หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 22
บทที่ 22
บิดามารดาและญาติพี่น้องสิ้นชีพในกองเพลิงทั้งหมด คุณชายเฉียวที่รอดตายมาได้ยังมีแก่ใจไปเยี่ยมคารวะสหาย นี่ไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัด
ข้าได้รับข่าวจากผู้ใต้อาณัติว่าเมื่อสามวันก่อนคุณชายเฉียวมาถึงเมืองหลวงแล้วพำนักอยู่ในจวนเสนาบดีโค่วที่เป็นญาติทางฝั่งมารดา แต่เรื่องที่เขาเข้าเมืองหลวงยังไม่แพร่ออกไปขอรับ
เจียงถังพยักหน้าแล้วกล่าวกับเจียงหย่วนเฉา ส่งคนจับตาดูไว้ต่อไป ถึงข่าวที่พวกเราสืบมาไม่จำเป็นต้องทูลรายงานฮ่องเต้ทั้งหมด แต่ก่อนจะทำอะไรต้องมั่นใจ เพื่อป้องกันมิให้วันดีคืนดีโดนใครเล่นงานอย่างไม่ทันตั้งตัว
ท่านพ่อบุญธรรมวางใจได้ ข้าทราบดีขอรับ
เจียงถังหยักยิ้ม ข้าเชื่อมือเจ้าเสมอ ส่วนเรื่องของสกุลเฉียวจะปิดบังต่อไปมิได้อีก ถึงเวลาสมควรทูลรายงานฮ่องเต้แล้ว
เมื่อเห็นบุตรชายบุญธรรมส่งสายตาเป็นเชิงถาม เขาก็เอ่ยอธิบายต่อ กวนจวินโหวกลับมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังเป็นที่โปรดปราน อีกทั้งภรรยาเขายังพลีชีพเพื่อบ้านเมือง ถ้าฮ่องเต้ไม่ทรงทราบเรื่องของสกุลเฉียวเลย วันหน้าจะกริ้วเอาได้ อีกประการหนึ่งตาเฒ่าโค่วสิงเจ๋อไม่เคลื่อนไหวเรื่อยมา เกรงว่าคงรอเวลานี้อยู่เช่นกัน
ใบหน้าเจียงหย่วนเฉาฉาบด้วยรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวล แต่จิตใจกลับมิได้นุ่มนวลเช่นนั้น เมื่อหูได้ยินถึงแค่คำว่า ‘พลีชีพเพื่อบ้านเมือง’ คำไม่กี่คำนี้ก็ทำให้เขาทั้งเจ็บทั้งจุกตรงหน้าอกละม้ายโดนมีดเล่มเล็กๆ ปักเข้ากลางใจ
เป็นอะไรไปหรือ เจียงถังจับสังเกตได้ว่าบุตรชายบุญธรรมผิดปกติไป เขาจึงเอ่ยปากถามไถ่
เจียงหย่วนเฉาดึงสติคืนมา รอยยิ้มของเขาแสนบางเบา เป็นคราแรกที่ได้ยินว่าสตรีพลีชีพเพื่อบ้านเมืองขอรับ
เจียงถังรู้สึกชอบกลในใจอยู่บ้าง ทว่าเจียงหย่วนเฉากลับเป็นปกติดังเดิมแล้วลุกขึ้นบอกอย่างเคารพนับถือ
ท่านพ่อบุญธรรม ข้าเร่งเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน เนื้อตัวเลอะเทอะมอมแมม อยากกลับไปชำระกายผลัดอาภรณ์ แล้วค่อยมารับฟังคำชี้แนะสั่งสอนจากท่านอีกทีขอรับ
จะกลับไปที่ใดเล่า ข้าจัดเตรียมเรือนว่างๆ ไว้ให้เจ้าแต่แรก พักที่นี่ไปก่อน เรือนของเจ้าไม่มีคนอยู่มานาน ซ่อมแซมให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับไปอยู่
