หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 225
บทที่ 225
หลานสาวต่ำช้าเลวทราม?!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วสีหน้าขรึมลงทันควัน นางสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “ทั้งสองท่านมีเรื่องอะไรเข้าเรือนแล้วค่อยคุยกันเถอะ พวกข้าสกุลหลีมิใช่ครอบครัวที่ไม่รู้ธรรมเนียมมารยาท มีอย่างที่ใดแขกมาเยือนถึงที่ไม่แม้แต่จะยกน้ำชามาให้สักถ้วย”
นี่จะชี้เป็นนัยๆ ว่าฉางชุนป๋อกับภรรยาไม่รู้ธรรมเนียมมารยาทของผู้เป็นแขก
ฮูหยินของฉางชุนป๋อเพิ่งตั้งท่าจะด่าทอยกใหญ่ เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหมุนกายเดินเข้าไปข้างในทิ้งตนไว้ที่เดิม นางมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เหยียดตรงแหน็ว ไม่คล้ายหญิงชราเจียนย่างวัยหกสิบโดยสิ้นเชิง
ฉางชุนป๋อตบแขนของฮูหยินเบาๆ “เข้าไปแล้วค่อยพูด”
ความจริงประจักษ์ชัดอยู่ตรงหน้านี้แล้วย่อมหนีไม่พ้น หากสกุลหลีไม่ยอมรับค่อยทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรบุตรชายเขาเป็นอะไรไป สกุลหลีก็ไม่ได้อยู่เป็นสุขเช่นกัน
เมื่อฉางชุนป๋อกับภรรยาเข้าสู่โถงรับแขก ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวเสียงเรียบขึ้นว่า “ท่านทั้งสองเชิญนั่งเถอะ มีเรื่องใดค่อยๆ พูดกัน แล้วคนต่ำช้าเลวทรามดังปากท่านว่านั่น ข้าฟังไม่เข้าใจหรอกนะ”
“ไม่ต้องทำไขสืออีก มอบตัวคุณหนูสามของจวนท่านออกมาโดยไว ชดใช้ชีวิตให้บุตรชายข้า”
“ท่านว่าอะไรนะ!” แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งขึงไป
ด้านหลีกวงเหวินเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เลิกแสร้งทำเลอะเลือน หลีซานนางเด็กตัวดีนั่นปลอมตัวเป็นบุรุษไปที่หอปี้ชุน ตีหัวบุตรชายข้าจนสลบไสลไม่ได้สติ ท่านหมอหลวงบอกว่าบุตรชายข้าจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่มิอาจรู้ได้แน่ชัด! พวกท่านมอบตัวนางเด็กตัวดีนั่นออกมาแต่โดยดี ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะก็ ต่อให้เรื่องไปถึงที่ว่าการ พวกข้าก็ไม่กลัว!”
“ฮูหยินท่านป๋อบอกว่าหลานเจาของจวนข้าไปที่หอปี้ชุน?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตบโต๊ะดังปัง “เหลวไหลสิ้นดี! หลานสาวข้ามีนิสัยใจคออย่างไร ข้าแจ่มแจ้งดีที่สุด นางจะไปสถานที่โสโครกเช่นหอปี้ชุนพรรค์นั้นได้รึ อีกประการหนึ่ง ท่านบอกเองว่าบุตรชายท่านถูกคนตีหัวจนไม่ได้สติ เช่นนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเป็นฝีมือใคร แม้นสกุลหลีของพวกข้าจะไร้อำนาจบารมี แต่ไม่ปล่อยให้ใครมาสาดโคลนใส่ตัวตามใจชอบได้”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านต้องช่วยกันปกปิดให้นางเด็กตัวดีนั่น ข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ นั่นก็เพราะว่าสวรรค์มีตาน่ะสิ บุตรชายข้าฟื้นขึ้นมาเป็นชั่วเวลาสั้นๆ จากนั้นบอกว่าคนที่ทำร้ายเขาคือคุณหนูสามของจวนพวกท่าน! ถ้าไม่อย่างนั้นที่นี่เป็นบ่อเงินหรือบ่อทองหรือไร จวนฉางชุนป๋อถึงจะมาต้มตุ๋นเงินทอง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ดูท่าทางนี้ของนางไม่คล้ายพูดเท็จจริงๆ
