หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 233
บทที่ 233
“ท่านรู้จักคุณหนูสามสกุลหลีหรือ”
“กล้าทำร้ายข้าบาดเจ็บ ถึงนางสลายเป็นเถ้ากระดูกข้าก็จำได้”
“แต่ท่านไม่รู้จักข้า”
“เจ้าเป็นใครกัน” จย่าซูเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวเฉียวเจาแล้วดวงตาลุกวาวโดยพลัน “เอ๊ะ เป็นสาวน้อยนางหนึ่งเช่นกันหรือ”
สายตาของนางนิ่งเรียบ “ข้าขอถามซ้ำอีกครั้ง ท่านไม่เคยเห็นข้าจริงๆ หรือ ไม่รู้จักข้าหรือไร”
จย่าซูเริ่มหงุดหงิด ยื่นมือไปผลักเฉียวเจา “เจ้าเป็นคนชั้นใดกัน เรื่องอะไรข้าต้องรู้จักเจ้าด้วย”
ม้านั่งเล็กตัวหนึ่งลอยข้ามกลุ่มคนพุ่งมาหาจย่าซู
“คุณชายระวังขอรับ” คนงานในเรือนผู้หนึ่งรีบผลักเขาหลบ
ม้านั่งหล่นลงบนพื้นหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เสียงร้องโวยวายดังมาจากฝูงชน “เจ้าลูกเต่าคนใดเอาม้านั่งของข้าขว้างออกไป”
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งรีบลากตัวฉือชั่นไปอีกทางปาดเหงื่อเย็นออก “สือซี อย่าทำเช่นนี้สิ พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ขว้างม้านั่ง!”
“ใครใช้ให้เขาปากเสีย” ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะ
“อย่างนั้นพวกเราโยนอย่างอื่นไม่ได้หรือ อย่างเช่นพวกถุงผ้าปัก เป็นการสั่งสอนเบาะๆ ก็พอ เกิดขว้างโดนคนจนเป็นอะไรไป จะยุ่งยากมากขึ้นอีก”
หยางโฮ่วเฉิงพูดจบแล้วหัวเราะ ใช้ศอกกระทุ้งสหายรักทีหนึ่ง “ฮ่าๆ สือซีเจ้าขู่ให้เขาตกใจกระมัง ข้าเห็นม้านั่งลอยห่างจากตัวเขาไปมากอยู่นะ”
คุณชายฉือหน้าง้ำหน้างอเป็นจวัก เขากล่าวเสียงลอดไรฟัน “ข้าโยนพลาดไป!”
ไม่อยากพูดกับคนป่าเถื่อนแล้ว!
พอโดนขว้างด้วยม้านั่ง จย่าซูถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ดูคล้ายจะไม่ปกติ
เขาเบือนหน้ากวาดตามองซ้ายทีขวาทีอย่างยากลำบาก
คนนับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน
ท่าทีแรกของจย่าซูคือก้มหน้าลงทันที จากนั้นระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
ค่อยยังชั่วๆ สวมอาภรณ์อยู่
ยามเขาสนุกสนานบ้าคลั่งที่สุดในหอคณิกา เคยฝันร้ายว่าพอตื่นขึ้นมาพบว่าถูกคนเปลื้องอาภรณ์ออกหมดแล้วโยนทิ้งไว้กลางถนน ซ้ำร้ายยังเป็นเวลากลางวัน!
“ซูเอ๋อร์ เจ้าหายดีแล้วจริงๆ หรือ” ฮูหยินของฉางชุนป๋อฟื้นขึ้นมาเมื่อไรก็สุดรู้ นางกอดบุตรชายไว้
จย่าซูงุนงง “ท่านแม่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ข้า…ข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ซูเอ๋อร์ เจ้าจำไม่ได้หรือ เจ้าโดนคนทำร้ายบาดเจ็บที่หอปี้ชุนมิใช่หรือ ท่านพ่อท่านแม่ถึงพาเจ้ามาทวงความเป็นธรรม”
“อ้อ” จย่าซูนวดขมับ เขาหรี่ตาอ่านตัวอักษรบนป้ายประตูจวนตะวันตกแล้วเดือดดาลเป็นการใหญ่ “ท่านแม่ คนที่ทำร้ายข้าบาดเจ็บก็คือคุณหนูสามสกุลหลี นางเด็กตัวดีคนนั้นขอรับ”
“ด่าใครว่านางเด็กตัวดีนะ?” ปิงลวี่เท้าเอวถลึงตาใส่จย่าซู
เฉียวเจาตบไหล่ปลอบปิงลวี่ให้ใจเย็นๆ นางเอ่ยถามจย่าซู “ข้าทำร้ายท่านบาดเจ็บหรือ”
จย่าซูนึกรำคาญ แต่คิดถึงม้านั่งที่ขว้างใส่ตนเองก่อนหน้านี้แล้วระวังปากคำมากขึ้น “เจ้าไม่เต็มเต็งกระมัง ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่รู้จักเจ้า”
“ข้าไม่ใช่คนที่ทำร้ายท่านบาดเจ็บ?”
