับรางวัลที่ห้องบัญชีเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียโบกมือบอกให้เหล่าหวังออกไปแล้วหันไปเอ่ยกับสะใภ้ใหญ่
“เหมาซื่อ เด็กรับใช้ที่เจ้าจัดหาให้โม่เอ๋อร์ มิได้คัดเลือกให้ดีรึ”
เพราะมีคู่สะใภ้โต้วซื่ออยู่ด้านข้าง เป็นเหตุให้เหมาซื่อหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายทันใด นางกล่าวเสียงอ่อนๆ “เป็นข้าจัดการไม่เหมาะสมเองเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปคัดคนที่ดีๆ มารับใช้คุณชายเฉียว”
“ช่างเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียส่ายหน้า นางมองไปทางชิ่งมามาคนสนิทที่ยืนกุมมือไว้หน้าตัวแวบหนึ่ง “ชิ่งมามา ข้าจำได้ว่าตอนนี้หลานชายของเจ้ามีอายุสิบห้าปีแล้วกระมัง”
“เดือนก่อนเพิ่งจะเต็มสิบห้าเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ให้เขามารับใช้โม่เอ๋อร์เถอะ เจ้าว่าอย่างไร”
ชิ่งมามารีบกล่าวขอบคุณ “เด็กคนนั้นได้รับใช้คุณชายเฉียวเป็นวาสนาของเขาแล้วเจ้าค่ะ”
เหมาซื่อกระอักกระอ่วนเหลือหลาย นางลอบดึงผ้าเช็ดหน้าจนแทบขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียรักใคร่เอ็นดูบุตรของพี่สาวสามีดังคาด ในกาลก่อนยามเฉียวเจามาที่จวน บุตรสาวสองคนของนางก็จะโดนเปรียบเทียบเสียจนห่างชั้นกันไกลหลายขุม ในสายตาและหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าเซวียมีแต่หลานสาวนอกตระกูล ตอนนี้กับหลานชายนอกตระกูลก็เป็นเช่นเดียวกัน ถึงกับไม่ไว้หน้านางสักนิดเพราะเรื่องเด็กรับใช้ผู้เดียว
“จื่อโม่ เจ้ากลับไปเถอะ ท่านย่ายังมีเรื่องหารือกับท่านแม่และท่านอาสะใภ้รองของเจ้าอีกสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียออกปากแล้ว โค่วจื่อโม่ย่อมต้องออกจากเรือนทิงเฟิงอย่างเชื่อฟัง กระนั้นนางไม่ได้กลับห้อง แต่ลอบออกทางประตูหลังมุ่งหน้าไปที่ร้านน้ำชาอู่ฝู
“พี่จื่อโม่ ท่านมีธุระออกจากเรือนไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
ในห้องส่วนตัวของร้านน้ำชาอู่ฝู เพราะเฉียวเจาอยู่ด้วย โค่วชิงหลันจะพูดตามสัตย์จริงก็ไม่ถนัดเลยเอ่ยถามเลี่ยงๆ
“เกิดเรื่องกับญาติผู้พี่แล้ว”
“เอ๊ะ? ญาติผู้พี่เป็นอะไรไป”
โค่วจื่อโม่เล่าตามคำบอกของสารถีคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้วเอ่ยกับเฉียวเจาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูหลีซาน ญาติผู้พี่ได้รับความตกใจต้องพักรักษาตัว ระยะนี้เกรงว่าจะออกมาข้างนอกไม่ได้ แล้วพิษไฟของเขา…”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ไม่เป็นไร พิษไฟคั่งค้างอยู่ในตัวคุณชายเฉียวไม่มากแล้ว รอมีโอกาสพบหน้ากันใหม่ค่อยฝังเข็มให้เขาอีกครั้งก็ได้ ตอนนี้เขาได้รับความตกใจต้องพักรักษาตัวเป็นสิ่งสำคัญกว่า”
นางพูดปลอบโค่วจื่อโม่ด้วยสีหน้านิ่งสนิท หากในใจกลับตื่นตระหนกว้าวุ่น
ไฉนถึงมีมือสังหารคนที่สอง จากคำบอกเล่าของโค่วจื่อโม่ มือสังหารคนที่สองนั่นหมายเข่นฆ่าพี่ใหญ่ให้สิ้นชีพชัดๆ
ตามแผนการที่นางนัดแนะกับพี่ใหญ่ ต่อจากนี้เขาจะกินยาลูกกลอนที่นางให้ไว้เพื่อพลิกจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก สร้างภาพลวงตาว่าป่วยหนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้บงการเบื้องหลังจะนึกว่าการลอบปองร้ายพี่ใหญ่บรรลุเป้าหมาย ก็จะไม่ออกอุบายอะไรสังหารเขาอีก และรับรองได้ว่าพี่ใหญ่จะปลอดภัยในช่วงเวลานี้
ทว่าจู่ๆ มีมือสังหารโผล่มาอีกคน นี่เป็นคนที่ฝ่ายใดส่งมาอีกเล่า
เฉียวเจาคิดคำนึงถึงตรงนี้แล้วหวาดผวาระลอกหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
หากมือสังหารผู้นั้นลงมือสำเร็จ จะมิใช่เป็นนางทำร้ายพี่ใหญ่หรอกหรือ!
หลังล่ำลากับสองพี่น้องสกุลโค่ว เฉียวเจากลับถึงเรือนพร้อมความกลัดกลุ้มหนักอก นางเรียกเฉินกวงมาสอบถามเหตุการณ์ในตอนนั้นทันที
“คุณหนูวางใจได้ขอรับ ข้าส่งตัวเด็กรับใช้คนนั้นไปให้สหายร่วมหน่วยคนหนึ่ง คนผู้นั้นเป็นมือฉมังด้านสอบปากคำที่เก่งที่สุด อีกทั้งเก็บความลับได้ดีมาก”
“เฉินกวง ข้าอยากถามว่าเจ้าเรียกให้สหายร่วมหน่วยปลอมตัวเป็นมือสังหารด้วยกันหรือไม่”
เฉินกวงนิ่งขึงไปแล้วส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
เฉียวเจาใจหล่นวูบกะทันหัน