หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 216
บทที่ 216
“ใช่ขอรับ” หลีฮุยก้าวขาจะเดินไปที่ศาลา แต่ถูกหลีเจี่ยวรั้งตัวไว้
“น้องสาม เจ้าจะเข้าไปด้วยเหตุใด”
“จะทักทายน้องเจาสักคำขอรับ”
หลีเจี่ยวทำท่าอึกๆ อักๆ
“มีอะไรหรือพี่เจี่ยว”
“เจ้าเข้าไปตอนนี้ น้องเจาจะไม่กระอักกระอ่วนใจหรือ”
“เพราะอะไรต้องกระอักกระอ่วนใจ” หลีฮุยจับต้นชนปลายไม่ถูก
หลีเจี่ยวเม้มปากพูดอย่างอิดเอื้อน “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าน้องเจาไม่ได้เห็นสารถีผู้นั้นเป็นสารถี”
หลีฮุยยิ้มอย่างไม่เอาใจใส่ “สารถีผู้นั้นเป็นท่านปู่บุญธรรมของน้องเจายกให้นาง นางจะให้ความสำคัญเขาเป็นพิเศษก็เป็นเรื่องธรรมดามากมิใช่หรือขอรับ”
เขากล่าวจบแล้วสาวเท้าไปทางศาลา แต่ออกเดินได้ไม่กี่ก้าวก็หันศีรษะไป “พี่เจี่ยว ท่านไม่ไปหรือขอรับ”
หลีเจี่ยวกำลังโมโหน้องชายหัวทื่อแทบตาย แต่จะแสดงออกทางสีหน้าก็ทำไม่ได้อีก นางจำต้องฝืนยิ้มออกมา “ไปสิ”
เฉียวเจาได้ยินเสียงแล้วเบือนหน้ามา
หลีฮุยอมยิ้มมุมปากก้าวเข้าสู่ศาลา “น้องเจา…”
เสียงพูดเขาชะงักกลางคันเมื่อสายตาหยุดอยู่ที่หางตาแดงๆ ของน้องสาว เขาอดถามอย่างหลากใจไม่ได้ “เจ้าร้องไห้หรือ หรือว่ามีใครรังแกเจ้า”
“ไม่มีเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้โดนทรายเข้าตา”
หลีเจี่ยวลอบยิ้มเยาะ โดนทรายเข้าตาอะไรกัน นี่มันร้องไห้ชัดๆ หรือจะเห็นว่านางกับสารถีผู้นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลยร้องไห้ด้วยความเสียใจ
“พี่เจี่ยว พี่สาม ในตาข้ามีทรายอยู่ รู้สึกเคืองๆ ว่าจะกลับไปล้างออกสักหน่อย ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
“ให้ข้าไปส่งเจ้าเถอะ”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ มีปิงลวี่อยู่ด้วย พี่สามอยู่เป็นเพื่อนพี่เจี่ยวเถอะ”
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากมองตามแผ่นหลังของร่างอรชรที่เดินห่างออกไป
บัดนี้หลีซานเป็นที่โปรดปรานของคนในจวนมากขึ้นทุกที เห็นทีว่าถ้าไม่มีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาวางอยู่ตรงหน้า คนอื่นคงไม่มีทางเชื่อ
นางไม่เชื่อหรอกว่าหลีซานจะไม่แสดงพิรุธออกมาได้ตลอด
หลังจากเฉียวเจากลับเข้าเรือน นางแตะอาหารเย็นไม่กี่คำก็ล้างหน้าบ้วนปากอย่างขอไปทีแล้วเอนกายลงนอนเลย
เวลายังไม่นับว่าดึกนัก แต่เทียนถูกจุดไฟแล้ว เฉียวเจานอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงอย่างกระสับกระส่าย
“คุณหนูเป็นอะไรไปหรือ” ที่นอกประตู ปิงลวี่กระซิบถามอาจูด้วยสีหน้าวิตกกังวล
อาจูส่ายหน้า
“ดูเหมือนว่าหลังพบกับเฉินกวงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ต้องเป็นเจ้าคนทึ่มนั่นพูดอะไรที่ทำให้คุณหนูโมโหเป็นแน่ ไม่ได้ ข้าจะไปคิดบัญชีกับเขา”
ปิงลวี่ที่จะเดินออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียดถูกอาจูรั้งตัวไว้ “คุณหนูไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับเฉินกวงหรอก อีกอย่างฟ้ามืดแล้ว เจ้าไปหาเฉินกวงได้อย่างไร”
ปิงลวี่ห่อเหี่ยวใจทันใด