“เจ้ามีความกล้านั้นรึ! คนที่ทำร้ายข้าคือคุณหนูสามสกุลหลี เจ้าหลบไป อย่าขัดขวางข้าคิดบัญชีกับนาง!”
“แต่ว่าข้าก็คือคุณหนูสามสกุลหลี” แม่นางเฉียวกล่าวอย่างสุขุม
“อะไรนะ” จย่าซูอ้าปากค้าง
เฉียวเจาตะโกนไปทางหมู่คนอย่างเปิดเผยมาดมั่น “เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทุกท่าน ดูเหมือนว่าคุณชายจย่าจะได้ยินไม่ถนัดเจ้าค่ะ”
ชะรอยว่าน้ำเสียงผ่อนคลายของเฉียวเจาถ่ายทอดถึงกันได้ เหล่าผู้มุงดูหัวร่อครืนใหญ่แล้วพูดประสานเสียงกัน “นางก็คือคุณหนูสามสกุลหลี”
หยางโฮ่วเฉิงที่เบียดเสียดอยู่ในฝูงชนจุปากไม่หยุด “โอ้โห คุณหนูหลียอดเยี่ยมไปเลย นางเป็นสตรีจริงๆ ใช่หรือไม่”
สตรีทั่วไปพบเรื่องพรรค์นี้ถ้าไม่อับอายแทบตายก็หลบไปร้องไห้ขี้มูกโป่งแต่แรก ไฉนพอคุณหนูหลีออกโรง สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปในทางนี้
เมื่อครู่เขายังเกือบอดใจไม่อยู่ตะโกนตามไปด้วย จู่ๆ ก็รู้สึกฮึกเหิมคึกคะนองขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สายตาของฉือชั่นไม่คลาดคลาไปจากเฉียวเจา เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “นางเป็นสตรีเยี่ยงนี้นี่เอง”
ผักกาดขาวที่เขาเก็บได้ไม่เหมือนผู้ใดจริงๆ ถึงที่สุดแล้วจุดสำคัญคือสายตาเขาแหลมคมมาก
จย่าซูงงงันไปหมด เขายกมือชี้เฉียวเจา “เจ้า…เจ้าคือคุณหนูสามสกุลหลีจริงๆ หรือ”
“ใช่”
“เจ้า…เจ้าพูดปด!”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้มแล้วไต่ถามเหล่าผู้มุงดูอีกครา “เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหลาย รบกวนทุกท่านบอกเขาทีว่าข้าคือคุณหนูสามสกุลหลีใช่หรือไม่”
เด็กสาวสวมชุดบุรุษได้เจริญตาเจริญใจปานนั้น ดูสง่าองอาจไปทุกๆ อิริยาบถ พาให้จิตใจคึกคักลำพองอย่างไร้สาเหตุ พวกเขาส่งเสียงตะโกนพร้อมกัน “ใช่”
เซ่าหมิงยวนด้านหลังฝูงชนแลมองเฉียวเจาเงียบๆ
อาภรณ์บุรุษบนตัวนางคล้ายจะใหญ่ไปบ้าง เป็นเสื้อคลุมตัวหลวมโพรกแขนเสื้อกว้าง แต่นางสวมใส่แล้วงดงามผึ่งผายในอีกแบบหนึ่ง
สตรีผู้นี้มีความเชื่อมั่นในตนเองและเด็ดเดี่ยวจากส่วนลึกในใจ สายตาของผู้คนทั่วหล้าไม่อาจทำให้นางสะทกสะท้านได้ เซ่าหมิงยวนคิดคำนึง
“เอาล่ะ ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าข้าก็คือคุณหนูสามสกุลหลี แต่ท่านไม่รู้จักข้า ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้อง” จย่าซูพยักหน้าคล้อยตามความคิดของแม่นางเฉียวโดยไม่รู้ตัว
“ฉะนั้นคนที่ทำร้ายท่านบาดเจ็บไม่ใช่ข้า ถูกต้องหรือไม่”
“เอ่อ… ถูกต้อง…” จย่าซูลังเลครู่หนึ่ง นิ่งคิดแล้วว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้จริง
“ฉะนั้นคนที่ทำร้ายท่านบาดเจ็บไม่ใช่คุณหนูสามสกุลหลี แต่เป็นคนอื่น” เฉียวเจากล่าวสรุป
“แต่ว่านางเด็กตัวดีนั่นบอกว่าเป็นคุณหนูสามสกุลหลี”
เฉียวเจาเม้มปากยิ้ม “นางบอกว่าเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านก็เชื่อหรือ คุณชายจย่าไม่รู้หรือว่าในโลกนี้มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ‘โกหก’ ”
จย่าซูกระจ่างแจ้งทันใด “เจ้าจะบอกว่ามีคนปลอมตัวเป็นเจ้า?”
