หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 212
บทที่ 212
เหมาซื่อหน้าเปลี่ยนสีทันควัน ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความโกรธจัด “จื่อโม่ เจ้าพูดจากับแม่เยี่ยงนี้หรือ”
โค่วจื่อโม่เก็บงำสีหน้าเศร้าสร้อยไว้ ทอดน้ำเสียงอ่อนลง “ท่านแม่ ข้าไม่ได้จะดื้อดึงกับท่าน ข้าเพียงบอกความคิดในใจข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ความคิดของเจ้า? ใจเจ้าก็คิดถึงแต่ญาติผู้พี่ใช่หรือไม่” เหมาซื่อขึ้นเสียงเล็กน้อย
โค่วจื่อโม่หัวเราะเยาะหยันตนเอง “ท่านแม่คิดมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับญาติผู้พี่ ข้าแค่ทำใจรับไม่ได้ที่จะแต่งงานกับบุรุษคนเดียวกับพี่เจาเจา”
“แต่พี่เจาเจาของเจ้าตายไปแล้ว”
“ถึงกระนั้นกวนจวินโหวยังคงเป็นพี่เขยของข้าอยู่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นแววเด็ดเดี่ยวในดวงตาของบุตรสาวคนโต เหมาซื่อพลันรู้สึกละเหี่ยใจอยู่สักหน่อย นางโบกมือไปมาพลางกล่าว “เจ้ากลับเรือนไปก่อนเถอะ”
โค่วจื่อโม่ยอบกายอย่างแช่มช้อย “ลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
เหมาซื่อเห็นบุตรสาวเดินไปถึงหน้าประตูแล้วเอ่ยปากขึ้น “จื่อโม่”
โค่วจื่อโม่หยุดฝีเท้า
“ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร เจ้าจงจำไว้เรื่องหนึ่งว่าเรื่องระหว่างเจ้ากับญาติผู้พี่ของเจ้าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ลูกทราบแล้ว” โค่วจื่อโม่กล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้ก่อนลุกลนออกไป
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าเรือนทิงเฟิงก็ได้กลิ่นยาหอมอ่อนๆ ระลอกหนึ่ง เขาอดเร่งฝีเท้าไม่ได้
เฉียวโม่นอนอยู่บนเตียง เขาหลับตาเบาๆ อยู่ในห้วงนิทราลึก
เซ่าหมิงยวนเห็นดังนั้นก็หยุดยืนนิ่งมองสำรวจครู่หนึ่ง ค่อยถอยออกไปที่ห้องด้านนอกเงียบๆ
“ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง”
“เชิญหมอมาสองคนแล้วเจ้าค่ะ ล้วนบอกว่าเพราะได้รับความตกใจจนเป็นต้นเหตุให้พิษลมภายนอกแทรกเข้ากาย ก่อนหน้านี้คุณชายเฉียวเคยโดนไฟไหม้จนบาดเจ็บก็กระทบกระเทือนกับพลังชีพอยู่ก่อนแล้ว เป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนแอเรื่อยมา ดังนั้นถึงได้ทรุดหนักอย่างรวดเร็วในชั่วประเดี๋ยวเดียว” ชิ่งมามากล่าว
เซ่าหมิงยวนมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาออกจากเรือนทิงเฟิงแล้วไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าเซวียที่เรือนกลาง “ท่านยาย หากอาการป่วยของพี่เฉียวโม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โปรดแจ้งให้ข้าทราบทันที หรือว่าต้องการสิ่งใดล้วนมอบหมายให้ข้าไปทำได้นะขอรับ”
หญิงชราได้ยินคำกล่าวนี้แล้วรู้สึกอุ่นใจอย่างมาก นางพยักหน้าพลางกล่าว “ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงจนเกินไป หากมีเรื่องจริงๆ ข้าจะส่งคนไปบอกกล่าวกับท่าน”
เซ่าหมิงยวนออกจากจวนเสนาบดีแล้ว เขาไม่ได้กลับจวนจิ้งอันโหว แต่ตรงดิ่งไปที่หอชุนเฟิง