ฉางชุนป๋ออ้าปากกล่าวเสียงปึ่งชา “ตอนบุตรชายข้าบอกว่าเป็นคุณหนูสามของจวนท่าน ท่านหมอหลวงก็อยู่ด้วย หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อ พวกข้าเชิญท่านหมอหลวงที่ตรวจอาการให้บุตรชายมาเป็นพยานได้”
“เช่นนั้นก็เชิญท่านหมอหลวงมาเถอะ ข้อกล่าวหาของท่านทั้งสองน่าตกใจเกินไป ก่อนไขความให้กระจ่างแจ้งถึงที่สุด ข้าไม่มีทางรับปากเรื่องใดทั้งนั้น” น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าหนักแน่นทรงพลังมาก
ฉางชุนป๋อกับภรรยาสบตากัน
สกุลหลีไม่เหมือนครอบครัวสามัญทั่วไป กระทั่งกององครักษ์จินหลินยังกล้าคัดง้างด้วย เห็นได้ว่าเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ คิดจะใช้วิธีข่มขู่คนประเภทนี้คงไม่ได้ผลเป็นแน่แท้ ต้องพูดกันด้วยพยานหลักฐานเท่านั้น
“ก็ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากับใต้เท้าหลีโปรดรอก่อน” ฉางชุนป๋อกล่าวจบแล้วเรียกผู้ดูแลมาจะสั่งให้ไปเชิญคน จู่ๆ ก็หยุดชะงักหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ฮูหยินผู้เฒ่ามิสู้ส่งคนไปเชิญจะดีกว่า เป็นท่านหมอหลวงจางของสำนักแพทย์หลวง ประเดี๋ยวพวกข้าส่งคนไปเชิญ พวกท่านจะสงสัยว่าพวกข้าสามีภรรยาติดสินบนท่านหมอหลวง ถึงตอนนั้นจะปากแข็งไม่ยอมรับอีก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ยินถ้อยคำนี้แล้วในใจหนักอึ้งอีกครา ลางสังหรณ์ไม่ดีทบทวีมากขึ้น
กระนั้นนางยังคงสุดปัญญาจะเชื่อว่าหลานสาวคนที่สามกระทำเรื่องเหลวไหลถึงขีดสุดพรรค์นี้ได้ นางเอ่ยกับหลีกวงเหวิน “เจ้าใหญ่ เจ้าไปเชิญด้วยตัวเองเถอะ บอกว่าข้าไม่ค่อยสบายแล้วกัน”
“ขอรับ” หลีกวงเหวินขานรับแล้วออกไปเชิญหมอหลวงจางเอง
ภายในโถงเงียบสงบลงโดยพลัน ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มช้าๆ เก็บงำความกระวนกระวายใจ
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ตัวคนยังไม่มา เสียงพูดก็มาถึงก่อน “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าได้ยินว่ามีคนมาหาเรื่องหรือเจ้าคะ”
ผ้าม่านขยับไหว เหอซื่อเดินถือกรรไกรในมือเข้ามา
สายตาของฉางชุนป๋อกับภรรยาหยุดอยู่ที่กรรไกรทอประกายวาววับเล่มนั้นอย่างช่วยไม่ได้
เหอซื่อชายตามองคนทั้งคู่ปราดหนึ่งก่อนกล่าวยิ้มๆ “กำลังตัดแต่งกิ่งไม้อยู่เลยถือติดมือมาด้วยเจ้าค่ะ” ว่าแล้วก็ชูกรรไกรในมือไปทางฉางชุนป๋อกับภรรยา
ทั้งสองหน้าเสียไปกะทันหัน
หากมิใช่ว่าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเกือบเปล่งเสียงหัวร่อออกมาแล้ว
ตัดแต่งกิ่งไม้อะไรกัน คนอื่นอาจไม่ล่วงรู้ แต่นางรู้ดีมิใช่หรือว่าลูกสะใภ้ผู้นี้ไม่ใช่พวกแสร้งทำมีอารมณ์สุนทรีย์
“ท่านนี้คือมารดาของคุณหนูสามกระมัง” ฮูหยินของฉางชุนป๋อเอ่ยปากขึ้น
“ถูกต้อง ไม่ทราบว่านายหญิงท่านนี้มาจากจวนใดหรือ”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อแค่นเสียงเยาะ “พวกข้ามาวันนี้มิใช่รำลึกความหลังกันนะ ฮูหยินผู้เฒ่า เชิญคุณหนูสามของจวนท่านออกมาก่อนเถอะ ข้ากลับอยากเห็นนักว่ามีรูปโฉมโนมพรรณเช่นใด”
