หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 219
บทที่ 219
เฉินกวงเหยียดแผ่นหลังตรงทันใด
สวรรค์ หลังจากเบื่อหน่ายมาเนิ่นนานอย่างนี้ ก็มีคนสะกดรอยตามแล้ว!
สารถีน้อยหวดแส้คราหนึ่งแล้วร้องเพลงเสียงดังขึ้น
“เฉินกวงเป็นอะไรไป ร้องไม่ตรงทำนองสักเสียงเดียว ซ้ำยังยิ่งร้องยิ่งเสียงดังอีก คุณหนู เขาต้องแอบไม่พอใจที่ต้องออกมาตอนอากาศร้อนๆ เป็นแน่เลยจะตอบโต้เอาคืนเจ้าค่ะ”
“เปล่าหรอก เขาเบิกบานใจจริงๆ” เฉียวเจาหลับตาทำสมาธิ เสียงพิฆาตหูที่ดังมาจากด้านนอกไม่อาจกวนใจนางได้แม้แต่น้อยนิด
“เขาเบิกบานใจแล้วไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นโดยสิ้นเชิง” ปิงลวี่แหวกม่านออก ชะโงกศีรษะออกไปเอ็ดตะโร “เฉินกวงแหกปากร้องเพลงอะไรของเจ้าอยู่ หนวกหูจนคุณหนูพักผ่อนไม่ได้แล้ว”
เฉินกวงปิดปากไว้ “ขออภัย อารมณ์ดีเกินไปชั่วขณะเลยยั้งปากไม่อยู่ ข้าเลิกร้องแล้ว”
“อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” ปิงลวี่กำลังจะปล่อยม่านลง มือพลันชะงักค้างไป นางพูดเสียงงึมงำ “ไม่ถูกสิ ทิศทางนี้ดูเหมือนไม่ได้ไปที่หอชุนเฟิง…”
ได้ยินนางกล่าวคำนี้ เฉียวเจาลืมตาพรึบมองออกไปข้างนอก นางเห็นทิวทัศน์ข้างทางชัดถนัดตาแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา “ปิงลวี่ กลับมานั่ง”
แม้ว่าปิงลวี่จะทำอะไรวู่วามไปบ้าง แต่นางเชื่อฟังคำพูดของเฉียวเจาทุกอย่าง เมื่อได้ยินนางสั่งเช่นนี้ก็นั่งกลับลงที่เดิมอย่างสงบเสงี่ยม
“เฉินกวง เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เขาตอบกลั้วเสียงหัวเราะคิกคักโดยไม่แม้แต่หันหน้ามา “ไม่มีอะไรขอรับ มีพวกอ่อนหัดริอ่านตามพวกเรามา แต่คุณหนูสามวางใจได้ ข้าจะสลัดเจ้าคนไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นให้ตกคูไปเลยแน่นอน”
เฉียวเจาได้ยินวาจานี้แล้วปล่อยม่านประตูลง
ปิงลวี่ตื่นเต้นอยู่มาก “คุณหนู มีคนสะกดรอยตามพวกเราหรือเจ้าคะ”
“เอาล่ะ นั่งให้ดี อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ในเมื่อเฉินกวงบอกอย่างนี้ นั่นจะต้องไม่มีปัญหาแน่ องครักษ์ประจำตัวเซ่าหมิงยวนยังไม่ถึงขั้นไม่มีแม้แต่ความสามารถเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้
เฉียวเจานั่งอยู่บนรถม้าอย่างมั่นคง นางรู้สึกได้ว่ามันเลี้ยวซ้ายทีขวาที วิ่งๆ หยุดๆ วนเวียนไปมา ใช้เวลานานกว่าปกติมากถึงจอดที่ลานเรือนหลังของหอชุนเฟิงในที่สุด
ด้านคนพเนจรที่โดนเฉินกวงหลอกล่อจนหัวหมุนหยุดยืนอยู่หน้าเรือนตึกสูงที่แขวนโคมไฟสีแดงไว้แห่งหนึ่ง เขาแหงนคอเพ่งมองป้ายหน้าประตูที่ล้อมกรอบด้วยผ้าไหมสีแดง ทว่าอ่านไม่ออกสักตัว เขาพึมพำกับตนเอง “รถม้าคันนั้นเลี้ยวมาทางนี้แล้วก็หายไป น่าจะเข้าไปในนี้ไม่ผิด แต่ไฉนที่นี่ถึงคุ้นตาอย่างนี้นะ…”
“ชิ้วๆๆ ที่นี่เป็นที่ที่เจ้ามายืนได้หรือ” คนที่เฝ้าประตูอยู่ตวาดไล่คนพเนจรด้วยสีหน้าท่าทางดุร้ายเหี้ยมเกรียม
เวลานี้คนพเนจรถึงแจ่มแจ้งในบัดดล
ให้ตายสิ ที่นี่มิใช่หอปี้ชุนอันโด่งดังลือลั่นหรอกหรือ ปกติเขาจะมามองดูคนที่เดินเข้าเดินออกหน้าประตูใหญ่นี้แล้วได้แต่แอบกลืนน้ำลายตอนดึกๆ เสมอ พอเปลี่ยนเป็นกลางวันแสกๆ ถึงกับนึกไม่ออกในชั่วขณะ
“ไฉนยังไม่ไปอีก” คนเฝ้าประตูทำหน้าบึ้งชูไม้กระบอง
“ไปแล้วๆ” คนพเนจรปั้นหน้ายิ้มประจบเดินผละจากหน้าประตูหอปี้ชุนจนไปถึงมุมหนึ่งที่สายตาของคนเฝ้าประตูมองไม่เห็น เขาถ่มน้ำลายลงพื้นคำหนึ่ง
“ถุย! มีดีอะไรหนักหนา รอให้ข้าได้รับเงินส่วนที่เหลือแล้วก็มาเที่ยวได้เหมือนกัน!”