เจียงหย่วนเฉารับคำอย่างโอนอ่อนคล้อยตาม
เจียงถังกล่าวยิ้มๆ คราวนี้หร่านรานคงดีใจน่าดู
เจียงหย่วนเฉาเพียงยกยิ้มมุมปากมิได้พูดตอบอันใด
ชั้นบนของเพิ่งน้ำชาริมถนน ฉือชั่นเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ดื่มน้ำชาอย่างเนือยๆ
ถนนเบื้องล่างกว้างขวางว่างโหรงเหรง หลังกองทหารเป่ยเจิงเคลื่อนผ่านไปแล้ว ชาวเมืองทั้งหลายที่ยืนต้อนรับอยู่สองข้างทางก็วิ่งตามไปด้วย ทิ้งไว้แต่เศษดอกไม้และผ้าเช็ดหน้าซึ่งถูกย่ำเหยียบจนสกปรกเกลื่อนพื้น ไม่หลงเหลือความสดใสงดงามเฉกเช่นคราแรกอีกแล้ว
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเซ่าหมิงยวนจะเป็นที่นิยมชมชอบปานนี้
นานทีปีหนจะเห็นคุณชายฉืออิจฉานะขอรับ พรืด… หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยประชดประชันพร้อมหลุดหัวเราะพรืดอย่างขบขัน
ฉือชั่นยกขาถีบ พูดจาส่งเดชอะไร อีกหน่อยมีเขาช่วยแบ่งเบาเรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นไปครึ่งหนึ่ง ข้าสมควรขอบคุณเขาต่างหากเล่า
จูเยี่ยนด้านข้างเอ่ยเสนอขึ้นพร้อมรอยยิ้ม จะว่าไปแล้วพวกเราไม่ได้สังสรรค์กับถิงเฉวียนมานานหลายปีแล้วนะ
เซ่าหมิงยวน มีชื่อรองว่าถิงเฉวียน
ทั้งสี่เป็นสหายรักกันมาแต่วัยเยาว์ ย่อมมีไมตรีต่อกันมิใช่สามัญ ทว่าหลังจากเซ่าหมิงยวนสวมเกราะออกรบตั้งแต่อายุสิบสี่ปีก็ได้พบปะกับสามคนนี้น้อยครั้งมาก นานวันเข้ามิตรภาพของอีกสามคนจึงลึกซึ้งแน่นแฟ้นกว่าบ้างเป็นธรรมดา
ถึงกระนั้นก็ตาม สหายรักที่คบหากันมายาวนานกลับเมืองหลวงแล้ว พวกเขายังคงดีอกดีใจ
หยางโฮ่วเฉิงทบทวนความทรงจำแล้วกล่าวขึ้น เคยเจอกันตอนพิธีมงคลของเขา แต่พวกเรายังไม่ทันจะก่อกวนเรือนหอ เจ้าคนผู้นั้นก็วิ่งโร่ไปทำศึกอีกแล้ว เฮ้อ…พวกเจ้าว่าในใจถิงเฉวียนเป็นสุขหรือไม่ ภรรยาเขา…
พอพูดถึงตรงนี้ ทั้งสามคนพากันนิ่งเงียบไป
สุดท้ายยังคงเป็นฉือชั่นที่ปริปากขึ้นก่อน จะไม่เป็นสุขได้อย่างไร พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าวันนี้เขาเป็นที่นิยมชมชอบเพียงใด วันหน้าไม่ว่าองค์หญิงหรือคุณหนูสูงศักดิ์ เขาจะเลือกคนใดก็ได้มิใช่หรือ ช่างเถอะ เลิกพูดเรื่องชวนให้อารมณ์เสียพรรค์นี้ กลับไปค่อยเรียกเขาออกมาดื่มสุรากัน
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสบตากันแล้วต่างทำหน้าจนปัญญา