ภายในห้องเฉียวเจาลุกพรวดขึ้นนั่ง ตะเบ็งเสียงบอก “อาจู รินน้ำให้ข้าที”
อาจูเดินลิ่วๆ เข้าไป “คุณหนู น้ำเจ้าค่ะ”
เฉียวเจายื่นมือรับถ้วยน้ำชาดื่มคำแล้วคำเล่า ตาเป็นประกายยิ่งกว่าหมู่ดาวบนฟากฟ้า
อาจูเห็นนัยน์ตาสีดำสุกใสวาววับคู่นั้นแล้วใจคอไม่ดีอยู่บ้างชอบกล แต่แววตาสงบนิ่งของเด็กสาวก็ทำให้นางสบายใจได้เช่นกัน
เฉียวเจาคืนถ้วยให้อาจู “เจ้าออกไปพักเถอะ ข้าไม่เป็นไร”
ในเมื่อขบไม่แตกว่าเหมาซื่อมีแรงจูงใจอันใดที่มากพอจะปองร้ายพี่ใหญ่ อย่างนั้นก็ไม่คิดแล้ว นางแค่ให้เหมาซื่อได้รับการลงโทษเท่านั้นเป็นพอ
เคราะห์ดีที่นางเอายาลูกกลอนให้พี่ใหญ่แต่เนิ่นๆ และให้เขาแกล้งล้มป่วยโดยยกข้ออ้างว่าได้รับความตกใจ เหมาซื่อน่าจะไม่ลงมือทำร้ายพี่ใหญ่อีกในเร็ววันนี้
ไม่รู้ว่าเซ่าหมิงยวนรู้เรื่องนี้แล้วจะทำอย่างไรนะ…
ด้วยเฉียวเจาเป็นคนเข้มแข็ง เมื่อตกลงปลงใจได้แล้วกลับเยือกเย็นลง ไม่นานนักก็หลับสนิทไป
ด้านเซ่าหมิงยวนฟังรายงานจากเฉินกวงแล้วเม้มปากแน่น จากนั้นพาองครักษ์สิบกว่าคนมุ่งหน้าไปจวนเสนาบดีโค่ว
ยามพลบค่ำ เหย้าเรือนส่วนใหญ่มีควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยอวล บนถนนมีคนสัญจรไปมาบางตา
กีบเท้าม้ากระทบพื้นถนนศิลาเขียวบังเกิดเสียงกุบกับๆ บุรุษผมสีดำด้านหน้าสุดสวมเสื้อคลุมสีขาว ท่วงท่าสง่าผึ่งผาย มีบุรุษชุดสีดำหลายสิบคนติดตามอยู่ข้างหลัง ขี่อาชาพ่วงพีขนสีดำเป็นมันเช่นเดียวกันหมด ส่วนท้ายขบวนเป็นรถม้าคันหนึ่ง
ทั้งที่บุรุษเหล่านี้มีสีหน้าเฉยเมยไร้แววดุดันให้เห็นแม้สักกระผีก ทว่าเสียงฝีเท้าม้าที่ทรงพลังและเป็นระเบียบ รวมถึงท่าทางขี่ม้าที่แทบจะพร้อมเพรียงกัน กลับทำให้ผู้คนบนถนนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่มองไม่เห็นระลอกหนึ่ง
เสียงนั้นราวกับว่ากีบเท้าม้ามิได้เหยียบย่ำบนพื้นถนนศิลาเขียว หากแต่กระแทกลงกลางใจของพวกเขาทีแล้วทีเล่าชวนให้ขวัญหนีดีฝ่ออย่างปราศจากเหตุผล
คนบนถนนลุกลนถอยหลบไปด้านข้างแล้วก้มหน้าลงไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง รอจนทหารม้ากองนี้เคลื่อนผ่านไปไกลแล้วถึงชะเง้อคอยืดคอยาวมองตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บางคนตกตะลึงไปเมื่อพบว่าทหารม้ากองนั้นหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนเสนาบดีกรมอาญา
เซ่าหมิงยวนหันศีรษะไปด้านข้างแล้วพยักหน้า
องครักษ์คนหนึ่งพลิกกายลงจากหลังม้าไปเคาะประตูบานใหญ่สีแดงเข้ม
“ใครน่ะ นี่มันยามใดแล้ว…” ยามเฝ้าประตูแง้มประตูเป็นรอยแยกเล็กๆ เยี่ยมหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง เสียงบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจขาดหายไปกะทันหันเมื่อเห็นม้าตัวโตสูงใหญ่สีเดียวกันหมด เขากล่าวเสียงหลง “เป็นใครหรือ”
“กวนจวินโหวมาเยี่ยมคารวะใต้เท้าของจวนเจ้า” องครักษ์กล่าวเสียงกังวาน
ยามเฝ้าประตูเคยเห็นขบวนทหารน่าเกรงขามเฉกนี้ที่ใดกัน เขาลืมเลือนไปชั่วขณะว่ากวนจวินโหวคือหลานเขยของใต้เท้าของตน ก้าวขาวิ่งเข้าไปรายงานเสียงกระหืดกระหอบ
“ไม่ได้การแล้วขอรับ กวนจวินโหวมาแล้ว พาคนมามากมาย ซ้ำยังขี่ม้ามาด้วย!”