“ถูกต้อง” เฉียวเจาหันหน้าไปมองฉางชุนป๋อกับภรรยาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ตอนนี้ท่านทั้งสองรู้ว่าข้าถูกดึงมาติดร่างแหโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วกระมัง”
ฉางชุนป๋อนิ่งเงียบ
“เช่นนั้นขอให้ท่านป๋อทำตามคำสัญญาด้วย ตอนขอขมาต้องประกาศว่ามีคนเห็นข้าขัดนัยน์ตาเลยจงใจใส่ร้ายข้าด้วยนะเจ้าคะ”
“คุณหนูสาม เรื่องตีฆ้องร้องป่าวอะไรนั่นก็แล้วกันไปเถอะ…” ฮูหยินของฉางชุนป๋อไม่ใคร่เต็มใจ
นี่ออกจะเหลวไหลเกินไปแล้ว สกุลหลีไม่ถือสาว่าน่าขายหน้า แต่ข้ายังถือสานะ
อีกประการหนึ่ง เจ้าคนร้ายสมควรตายนั่นจะแอบอ้างใครไม่แอบอ้าง จำเพาะต้องไปแอบอ้างคุณหนูสามสกุลหลี แสดงว่าคุณหนูสามผู้นี้ย่อมต้องมีปัญหา
แต่เพราะบุตรชายเพิ่งได้รับการรักษาจนหายดี ฮูหยินของฉางชุนป๋อจำต้องฝืนกลืนถ้อยคำนี้ไว้แน่นอน
สีหน้าของเฉียวเจาขรึมลง “ฮูหยินท่านป๋อจะกลับคำพูดหรือเจ้าคะ”
ท่ามกลางสายตาผู้คนที่จับจ้องใบหน้าตนอยู่นับไม่ถ้วน ฮูหยินของฉางชุนป๋อเพียงรู้สึกหน้าชาวาบๆ อ้าปากหวอ แต่ไหนเลยจะกล่าวถ้อยคำที่เป็นการตระบัดสัตย์ออกมาได้
นางลอบก่นด่าเฉียวเจาอย่างสุดระงับ นางเด็กเหลือขอ คงวางแผนทั้งหมดนี้ไว้แต่แรกแล้วสินะ เจตนาสร้างความวุ่นวายต่อหน้าธารกำนัล บีบให้พวกข้าไม่อาจไม่ทำตาม
นางกลับลืมเลือนเรื่องที่ตนเองพาบุตรชายมาก่อความวุ่นวายนอกประตูจวนสกุลหลีไปโดยสิ้นเชิง
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ “อันที่จริงแล้ว คนเรานั้นจากที่ปกติดีกลายเป็นปัญญาอ่อนเป็นเรื่องยากอยู่มาก แต่แน่นอนว่าจากปัญญาอ่อนหายเป็นปกติก็ยากยิ่งกว่า ท่านป๋อ ท่านว่าใช่หรือไม่”
ฉางชุนป๋อสะดุ้งโหยงในใจ “คุณหนูสามวางใจได้ พวกข้าพูดคำใดคำนั้นแน่นอน ข้าจะสั่งให้ผู้ดูแลเตรียมฆ้อง เดินประกาศขอขมาต่อท่านรอบเมืองหลวงประเดี๋ยวนี้เลย”
“ยังคงเป็นท่านป๋อที่เข้าใจเหตุผล แต่ท่านพ่อ ท่านแม่ และผู้อาวุโสของข้าล้วนได้รับความตกใจเพราะเรื่องในวันนี้…”
ฉางชุนป๋อสบถด่าคำหนึ่งในใจ ก่อนจะหมุนกายไปโค้งกายประสานมือคำนับต่อพวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ขออภัยด้วย เป็นพวกข้าไม่สืบสาวราวเรื่องให้กระจ่างจนกล่าวโทษคุณหนูสามของจวนท่านผิดไป ดีที่คุณหนูสามมีฝีมือฝังเข็มสูงส่งล้ำเลิศ ทำให้สมองของบุตรชายข้าหายเป็นปกติ จึงมิได้ก่อความผิดร้ายแรงขึ้น”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกแต่เพียงว่าได้ระบายความขุ่นข้องหมองใจที่สุมอยู่ในอกออกมาในที่สุด นางปั้นหน้าเคร่งกล่าวว่า “เรื่องเข้าใจผิดคลี่คลายลงได้ก็ดีแล้ว”