เจ้าคนผู้นี้ปากไม่ตรงกับใจอีกแล้ว ทั้งที่ในพวกเขาสี่คน ฉือชั่นกับถิงเฉวียนสนิทกันมากที่สุด วันนี้เขายังรีบร้อนมาตั้งแต่เช้าตรู่และกินอาหารไปตั้งหลายจาน
ฉือชั่นลุกขึ้นเดินทอดน่องไปทางบันไดลงชั้นล่าง ทว่าหมุนกายกลับกลางคันมาเอ่ยถามพลางยิ้มที่มุมปาก ดูเหมือนข้าจะเห็นต้นกระบองเพชรลอยไปพร้อมกับดอกไม้เต็มฟ้า พวกเจ้าเห็นหรือไม่
เห็นแล้วๆ เป็นแม่นางน้อยแซ่หลีปาออกไป หยางโฮ่วเฉิงยิ้มย่องผ่องใส
ฉือชั่นกับจูเยี่ยนล้วนจ้องหน้าเขา
เจ้าคนผู้นี้ตื่นเต้นอะไรกัน
ดูทีว่านางหายป่วยแล้ว มือแม่นไม่เลว ฉือชั่นยกมือโบกให้คนข้างหลัง แยกย้ายเถอะ ต่างคนต่างกลับเรือนได้แล้ว
วังขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงตั้งอยู่ในแถบที่รุ่งเรืองที่สุดของเมืองหลวง มีอาณาเขตกว้างขวาง ในอุทยานยังปลูกพรรณไม้แปลกหาดูได้ยากไว้มากมาย
กลางหมู่มวลบุปผานานาสีสัน สตรีโฉมงามเฉิดฉายออกเรือนแล้วนางหนึ่งนั่งเอนหลังอยู่บนตั่งไม้ไผ่ มือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งถือพัดกลมโบกไปโบกมาตามเรื่องตามราว
ตรงปลายเท้ามีบุรุษชุดสีดำแกมเขียวผู้หนึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งบีบขาให้นางเบาๆ ส่วนเบื้องหน้านางยังมีบุรุษชุดแพรกำลังปอกเปลือกองุ่นอย่างบรรจงอีกคน
เขามีนิ้วมือเรียวยาว ตัดแต่งเล็บมืออย่างสะอาดเรียบร้อย ปอกเปลือกองุ่นอย่างชำนิชำนาญเสร็จลูกหนึ่งก็ยื่นไปจ่อข้างริมฝีปากของอีกฝ่าย
นางกินองุ่นจากมือบุรุษชุดแพรแล้วค่อยคายเมล็ดลงกลางฝ่ามือเขา
องุ่นที่ปลูกในโรงเรือนไม่ใคร่มีรสชาติ องค์หญิงใหญ่กินไม่กี่ลูกก็โบกมือไปมา บอกกับนางข้าหลวงหน้าตาหมดจดที่ยืนอยู่ข้างกายว่า ตงอวี๋ไปเรียกคนผู้นั้นมานี่ที
ตงอวี๋เข้าใจความหมาย นางขานตอบเสียงหนึ่งแล้วหมุนกายเดินออกไป ไม่นานนักก็พาสตรีออกเรือนแล้วนางหนึ่งมา
นางสวมเสื้อคลุมผ่าหน้าสีทองอ่อน มุ่นผมเป็นมวยเมฆาปักปิ่นทองเหลืองอร่ามสี่คู่กับปิ่นดอกไม้ไหวทองคำอีกหนึ่งแท่งอย่างหรูหราภูมิฐานยิ่ง หากใบหน้านางกลับเหลืองซีดยิ่งกว่าปิ่นทอง ดูแก่ชราร่วงโรยจนทำให้คะเนอายุไม่ถูก
สตรีออกเรือนแล้วนางนั้นมาถึงตรงหน้าองค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็คุกเข่าลงอย่างแข็งทื่อ บ่าวขอถวายพระพรเพคะ
บอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องเรียกตนเองว่าบ่าวต่อหน้าข้า องค์หญิงใหญ่ฉางหรงโยนพัดกลมไปด้านข้างอย่างเฉื่อยชา เชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวเสียงเนิบนาบ จากนั้นก็กวักมือเรียก เข้ามา
