หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 215
บทที่ 215
บทที่ 215
เซ่าหมิงยวนขยับกลับมาเงียบๆ
“เอาเป็นว่าเจ้าอย่าเข้าใจผิดเท่านั้นเป็นพอ แม่นางน้อยคนนั้นเพิ่งอายุเท่าใด ข้ามิได้ตาบอดเสียหน่อย!”
เซ่าหมิงยวนพิศดูสีหน้าของฉือชั่น เห็นเขาทำท่าทางจริงจังขึงขังก็พยักหน้าหงึกๆ “เอาเถอะ ดูทีว่าข้าคิดมากไปเอง”
“เจ้าก็ชอบคิดเหลวไหลนัก ไปเถอะ ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยรับปากข้าว่าจะทำเนื้อกวางแผ่นทอดให้กิน ฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก ในหอสุรามีของพร้อมให้ทำอยู่แล้วพอดี วันนี้พวกเราลองชิมฝีมือนางกัน”
พวกเขาเดินเคียงคู่กันกลับไป ทว่าด้านข้างระแนงเถาองุ่นว่างเปล่าไม่เห็นเงาใครสักคน
“นางอยู่ที่ใด” ฉือชั่นหันซ้ายแลขวา
เซ่าหมิงยวนกวักมือเรียกองครักษ์ตรงประตูหลัง
องครักษ์รีบวิ่งมา “ท่านแม่ทัพมีอะไรจะสั่งกำชับขอรับ”
“แม่นางคนที่ดื่มชาอยู่ตรงนี้เมื่อครู่เล่า”
“คุณหนูท่านนั้นพาสาวใช้กับเฉินกวงกลับไปพร้อมกันแล้วขอรับ”
“เอาล่ะ เจ้าออกไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนโบกมือไปมาแล้วหันไปบอกกับฉือชั่น “กลับไปแล้ว”
“ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าพูดซ้ำอีกรอบ” ฉือชั่นพูดกัดฟันกรอดๆ ด้วยสีหน้าง้ำงอ
“เอ่อ แล้วเนื้อกวางแผ่นทอด…”
“เจ้ายังจะพูดอีก?”
“…” นี่คือที่เรียกกันว่าอับอายจนพาลโกรธกระมัง
“ข้าไปล่ะ” ฉือชั่นทำหน้าบอกบุญไม่รับด้วยความหัวเสียอย่างหนัก
กลับไปเช่นนี้เลยหรือนี่ แม่นางน้อยนั่นต้องโยนมโนธรรมให้สุนัขกินไปแล้วเป็นแน่?
พอเห็นสหายรักเดินหน้าบึ้งจากไป เซ่าหมิงยวนย้อนกลับไปนั่งที่ใต้เถาองุ่น หยิบถ้วยน้ำชาที่ฉือชั่นใช้ดื่มขึ้นมองดู นานครู่หนึ่งถึงวางลงที่เดิม และลุกขึ้นเดินออกจากหอชุนเฟิงไป
ยังไม่ถึงยามเย็น เฉียวเจาก็ได้รับข่าวจากเฉินกวง
จวนตะวันตกมีอาณาบริเวณเล็ก ศาลาหลังเดียวของเรือนตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้องหนังสือของหลีฮุย เฉียวเจาจึงพบกับเฉินกวงที่นั่น
“มีข่าวแล้วหรือ”
แสงสนธยาสาดส่องคลอเคลียใบหน้าคมสันหมดจดของเฉินกวงให้เป็นประกายมากขึ้นหลายส่วน เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มสดใส “สหายร่วมหน่วยของข้าผู้นั้นเป็นมือฉมังเรื่องการสอบปากคำ ได้เขาออกโรง ต่อให้เป็นไส้ศึกของแคว้นศัตรูก็ล้วนไม่คณามือ นับประสาอะไรกับเด็กรับใช้ขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง”
“นี่แสดงว่าเด็กรับใช้คนนั้นบอกว่าใครเป็นผู้บงการเบื้องหลังแล้วหรือ”
“บอกแล้วขอรับ ก็คือนายหญิงใหญ่ของจวนเสนาบดีหรือป้าสะใภ้ใหญ่ของคุณชายเฉียว จุๆ ใจสตรีสุดแสนอำมหิตจริงๆ คุณชายเฉียวน่าเวทนาถึงเพียงนี้ ต้องไปขออาศัยอยู่เรือนท่านตา คนเป็นป้าสะใภ้ถึงกับใจแคบกับเขาเช่นนี้ ซ้ำร้ายยังวางยาพิษเขาอีก…” เมื่อสายตาของเฉินกวงปะทะกับใบหน้าซีดเผือดของเฉียวเจา เขาก็หยุดปากกะทันหัน ลังเลเล็กน้อยก่อนถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนูสาม ท่านเป็นอะไรไปขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร” เฉียวเจาแย้มยิ้ม
เฉินกวงพูดด้วยความโผงผางปากไว “ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีก รอยยิ้มนี้ของท่านอัปลักษณ์เสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้ อ้าว ท่านอย่าร้องไห้สิ…ร้องไห้จริงๆ แล้ว?”