คนพเนจรเร่งรีบกลับไปยังจุดที่นัดหมายไว้กับหลีเจี่ยวและสาวใช้
เมื่อเห็นคนพเนจรกลับมาในที่สุด หลีเจี่ยวส่งสายตาบอกชุนฟางสาวใช้ที่แต่งกายแบบเด็กรับใช้
ชุนฟางเดินเข้าไปถาม “ว่าอย่างไร คงมิใช่ตามไม่ทันหรอกนะ”
“ท่านพูดอะไรของท่าน รถม้าคันใหญ่ถึงเพียงนั้น ข้าจะตามไม่ทันได้เช่นไรเล่า”
ชุนฟางหันศีรษะไปพยักพเยิดกับหลีเจี่ยว
หลีเจี่ยวลอบยินดีแล้วส่งสายตาบอก
ชุนฟางตีหน้าขรึมกล่าวว่า “ตกลง เจ้านำทางเถอะ พาพวกข้าไปยังสถานที่ที่รถม้าคันนั้นไป เงินนี้ก็เป็นของเจ้า”
“ไม่เป็นปัญหา ท่านทั้งสอง…ตามข้ามา” คนพเนจรกวาดตามองใบหน้าของพวกนางด้วยสายตาหลุกหลิก เขาลอบนึกขันอยู่บ้าง
สาวน้อยสองคนนี้ช่างชวนหัวเสียจริง นึกว่าสวมชุดบุรุษแล้วคนอื่นก็ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง นี่ท่าจะอ่านบทละครเรื่องเล่ามากเกินไปกระมัง
แต่จะว่าไปแล้วที่นั่นหาใช่สถานที่ที่สาวน้อยสองคนสมควรเข้าใกล้เลย แต่เขาไม่ได้ต้มตุ๋นใคร ก็รถม้าที่พวกนางให้เขาสะกดรอยตามเข้าไปในนั้นจริงๆ เขาสมควรรับเงินก้อนนี้ไว้ได้อย่างสบายใจ
คนพเนจรพาหลีเจี่ยวกับสาวใช้ไปที่หน้าหอปี้ชุน “เอาล่ะ รถม้าคันนั้นเข้าไปในนี้เอง แหะๆ เงินส่วนที่เหลือ…”
ชุนฟางโยนก้อนเงินเล็กๆ ไปในอ้อมแขนของคนพเนจร นางพูดด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ “ให้เจ้า เรื่องวันนี้ห้ามพูดกับคนอื่น หาไม่แล้วได้เห็นดีกัน”
“รับรองไม่พูดขอรับๆ” คนพเนจรเอาก้อนเงินซุกในอกเสื้อแล้วก้าวขาวิ่งไป
“คุณหนู ที่นี่คือที่ใดหรือเจ้าคะ”
หลีเจี่ยวแหงนคอมองอักษรสีทองสามตัวว่า ‘หอปี้ชุน’ บนป้ายหน้าประตูแล้วส่ายหน้า “ข้ารู้แต่ว่าห่างจากจวนเราไม่ไกลนักมีหอชุนเฟิงอยู่แห่งหนึ่ง ส่วนหอปี้ชุนนี้กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“หอชุนเฟิง หอปี้ชุน คุณหนู ข้ารู้แล้ว ที่นี่ต้องเป็นหอสุราแน่เลยเจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวไม่ใคร่แน่ใจนัก ดูจากชื่อน่าจะเป็นหอสุรา แต่สถานที่นี้มีบางอย่างแปลกๆ หอสุราที่ใดจะปิดประตูสนิทไม่ทำมาค้าขายตอนกลางวัน
เหตุใดหลีซานถึงมาที่นี่
ประเดี๋ยวก่อน…ใช่หรือไม่ว่าหลีซานทำเรื่องอะไรที่ให้ใครรู้ไม่ได้ ฉะนั้นถึงได้มาหอสุราพิลึกๆ แห่งนี้
“คุณหนู หรือไม่ข้าไปถามที่หน้าประตูดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้ ที่นี่ปิดประตูอยู่ ถ้าไปถามล่ะก็ ดีไม่ดีจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นทำให้หลีซานไหวตัวทัน ไปประตูหลังกัน”