เพลานี้เสนาบดีกรมอาญาโค่วสิงเจ๋อเพิ่งกลับจากที่ว่าการได้ไม่นาน เขากำลังไม่ค่อยสบอารมณ์ จึงเรียกบุตรชายคนโตโค่วป๋อไห่มาดื่มสุราด้วยกัน
สองพ่อลูกร่ำสุราอยู่ พลันได้ยินยามเฝ้าประตูบอกเช่นนี้ โค่วป๋อไห่ผุดลุกขึ้นผลุนผลันเดินออกไป
“หยุดก่อน” เสนาบดีโค่ววางจอกสุราลง ร้องเรียกคำหนึ่ง
“ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ยินหรือขอรับว่ากวนจวินโหวมาแล้ว! จู่ๆ เขาก็รุดมาเยือนในเวลานี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่อะไรเป็นแน่”
“ป๋อไห่ กวนจวินโหวเป็นใคร”
“กวนจวินโหว? เขาคือแม่ทัพผู้มิเคยพ่ายศึกที่องค์ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เองน่ะสิขอรับ เป็นบุคคลที่โดดเด่นหาใครเทียบมิได้แล้วในกองทัพ…”
เสนาบดีโค่วลุกขึ้นช้าๆ กล่าวเสียงขรึม “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่ากวนจวินโหวยังเป็นหลานเขยของข้า เขาสมควรเรียกเจ้าว่าท่านลุงด้วย”
โค่วป๋อไห่อ้าปากค้างแล้วยิ้มกระดากๆ “ข้าร้อนใจไปชั่ววูบเลยลืมไปจริงๆ ขอรับ”
เขากล่าวจบแล้วถลึงตาใส่คนที่มาบอกความพลางตะคอกดุ “พูดจาไม่รู้เรื่อง จะแตกตื่นลนลานไปด้วยเหตุใด”
เสนาบดีโค่วกวาดตามองเขา เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “พอแล้ว อย่ามัวถือสาหาความบ่าวไพร่คนหนึ่ง เจ้าออกไปต้อนรับ”
“ท่านพ่อ กวนจวินโหวอยู่ต่อหน้าพวกเรานับเป็นผู้เยาว์ จะออกไปต้อนรับด้วยเหตุใด…”
“เลอะเลือน!” เสนาบดีโค่วขึงตาใส่บุตรชายคนโต “เมื่อครู่ข้าเตือนเจ้าว่าอย่าลืมความสัมพันธ์ว่าเป็นเครือญาติกันชั้นนี้ ส่วนตอนนี้จะให้เจ้ารู้ว่าต่อให้กวนจวินโหวเป็นผู้เยาว์ของข้าและเจ้า แต่ศักดิ์ฐานะสำคัญที่สุดของเขายังคงเป็นกวนจวินโหวที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เขามาในตอนนี้เป็นงานราษฎร์หรืองานหลวงยังไม่แน่ชัด เจ้าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยขั้นห้าคนหนึ่ง จะไว้ยศไว้อย่างต่อหน้าเขาได้หรือ”
“ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องขอรับ” โค่วป๋อไห่สงบอารมณ์ครู่หนึ่ง วางท่าทางตามสบายหากแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมอยู่ในทียามเดินออกไปต้อนรับ
ประตูสีแดงเข้มเปิดออก โค่วป๋อไห่กล่าวกลั้วเสียงหัวร่อดังกังวาน “ท่านโหวมาแล้วหรือนี่ เชิญเข้าข้างใน”
เซ่าหมิงยวนส่งสายบังเหียนให้องครักษ์ด้านข้างก่อนจะสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไป
องครักษ์ชุดสีดำสิบกว่าคนเดินตบเท้าตามหลังเขาอย่างเป็นระเบียบพร้อมเพรียงกัน
โค่วป๋อไห่ไล่สายตามองพวกองครักษ์กลับไปกลับมารอบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
“คารวะท่านลุงขอรับ” เซ่าหมิงยวนประสานมือคำนับโค่วป๋อไห่ ดวงตาสีดำสนิทนิ่งสนิทมองผ่านหน้าเขาไป
ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าแสดงมารยาทได้ไร้ที่ติ แต่โค่วป๋อไห่กลับรู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายที่มองเขาแฝงแววเย็นเยียบจับกระดูกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ความรู้สึกเหนือกว่าที่มาพร้อมกับคำเรียกว่า ‘ท่านลุง’ มลายหายไปทันใด