พอสังเกตเห็นหางตาของนางแดงเรื่อๆ เฉินกวงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เขาล้วงผ้าเช็ดหน้ายื่นให้แล้วนึกขึ้นได้อีกว่าเช่นนี้ไม่เหมาะสม ได้แต่ย่ำเท้าวนไปวนมาอย่างร้อนใจ
ด้านนอกศาลาเป็นที่โล่งว่าง ไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะมีผู้ใดได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ แต่จุดที่ห่างไปสิบกว่าจั้งมีซุ้มดอกไม้กอหนึ่งบดบังสายตาคนได้
หลีเจี่ยวอยู่หลังซุ้มดอกไม้จ้องเขม็งไปที่ตัวเฉียวเจากับเฉินกวงสองคน สายตาของนางเต้นระริก
ดูจากสีหน้าของหลีซานกับสารถีผู้นั้น ไม่เหมือนท่าทางของเจ้านายถามความบ่าวไพร่ตามธรรมดา
หลีเจี่ยวเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ดวงหน้าคมสันของเฉินกวงครู่หนึ่ง ในใจพลันคาดเดาไปถึงเรื่องหนึ่ง
หรือว่าหลีซานกับสารถี…
ความคิดที่ผุดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้นางใจกระตุกวูบ
ถ้าหลีซานกับสารถีมีความสัมพันธ์ลับกันจริงๆ อย่างนั้นก็จะสูญเสียฐานะและชื่อเสียงไม่เหลือหลอ
ในห้วงความคิดนึกภาพสองคนนี้ถูกพวกผู้อาวุโสพบเห็นคาตา หลีเจี่ยวสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง รู้สึกคล้ายว่าได้ระบายความคับอกคับใจตลอดที่ผ่านมาหลายวันไปจนเกลี้ยง
นางมองไปทางศาลาเป็นแวบสุดท้ายแล้วก้าวขาออกวิ่งไปที่ห้องหนังสือของหลีฮุย
หลีฮุยเพิ่งกลับจากสำนักศึกษาหลวงได้ไม่นาน กำลังท่องตำราอยู่ข้างในก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“ใคร”
“น้องสาม ข้าเอง”
หลีฮุยเดินไปเปิดประตู “ไฉนพี่เจี่ยวถึงมาที่นี่ตอนนี้”
หลีเจี่ยวกวาดตามองหนังสือในมือเขาแล้วเอ่ยยิ้มๆ “กลับจากสำนักศึกษาหลวงแล้วเหตุใดไม่พักผ่อน ยังท่องตำราอยู่อีกเล่า”
หลีฮุยหยักยิ้มกล่าว “ขยันมากขึ้นอย่างไรก็เป็นผลดี อาจารย์บอกว่าปีหน้าข้าสามารถลองเข้าร่วมการสอบได้แล้ว”
น้องชายสายเลือดเดียวกันมีความมานะพยายาม หลีเจี่ยวย่อมต้องดีใจ นางพูดด้วยรอยยิ้มละไม “น้องสามบากบั่นพากเพียรเช่นนี้ ปีหน้าต้องสอบเป็นบัณฑิตเซิงหยวน* ได้แน่”
ปีหน้าน้องชายจะอายุสิบหก หากสอบเป็นบัณฑิตเซิงหยวนได้ นั่นจะเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล นางผู้เป็นพี่สาวร่วมมารดาเดียวกันก็จะมีเกียรติไปด้วย
หลีฮุยยิ้มอย่างเก้อเขิน “สอบผ่านเป็นบัณฑิตเซิงหยวนไม่ง่ายดายปานนั้น อาจารย์บอกว่าสำหรับลูกศิษย์บางคน การสอบรุ่นเยาว์ยังยากลำบากกว่าการสอบระดับมณฑลและระดับฮุ่ยซื่อด้วยซ้ำไป แต่พี่ใหญ่วางใจได้ ข้าจะพยายามเต็มที่ ขอแค่ผ่านการสอบเค่อจวี่เพื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางเป็นขุนนางโดยเร็วที่สุด วันหน้าถึงจะคุ้มครองพวกท่านได้”
“พวกข้า?” หลีเจี่ยวคิดตามไม่ทันในชั่วครู่ชั่วยาม
“ใช่ขอรับ ท่านกับน้องเจา ท่านย่าบอกว่าน้องเจาเคยถูกล่อลวงไป วันหน้าเรื่องหาคู่ครองคงเป็นไปได้ยากมาก ไม่แน่ว่าอาจต้องอยู่ในเรือนไปจนแก่ชรา ถ้าข้าซึ่งเป็นพี่ชายได้ดิบได้ดีสักหน่อย นางก็ไม่ต้องทนคับข้องหมองใจเกินไป…”
สีหน้าของหลีเจี่ยวไม่แสดงความรู้สึกใด แต่ในใจเดือดดาลแทบทนไม่ไหว
น้องสามโดนคุณไสยอะไรมาหรืออย่างไร ถึงกับยกนางขึ้นมาเทียบชั้นกับข้า!