เวลานี้ในหอชุนเฟิงมีลูกค้าบางตา ชายหนุ่มเข้าไปในห้องส่วนตัวที่พวกฉือชั่นมักอยู่กันบ่อยๆ สั่งสุรากาหนึ่งมารินดื่มเองผู้เดียว
ดวงอาทิตย์นอกหน้าต่างลอยสูงเด่น แสงแดดแทงลอดช่องหน้าต่างฉลุลายเข้ามาทาทาบบนโต๊ะสุราเป็นดวงๆ สะท้อนประกายพรายระยับ บ้างตกกระทบนิ้วมือเรียวยาวขาวกระจ่างของบุรุษทำให้มันดูโปร่งแสงขึ้น
อากาศที่ร้อนระอุเช่นนี้ เซ่าหมิงยวนกลับไม่รู้สึกถึงกระไอร้อนแม้สักเศษเสี้ยว
ชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างโต๊ะสุราริมหน้าต่างเนิ่นนานถึงตัดสินใจได้ในที่สุด เขาออกคำสั่ง “ไปจวนสกุลหลี ส่งข่าวบอกเฉินกวงให้เขาเชิญคุณหนูหลีซานมาที่หอชุนเฟิง”
“แม่ทัพเซ่าอยากพบข้าหรือ”
ปิงลวี่รีบพยักหน้า “เฉินกวงฝากข้ามาบอกท่านว่าตอนนี้แม่ทัพเซ่ายังรออยู่ที่หอชุนเฟิงนะเจ้าคะ”
สาวใช้จ้องมองผู้เป็นนายด้วยสายตาวาดหวัง “คุณหนู ท่านจะไปหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาอับจนคำพูดอยู่บ้าง
เหตุใดนางรู้สึกว่าถ้าบอกว่าไม่ไป ดูท่าทางสาวใช้น้อยตรงหน้าจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“ไปสิ” มือสังหารคนที่สองเป็นดั่งหินก้อนหนึ่งที่กดทับอยู่กลางอก แทนที่จะคิดฟุ้งซ่านอยู่ในจวน มิสู้ลองคุยกับเซ่าหมิงยวน ไม่แน่ว่าอาจได้อะไรดีๆ ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้
“เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าไปเตรียมตัวนะเจ้าคะ” ปิงลวี่วิ่งตัวปลิวเข้าไปที่ห้องด้านใน ไม่นานนักก็หอบชุดกระโปรงสีบัวโรยออกมา พูดอย่างคึกคักร่าเริง “คุณหนู วันนี้ท่านสวมชุดนี้ออกไปข้างนอกเถอะ สีนี้ชวนมองเจ้าค่ะ”
นางวางชุดกระโปรงลงแล้วไปเปิดหีบคันฉ่อง รื้อหาอยู่เป็นนานกว่าจะหยิบปิ่นทองฝังมุกทะเลแดนใต้อันหนึ่งชูขึ้นพลางถาม “คุณหนู ปิ่นทองอันนี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ”
ไม่รอเฉียวเจาปริปากพูด นางวางปิ่นทองลงแล้วหยิบปิ่นหยกเขียวสลักลายดอกไม้ขึ้นมาอีก พลางกล่าวว่า “แต่สีนี้เข้ากับคุณหนูมากกว่า เอาอันนี้ก็แล้วกัน”
เฉียวเจาเหลือจะทน ยื่นมือไปหยิกแก้มปิงลวี่พร้อมพูด “เลิกเสียเวลาได้แล้ว ก็ออกไปอย่างนี้นั่นล่ะ”
“เอ่อ…ใช่ๆ จะปล่อยให้แม่ทัพเซ่ารอจนร้อนใจไม่ได้” ปิงลวี่พยักหน้าหงึกๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี “คุณหนูคิดได้รอบคอบตามเคย”
“…”
จวนสกุลหลีอยู่ห่างจากหอชุนเฟิงไม่ไกล เฉียวเจาบอกกล่าวเหอซื่อแล้วพาปิงลวี่ออกจากเรือนไป
“คุณหนูสาม ท่านแม่ทัพอยู่ข้างในขอรับ” เฉินกวงพาเฉียวเจากับสาวใช้เข้าทางประตูหลังเดินตรงไปหยุดยืนที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง
ประตูพลันเปิดออก เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ข้างในส่งยิ้มให้เฉียวเจาอย่างสุภาพ “คุณหนูหลี ใต้ระแนงเถาองุ่นที่ลานด้านหลังมีโต๊ะเก้าอี้หินตั้งอยู่ ข้าเชิญท่านดื่มน้ำชาที่นั่น ท่านว่าดีหรือไม่”
“ดี” เฉียวเจาตอบตกลงทันทีทันใด
จะพูดคุยหารือกันที่ใดนางล้วนไม่มีปัญหา แต่ดูไปแล้วเซ่าหมิงยวนยังคงยึดถือเรื่องชายหญิงต่างกันอยู่มาก
