หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 211
บทที่ 211
เมื่อเหตุการณ์ออกนอกทิศทางที่วางไว้ พาให้จิตใจของเฉียวเจาหนักอึ้งอยู่มาก ความโชคดีประการเดียวคือพี่ชายไม่ได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นสิ่งปลอบประโลมใจนางได้มากที่สุด
วันต่อมา ข่าวคุณชายเฉียวโดนพิษลมภายนอกแทรกเข้ากายจนอาการป่วยทรุดหนักอย่างรวดเร็วก็แพร่ออกไป
ทันทีที่เซ่าหมิงยวนรู้ข่าวนี้ก็เตรียมของขวัญไปเยี่ยมไข้ที่จวนเสนาบดีโค่ว
โค่วจื่อโม่นั่งน้ำตาไหลรินเงียบๆ อยู่ในห้อง
โค่วชิงหลันพูดปลอบอยู่ด้านข้าง “พี่จื่อโม่ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น ท่านจะตำหนิตัวเองไปไย”
“หากมิใช่ข้าอยากรักษาแผลไฟไหม้บนใบหน้าของญาติผู้พี่เลยจัดแจงให้เขาออกไป แล้วเขาจะประสบกับเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไร”
“พี่จื่อโม่ จะพูดเช่นนี้ไม่ได้นะ ญาติผู้พี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้ว่าเขาจะพักอยู่ในจวนเรา แต่มิใช่ติดคุกอยู่ ต่อให้ท่านไม่ได้จัดแจงให้เขาออกนอกจวน ยามมีธุระ เขาก็ต้องออกไปอยู่ดี เมื่อวานญาติผู้พี่เจอกับมือสังหารทว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ นั่นเป็นเรื่องดีนะ อย่างน้อยวันหน้าหากออกไปข้างนอกก็จะไม่ขาดการระวังป้องกันใดๆ อีก”
“แต่ตอนนี้ญาติผู้นี้ป่วยหนักมาก สลบไสลไม่ได้สติแล้วนะ”
“นั่นเพราะญาติผู้พี่กำลังตรอมใจอยู่ พอร่างกายอ่อนแอถึงเปิดช่องให้อาการป่วยกำเริบขึ้นในคราวนี้ก็เท่านั้นเอง” โค่วชิงหลันคล้องแขนกับพี่สาว “พี่จื่อโม่ ท่านอย่าแบกความผิดชอบที่ญาติผู้พี่ล้มป่วยไว้บนบ่าตัวเองเลยนะ”
“…” น้องสาวของข้ามีฝีปากคมคายปานนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ดูเหมือนข้าจะหลงคารมไปแล้วด้วย
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง นายหญิงเชิญพวกท่านไปพบเจ้าค่ะ”
สองพี่น้องสบตากันแวบเดียวแล้วสำรวจความเรียบร้อยของตนเองเล็กน้อย ก่อนลุกออกไปที่เรือนของเหมาซื่อ
“ท่านแม่เรียกข้ากับพี่จื่อโม่มามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” โค่วชิงหลันถามด้วยรอยยิ้มพราย
เหมาซื่อปั้นหน้าตึง “โตจนป่านนี้แล้วจะสุขุมหนักแน่นสักนิดมิได้หรือ”
“เจ้าค่ะๆ ข้าสุขุมหนักแน่น” โค่วชิงหลันเม้มปากแน่น
เหมาซื่อชำเลืองมองโค่วจื่อโม่ นางตวัดสายตาผ่านหางตาที่แดงเรื่อๆ ของบุตรสาวแล้วกล่าวเอื่อยๆ “พวกเจ้าตามข้าไปเยี่ยมญาติผู้พี่ของพวกเจ้าเถอะ”
โค่วจื่อโม่นิ่งงันไป เห็นชัดว่านางคิดไม่ถึงว่ามารดาเรียกพวกตนมาเพราะเหตุนี้
ตั้งแต่ญาติผู้พี่มาที่จวน คนอื่นอาจไม่สังเกต แต่นางกับน้องสาวกลับแจ่มแจ้งดีกว่าใครๆ ว่ามารดาควบคุมนางอย่างเข้มงวดแทบไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียว ด้วยหวั่นกลัวว่านางกับญาติผู้พี่จะพบหน้ากันบ่อยๆ
“มัวอึ้งอยู่ด้วยเหตุใด ไปสิ” เหมาซื่อลุกขึ้น
โค่วจื่อโม่เดินตามหลังมารดาออกไป ในอกบังเกิดความอบอุ่นขึ้นหลายส่วน
ไม่ว่าอย่างไร ญาติผู้พี่เป็นบุตรคนเดียวที่เหลืออยู่ในโลกนี้ของท่านป้า ตอนนี้เขาล้มป่วย ท้ายที่สุดท่านแม่ก็ใจอ่อนแล้ว
เรือนทิงเฟิงตั้งอยู่มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจวนเสนาบดีซึ่งปลอดเปลี่ยวมาก