เมื่อคิดไปถึงภาพที่เห็นในศาลาของจวน หลีเจี่ยวแทบจะอดใจไม่ไหว นางพาชุนฟางอ้อมไปที่ประตูหลัง เห็นคนเฝ้าประตูเป็นหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งก็ยัดเยียดเงินก้อนเล็กๆ ให้ก้อนหนึ่งทันที “ข้ามีสหายคนหนึ่งมาที่นี่ พวกข้ามีเรื่องด่วนอยากพบเขา โปรดเปิดทางสะดวกให้ด้วย”
หญิงวัยกลางคนที่เฝ้าประตูอยู่นั้นก็ไม่ธรรมดา นางเคยคลุกคลีอยู่ในสถานเริงโลกีย์เมื่อครั้งวัยสาว เห็นบุรุษหนุ่มสำอางผิวขาวเกลี้ยงเกลาสองคนยืนอยู่ตรงหน้า นางกวาดสายตาไปที่ใบหูของคนทั้งคู่แล้วในใจก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรทันที
นี่จะต้องเป็นเพราะเมื่อวานสามีมาที่หอนี้แล้วไม่กลับทั้งคืน ภรรยาในเรือนจึงมาตามตัวแล้ว
นี่มิใช่บุกมาหาเรื่องหรอกหรือ เช่นนี้ก็เรื่องใหญ่สิ!
“รีบๆ ไปเสีย ที่นี่ไม่มีคนที่พวกท่านอยากหาหรอก”
“ท่านป้าเปิดทางสะดวกให้ด้วยเถอะนะ” หลีเจี่ยวไม่อยากยื้อยุดฉุดดึงจนตกเป็นเป้าสายตา นางรีบยัดเยียดก้อนเงินหนักพอดูไปให้ก้อนหนึ่ง
หญิงวัยกลางคนลังเลใจทันใด “ไม่ได้จริงๆ ถ้าพวกท่านก่อความวุ่นวายขึ้นมา ข้าต้องรับผิดชอบ…”
“ท่านป้าวางใจได้ พวกข้าไม่ก่อเรื่องเป็นอันขาด” หลีเจี่ยวตัดใจยัดเยียดเงินให้อีกก้อนหนึ่ง
เมื่อให้เงินก้อนนี้ไป ตาชั่งในใจที่โอนเอนไปมาก็เอียงไปข้างหนึ่งทันที “ตกลง พวกท่านเข้าไปหาคนเจอแล้ว อยากทะเลาะอยากทุบตีก็ออกจากประตูนี้แล้วค่อยว่ากัน แต่อย่าวิวาทกันข้างในเด็ดขาดนะ”
“ท่านป้าวางใจได้ ไม่แน่นอน พวกข้าเข้าใจแล้ว”
ดูท่าว่าจะตามหาสามีจนเชี่ยวชาญ เฮ้อ…จะว่าไปเป็นภรรยาเอกก็มิใช่ง่ายดายเลย ทั้งที่โฉมงามดุจบุปผา แต่นานวันเข้าไหนเลยจะชวนให้ติดอกติดใจอย่างพวกสตรีในหอ
หญิงวัยกลางคนเปิดประตูเล็กออก หลีเจี่ยวพาสาวใช้เล็ดลอดเข้าไปอย่างว่องไว
ลักษณะของศาลาเรือนตึกและต้นไม้ดอกไม้ภายในแฝงความฉูดฉาดไว้มากกว่าเหย้าเรือนปกติทั่วไปอยู่หลายส่วน ในอากาศมีกลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉมลอยอวลรวยริน
หลีเจี่ยวเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตและหลานสาวของรองเสนาบดีกรมอาญา หากตลอดชีวิตสิบหกปีที่ผ่านมาไม่เคยเฉียดกรายเข้าใกล้หอคณิกามาก่อน แต่ถึงอย่างไรนางมิใช่คนโง่งม เมื่อความรู้สึกไม่ชอบมาพากลในใจทวีความรุนแรงขึ้นทุกที ชั่วเสี้ยวเวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียวนี้นางก็กระจ่างแจ้งโดยพลันว่าที่นี่คือที่ใดแล้ว
“คุณหนู ไฉนไม่เดินต่อเล่าเจ้าคะ”