สิ่งที่ประจักษ์ได้นี้ทำให้เฉียวเจาดูบุรุษเบื้องหน้าแล้วสบายตาขึ้นอย่างปราศจากเหตุผล
“เชิญตามข้ามา”
เป็นดังที่เซ่าหมิงยวนกล่าวไว้ ลานด้านหลังมีเถาองุ่นแตกกิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ติดผลเป็นพวงๆ แซมแทรกอยู่ตามใบสีเขียวสดเป็นมัน ลูกองุ่นห่ามจัดชวนให้น้ำลายสอในปากอย่างห้ามไม่อยู่
เซ่าหมิงยวนเชิญเฉียวเจานั่งลง เขารินน้ำชาแล้วเลื่อนถ้วยไปตรงหน้านาง กล่าวยิ้มๆ “อีกครึ่งเดือนเศษ องุ่นของที่นี่ก็จะกินได้แล้ว รสชาติอร่อยกว่าที่ซื้อจากข้างนอกมาก”
เฉียวเจาเห็นเซ่าหมิงยวนมิได้พูดตรงเข้าเรื่องก็ไม่รีบร้อนถาม สายตาของนางมองกวาดดวงหน้าขาวเกลี้ยงดุจหยก คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “แม่ทัพเซ่าเพิ่งกลับมามิใช่หรือแต่ก็รู้ว่าองุ่นของที่นี่อร่อยแล้ว”
เซ่าหมิงยวนยกถ้วยน้ำชาขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงตามสบายมาก “สมัยเด็กๆ เคยขโมยกินองุ่นที่นี่กับพวกสือซี”
นานครู่หนึ่งเฉียวเจาถึงพูดขึ้น “คิดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนแม่ทัพเซ่าก็ซุกซนปานนี้”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม
“แม่ทัพเซ่าเรียกข้ามาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือ”
เขาเหลือบตามองเฉินกวงที่ยืนอยู่ไม่ไกลแวบหนึ่งก่อนกล่าว “เรื่องที่คุณหนูหลีมอบหมายให้เฉินกวงไปจัดการ เขาเล่าให้ข้าฟังแล้ว”
เฉียวเจาพยักหน้าโดยไม่มีท่าทางประหลาดใจให้เห็น
เฉินกวงเป็นองครักษ์ประจำตัวของเซ่าหมิงยวน ถ้าไม่บอกเรื่องนี้กับเขากลับไม่ปกติ อีกทั้งนางไม่คิดจะปกปิดเขาแต่แรก
“ไม่ทราบว่าเพราะอะไรคุณหนูหลีถึงทุ่มเทใจวางแผนช่วยพี่เฉียวโม่ถึงเพียงนี้”
“พี่เฉียวโม่?” เฉียวเจาย้อนถาม
“คุณหนูหลีไม่ทราบหรือว่าคุณชายเฉียวเป็นพี่ชายของภรรยาข้า”
เฉียวเจาเม้มปาก นางย่อมรู้แน่นอน แค่ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะเรียกคำว่า ‘พี่เฉียวโม่’ ได้คล่องปากนัก
“ฉะนั้นข้าอยากจะละลาบละล้วงถามสักคำว่าเหตุใดคุณหนูหลีถึงเอาใจใส่พี่เฉียวโม่ถึงเพียงนี้”
ใต้ระแนงเถาองุ่น บุรุษผมสีดำสวมชุดสีขาวนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะหิน นัยน์ตาสีดำสนิทประหนึ่งบึงน้ำลึกทำให้หยั่งเดาอารมณ์ในชั่วขณะนี้ไม่ออก
ทั้งที่อยู่ต่อหน้าเจียงหย่วนเฉา เฉียวเจาบอกเหตุผลว่า ‘ข้าชมชอบเขา’ เป็นคำอธิบายที่ตนให้ความสนใจเฉียวโม่ผิดจากผู้อื่นได้อย่างง่ายดายมาก แต่ยามนี้นางกลับเอื้อนเอ่ยประโยคนี้ออกจากปากไม่ได้
คงเป็นเพราะเขากับพี่ใหญ่มีสายสัมพันธ์นี้กันอยู่ ถ้าเกิดวันใดคำพูดนี้รู้ไปถึงหูพี่ใหญ่ก็จะกระอักกระอ่วนใจเกินไปกระมัง เฉียวเจาคิดคำนึงในใจ
“เพราะท่านปู่หลี่บอกไว้ว่าวันหน้าให้ข้ากับพี่เฉียวช่วยเหลือซึ่งกันและกันน่ะสิ”
“พี่เฉียว?”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่พูดว่าข้ากับพี่เฉียวเป็นผู้เยาว์สองคนที่ใกล้ชิดที่สุดในโลกนี้ของท่าน ช่วงเวลาที่ท่านไม่อยู่เมืองหลวง หวังว่าพวกข้าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข้าทำตามที่ได้รับไหว้วานสุดความสามารถเท่านั้น”