เหมาซื่อพาบุตรสาวสองคนเดินตัดผ่านหมู่ไม้รกครึ้มไปเรื่อยๆ อย่างนวยนาด หลังเลี้ยวตรงทางแยกจุดหนึ่งก็พบเจอกับคนสองคน
หนึ่งในนั้นเป็นสตรีกลางคนวัยราวสี่ห้าสิบผู้หนึ่ง นางคือชิ่งมามาสาวใช้ประจำตัวของฮูหยินผู้เฒ่าเซวีย อีกคนหนึ่งกลับเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบเศษ คิ้วคมเข้มนัยน์ตาเป็นประกาย หล่อเหลาสง่าผ่าเผยไม่สามัญ
โค่วจื่อโม่กับโค่วชิงหลันทำหน้าตะลึงลาน
เหมาซื่อกล่าวยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ท่านโหวมาเยี่ยมเฉียวโม่เช่นกันหรือ”
เซ่าหมิงยวนแสดงคำนับตามมารยาทของผู้เยาว์ “คารวะท่านป้าสะใภ้ขอรับ”
“ท่านโหวไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้” เหมาซื่อรีบเบี่ยงกายหลบ
คนเบื้องหน้าคือกวนจวินโหวที่องค์ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง มาตรว่านางจะเป็นผู้อาวุโสในฐานะญาติห่างๆ คนหนึ่ง แต่ถ้าสำคัญตนผิดไปจริงๆ นั่นต่างหากคือเบาปัญญา
เหมาซื่อชม้ายตามองไปทางบุตรสาวสองคน เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “จื่อโม่ ชิงหลัน ยังไม่มาคารวะทักทายท่านโหวอีกหรือ”
สองพี่น้องสบตากัน
โค่วจื่อโม่หลุบตาลง นางเยาะหยันในใจ
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!
ท่านแม่ยังเห็นนางเป็นเด็กน้อยสามขวบหรืออย่างไร ถึงคิดว่านางจะเชื่อใน ‘ความบังเอิญ’ เช่นนี้
ภายใต้สายตาอ่อนโยนดุจสายน้ำของมารดาที่จับจ้องอยู่ โค่วจื่อโม่กลับรู้สึกหน้าชาวาบๆ ด้วยความอับอายแกมอดสู มือที่สอดไว้ในแขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น นางยอบกายให้เซ่าหมิงยวนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท “คารวะพี่เขยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มตรงมุมปากของเหมาซื่อเลือนหายไป
เจ้าลูกคนนี้เป็นอะไรไป
นางรู้ข่าวว่ากวนจวินโหวมาเยือนถึงจวนเพื่อเยี่ยมเยียนเฉียวโม่ จึงกะประมาณเวลาไว้ดิบดีแล้วพาบุตรสาวสองคนมาที่นี่ ด้วยวาดหวังให้กวนจวินโหวได้เห็นหน้าค่าตาไว้บ้างเพื่อกรุยทางสู่การเป็นทองแผ่นเดียวกันในภายภาคหน้า ที่ไหนได้อุตส่าห์มีโอกาสให้ทั้งคู่ได้รู้จักกันแบบเปิดเผยอย่างไม่ง่ายดาย ไฉนบุตรสาวถึงเรียกเขาว่า ‘พี่เขย’
นี่มิใช่เป็นการย้ำเตือนกวนจวินโหวหรือว่าความสัมพันธ์เป็นญาติกันระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นโยงใยมาจากเฉียวซื่อภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วของกวนจวินโหวอย่างตัดไม่ขาด
โค่วชิงหลันไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปในพริบตาของมารดา ยอบกายคำนับตามพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มละไม “คารวะพี่เขยเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเหมาซื่อไม่แสดงอารมณ์ใด ทว่าในใจโมโหแทบตาย
เจ้าลูกตัวดีสองคนนี้อยากจะยั่วโมโหข้าให้ตายจริงๆ
จื่อโม่นั้นมีใจชอบพอเฉียวโม่มาโดยตลอดก็ช่างเถิด แต่ชิงหลันเจ้าลูกผู้นี้โง่งมใช่หรือไม่ ถึงทำอะไรไม่รู้หนักเบาตามอย่างพี่สาว
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเล็กน้อยกับพวกโค่วจื่อโม่ จากนั้นถอยออกด้านข้างแล้วเอ่ยกับเหมาซื่อ “เชิญท่านป้าสะใภ้ก่อนขอรับ”