พอนางเดินเข่าเข้ามาใกล้ องค์หญิงก็ยื่นเท้าเปลือยเปล่าขาวเนียนเชยคางนางขึ้น ทั้งที่เสียงพูดแผ่วนุ่มแต่กลับเผยรอยเหยียดหยามจากส่วนลึกในใจออกมา ฮึ…ข้าไม่มีบ่าวเช่นนี้หรอกนะ
เสียงฝีเท้าดังขึ้น นางข้าหลวงตงอวี๋กระซิบบอกที่ข้างหูองค์หญิงใหญ่ องค์หญิง คุณชายกลับมาแล้วเพคะ
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงทอดสายตามองไกลไปที่ฉือชั่นซึ่งกำลังเดินมาหาแวบหนึ่ง ดึงความสนใจคืนมาแล้วเอาเท้าเปลือยเปล่าถูไถกับข้างแก้มสตรีออกเรือนแล้วนางนั้น เช็ดให้สะอาดแล้วสวมรองเท้าให้ข้าด้วย
นางประคองเท้าขององค์หญิงใหญ่ด้วยสองมือ แล้วเช็ดอย่างระมัดระวังราวกับเป็นของล้ำค่าหายาก ชายงามกับข้ารับใช้ที่รายล้อมอยู่รอบตัวองค์หญิงล้วนเห็นเป็นเรื่องปกติ
ฉือชั่นเดินเข้ามาใกล้แล้วแสดงคารวะ ท่านแม่
เขามองสตรีออกเรือนแล้วผู้นั้นปราดหนึ่ง บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร
ครั้งนั้นตอนได้พบกับสตรีผู้นี้เป็นครั้งแรก เขาอยากฟันกระบี่สังหารนางแทบใจจะขาด แต่มารดาห้ามไว้ บัดนี้เขาปราศจากความรู้สึกใดแล้ว ถึงขั้นเศร้าใจแทนนาง
ไม่ว่าภูษาอาภรณ์หรือแก้วแหวนเงินทอง มารดาเขาไม่เคยให้นางต้องขัดสนสิ่งของพวกนี้ ทว่านางกลับดูสูงวัยกว่าสตรีวัยเดียวกันมิใช่แค่สิบปี
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงพยักหน้าอย่างขอไปที นางมิได้สนใจฉือชั่นนัก ใช้ขาข้างที่สวมรองเท้าเสร็จแล้วเตะแก้มอีกฝ่าย กล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย อยู่กับข้าเป็นอย่างไร เจ้ากับบุตรชายบุตรสาวคู่นั้นของเจ้าได้เสพสุขกับลาภยศสรรเสริญไม่สิ้นสุด ดีกว่าอยู่กับเจ้าผีอายุสั้นที่ได้แต่แอบยักเงินเก็บเอาไว้เองผู้นั้นมากกระมัง
เพคะ สตรีออกเรือนแล้วไม่กล้าหลบ นางพยักหน้าถี่รัว
ดังนั้นสตรีเราอย่ามีสายตาคับแคบอย่างนั้น มิใช่ว่าใครๆ จะมีบุญวาสนาอย่างเจ้านะ องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเยาะเย้ยอีกฝ่ายจนพอใจแล้วก็โบกมือไปมา
ตงอวี๋พานางออกไปทันที
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงมิได้สั่งให้ชายงามที่ปรนนิบัติตนอยู่ถอยออกไป นางมองฉือชั่นด้วยท่าทางไม่แยแสอันใด เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า เจ้ายุ่งกับภาพวาดของอาจารย์เฉียวที่ข้าสะสมไว้ใช่หรือไม่