ท่านย่าๆ เอาแต่พูดว่า ‘ท่านย่าบอก’ ไม่ขาดปาก ไม่รู้ว่าท่านย่าพูดอะไรกรอกหูน้องสาม!
“พี่เจี่ยว?”
หลีเจี่ยวดึงความคิดคืนมาทันที นางคลี่ยิ้ม “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร การท่องตำราก็ต้องเดินทางสายกลางนะ ถ้าเจ้าเหนื่อยเกินไป คนอื่นไม่สงสาร แต่พี่เห็นแล้วสงสาร ไปกัน พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกเถอะ ตอนนี้ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน อากาศไม่ร้อนถึงเพียงนั้นแล้ว”
“ขอรับ” หลีฮุยวางม้วนตำราลง สองพี่น้องย่างเท้าออกนอกประตูไป
ในศาลา เฉียวเจาสงบอารมณ์เป็นปกติแล้ว ดวงหน้ากลับมานิ่งเฉยไร้รอยกระเพื่อมใดอีก นางไต่ถามเฉินกวง “เด็กรับใช้คนนั้นบอกเหตุผลหรือไม่”
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่…ไม่สิ เหมาซื่อลงมือกับพี่ใหญ่อย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้เพราะเหตุใด
หรือว่าเพราะน้องจื่อโม่?
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่รู้ว่าน้องจื่อโม่มอบใจให้พี่ใหญ่อยู่ลับๆ เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม จึงวางยาพิษกำจัดพี่ใหญ่?
ทว่านี่มีน้ำหนักไม่พออยู่บ้าง
พี่ใหญ่เสียโฉมแล้ว ถึงน้องจื่อโม่อยากแต่งงานกับเขา นั่นก็เป็นความต้องการของนางคนเดียว ไม่ว่าครอบครัวท่านตาหรือตัวพี่ใหญ่เองล้วนไม่มีทางใคร่ครวญเรื่องนี้
ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะไม่พึงใจต่อพี่ใหญ่เพราะน้องจื่อโม่เป็นเรื่องธรรมดามาก ทว่าไยถึงขั้นต้องกระทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมเยี่ยงนี้ด้วยเล่า
เฉียวเจารู้สึกได้รางๆ ว่ามีจุดหนึ่งที่ไม่สมเหตุสมผล
“คุณหนูสาม เรื่องนี้ข้าจะรายงานให้ท่านแม่ทัพทราบนะขอรับ”
เฉียวเจาเหล่มองเขา “อย่างกับว่าข้าบอกไม่ให้เจ้ารายงาน เจ้าก็เชื่อฟังกระนั้น”
“แหะๆๆ” เฉินกวงเกาท้ายทอยอย่างเก้อกระดาก เขาฉีกยิ้มอวดฟันขาวทั้งปาก
“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ”
เฉินกวงยืนนิ่งไม่ขยับ
“หือ?”
“คุณหนูสามไม่มีอะไรจะฝากข้าไปบอกท่านแม่ทัพหรือขอรับ”
“ไม่มี” เฉียวเจาปฏิเสธทันที
เขากับนางไม่สนิทกันเสียหน่อย นางจะมีอะไรอยากบอกเล่า
“เช่นนั้นข้าไปแล้วนะขอรับ” เฉินกวงทำหน้าม่อย
คุณหนูสามไม่มีคำพูดฝากไปถึงท่านแม่ทัพจริงๆ หรือ เขาไม่ถือสาที่จะเป็นผู้ส่งสารสักนิด
ข้างซุ้มดอกไม้ หลีเจี่ยวกับหลีฮุยยืนเคียงข้างกัน มองดูสารถีหนุ่มหน้าตาชวนมองเดินเหลียวหลังเป็นระยะออกจากศาลา
“คนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นสารถีของน้องเจากระมัง” หลีเจี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
* เซิงหยวน เรียกกันโดยทั่วไปว่าซิ่วไฉ เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบรับราชการผ่านในระดับอำเภอ