เหมาซื่อเผยรอยยิ้มนุ่มนวล “ในเมื่อพบกันแล้ว ท่านโหวก็เข้าไปพร้อมกับพวกข้าเถอะ”
“อย่าเลยขอรับ ท่านป้าสะใภ้ไม่ต้องรอข้าไปด้วยกัน ข้ามีเรื่องบางอย่างจะพูดกับพี่เฉียวโม่เป็นการส่วนตัว รอท่านออกมาแล้วข้าค่อยเข้าไปอีกที” เซ่าหมิงยวนกล่าวจบแล้วก้าวเท้าปราดๆ ไปที่ศาลารับลมด้านข้าง
เหมาซื่ออ้าปากค้าง ไหนบอกว่าเขาสุภาพมารยาทดี วางตนได้พอเหมาะพอสม แล้วที่ว่ามีเรื่องพูดกับพี่เฉียวโม่เป็นการส่วนตัวหมายถึงอะไร มีเรื่องใดที่ไม่สามารถพูดต่อหน้านางได้หรือ
หรืออย่างน้อยที่สุด ต่อให้มีเรื่องอะไรอยากพูดคุยกันตามลำพังจริงๆ จะบอกกล่าวกันอย่างอ้อมค้อมสักนิดมิได้รึ
เหมาซื่อซึ่งรู้สึกว่าตนเองเสียหน้ามากลอบขุ่นเคืองใจยิ่งนัก นางพาบุตรสาวสองคนเข้าไปในเรือนทิงเฟิง
เหมาซื่อเลือกมาในจังหวะนี้ คราแรกเพื่อจะทำทีว่าพบเจอเซ่าหมิงยวนโดยบังเอิญ และยกข้ออ้างเยี่ยมไข้ให้บุตรสาวทั้งคู่ได้วิสาสะกับเขามากขึ้น ยามนี้เรื่องที่ดีดลูกคิดรางแก้วไว้คว้าน้ำเหลวแล้ว แต่เดิมเหมาซื่อก็คุมบุตรสาวคนโตไว้ไม่ให้ห่างสายตา ไหนเลยจะปล่อยให้นางได้สานความสัมพันธ์กับเฉียวโม่ตามสบาย เป็นธรรมดาที่จะพาบุตรสาวสองคนออกมาอย่างว่องไว
ตอนกลับเหมาซื่อยังตั้งใจมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นวี่แววของเซ่าหมิงยวน บันดาลให้นางผิดหวังพอดู
หลังกลับถึงเรือนนางก็เรียกบุตรสาวสองคนไว้แล้วกล่าวตำหนิ “ปกติพวกเจ้าสองคนล้วนเป็นคนมีไหวพริบ ไฉนวันนี้พบกับท่านโหวถึงแข็งทื่อเป็นท่อนไม้กันหมด”
โค่วจื่อโม่เม้มปากแน่นไม่กล่าววาจา
โค่วชิงหลันเถียงกลับอย่างไม่ยอมจำนน “ถ้อยคำนี้ของท่านแม่ ข้าฟังแล้วไม่เข้าใจ พวกข้าแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ที่ใดกัน ก็คารวะทักทายพี่เขยไปแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”
“พี่เขยๆ เรียกได้คล่องปากกันนักนะ”
“ไม่เรียกพี่เขยแล้วจะเรียกอะไรเจ้าคะ”
เหมาซื่อไม่อยากเผยความคิดในใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งเกินไป นางกล่าวด้วยความหวังดีจากใจจริง “พี่เจาเจาของพวกเจ้าจากไปอย่างไร พวกเจ้าล้วนประจักษ์แจ้ง เรื่องนี้ต้องเป็นปมในใจของกวนจวินโหวอย่างแน่นอน พวกเจ้าเรียกขานเช่นนี้จะไม่เป็นการสะกิดแผลในใจเขาหรอกหรือ”
โค่วชิงหลันกลอกตาขึ้น “นี่หมายความว่าเขาสังหารพี่เจาเจาแล้ว พวกข้ายังต้องระมัดระวังคิดถึงความรู้สึกของเขาด้วยหรือเจ้าคะ”
“ชิงหลัน!” เหมาซื่อมองตาเขียวด้วยความโมโห
“เอาล่ะ ชิงหลัน เจ้ากลับเรือนไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านแม่”
โค่วชิงหลันไม่อยากฟังเสียงบ่นของมารดาใจจะขาด นางรีบออกไปโดยไม่รอช้า
รอจนน้องสาวไปแล้ว โค่วจื่อโม่จึงเอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นว่า “ความประสงค์ของท่านแม่นั้นข้าเข้าใจดี เช่นนั้นข้าก็จะขอบอกกับท่านอย่างชัดเจนแต่เนิ่นๆ ว่าถึงใต้หล้ามีบุรุษนับพันนับหมื่น ถึงข้าต้องออกเรือนไปกับหนุ่มขายน้ำมัน* ก็ไม่แต่งงานกับสามีของพี่เจาเจา!”
* หนุ่มขายน้ำมัน เป็นนิยายในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของยอดบุปผาในหอคณิกากับหนุ่มขายน้ำมัน