เหอซื่อกลอกตาขึ้น “คำกล่าวนี้ช่างชวนหัวเสียจริง นายหญิงท่านนี้เป็นเครือญาติหรือมีไมตรีแต่หนหลังกับจวนพวกข้าหรือ อ้าปากก็บอกว่าอยากพบคุณหนูของจวนพวกข้า นี่ไปพูดที่ใดก็ไม่เหมาะไม่ควรกระมัง”
“คนที่ข้าอยากพบหาได้เป็นคุณหนูอันใดไม่ หากแต่เป็นคนที่ทำร้ายบุตรชายข้า”
“เช่นนั้นยิ่งให้ท่านพบไม่ได้ไปกันใหญ่ เพราะบุตรสาวข้ามิใช่คนร้าย”
เหอซื่อพูดจาคล่องแคล่วว่องไว ซ้ำยังเป็นคนโผงผาง ทำให้ฮูหยินของฉางชุนป๋อโมโหเจียนคลั่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งเฉยดูดายไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ ก่อนที่เรื่องราวจะกระจ่าง นางไม่มีทางให้พวกเขาได้พบกับหลานสาวของตนแน่
บรรยากาศในห้องโถงตึงเครียดเป็นพิเศษ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่ามันหลับใหลอยู่ สำหรับทุกๆ คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง
ยามนี้เองเสียงความเคลื่อนไหวก็ดังมาจากข้างนอกในที่สุด หลีกวงเหวินพาหมอหลวงจางเดินเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลุกขึ้นอย่างลืมตัว
หมอหลวงจางกวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นสถานการณ์ภายในโถงนี้แล้วรับรู้ได้ทันใดว่าไม่เข้าที เคราะห์ร้ายดีแท้ นี่เขาถูกดึงเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งของคนพวกนี้เสียแล้ว
สมดังคาด หลังจากโอภาปราศรัยกันสั้นๆ ฉางชุนป๋อก็ถามตรงเข้าเรื่อง “ท่านหมอหลวงจาง หลังจากท่านตรวจอาการให้บุตรชายข้า เขาเคยได้สติชั่วครู่หนึ่ง มีเรื่องเช่นนี้อยู่ใช่หรือไม่”
“ใช่” หมอหลวงจางพยักหน้า
สองครอบครัวนี้ ฝ่ายหนึ่งคือจวนท่านป๋อ ฝ่ายหนึ่งคือจวนของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต จะว่าไปแล้วล้วนมิใช่ตระกูลสูงศักดิ์แถวหน้า เขาตอบตามความจริงไปเสียกลับช่วยตัดปัญหาไปได้ไม่น้อย
“ท่านหมอหลวงน่าจะจำได้ว่าพอบุตรชายข้าฟื้นแล้วพูดว่าอะไรกระมัง”
เมื่อฉางชุนป๋อกล่าวคำนี้ ทุกคนในโถงพากันมองหน้าหมอหลวงจางเป็นตาเดียวกัน
ประหนึ่งสัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อนในดวงตาเหล่านั้นได้ ยามสายตาของหมอหลวงจางหยุดอยู่ที่เรือนผมสีดอกเลาของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง เขาลอบถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าวอย่างลังเล “ดูเหมือนว่าตอนนั้นบุตรชายท่านจะพูดว่าจวนสกุลหลี ตรอกซิ่งจื่อ แล้วก็หนูสาม”
หญิงชราทรุดฮวบลงนั่งกลับไปบนเก้าอี้
เหอซื่อตะลึงงันไปอึดใจหนึ่งแล้วบันดาลโทสะยกใหญ่ นางถือกรรไกรปรี่เข้าใส่ “ตาเฒ่าผู้นี้ ปั้นน้ำเป็นตัวได้เยี่ยงไร…”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อก็ไม่หวาดกลัว นางเอาตัวบังด้านหน้าหมอหลวงจางพลางกล่าว “จะทำอะไรๆ คิดจะสังหารพยานปิดปากหรือ”
“พยานอะไรกัน นี่มันตาเฒ่าหงำเหงือกชอบพูดจาส่งเดชชัดๆ…”
หมอหลวงมีน้ำโหแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วแค่นเสียงฮึ “ข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสำนักแพทย์หลวงมาหลายปีแล้ว ยังไม่ถึงกับต้องปั้นน้ำเป็นตัวใส่ความใคร คุณชายเล็กของจวนท่านป๋อกล่าวถ้อยคำนั้นจริงๆ ไม่มีผิดเพี้ยนสักคำ ส่วนว่าเหตุใดเขาเอ่ยถึงจวนท่านนั้นมิใช่กงการใดของข้าแล้ว ขออำลา!”