หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 234
บทที่ 234
เฉียวเจาหลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว กระนั้นจวนฉางชุนป๋อยอมรับไม่ได้ที่บุตรชายถูกทำร้ายโดยไม่มีเหตุผล ซ้ำยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ พวกเขาส่งคนไปแจ้งทางการโดยไม่ลังเลใจ จากนั้นตีฆ้องร้องป่าวขอขมาไปรอบเมืองหลวงตามความประสงค์ของเฉียวเจา
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงของจวนตะวันออกโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม นางพูดไม่หยุดปาก “เหลวไหลวๆ เรื่องพรรค์นี้อยากรีบปกปิดไว้ยังแทบไม่ทัน มีอย่างที่ใดร้องแรกแหกกระเชอให้คนรู้กันไปทั่ว หรือว่าพวกเจ้าอยากให้ใครต่อใครพากันซุบซิบนินทาหลานเจาในวงน้ำชายามว่าง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่อนาทรร้อนใจ “วันนี้มีคนมุงดูตั้งมากถึงเพียงนี้ ถึงไม่ทำเช่นนี้ก็ต้องเล่าลือจนรู้กันทั่วอยู่ดี อีกทั้งเล่าลือไปในทางเสียๆ หายๆ ปานใดยากจะคาดเดาได้ ข้าว่าเป็นอย่างนี้ดีแล้ว”
ถึงอย่างไรนางไม่เคยคิดว่าหลานสาวยังออกเรือนได้ แทนที่จะอดทนข่มกลั้นไว้ มิสู้ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
“เติ้งซื่อ ไฉนเจ้าอายุปูนนี้แล้วถึงยิ่งชรายิ่งเลอะเลือน ปล่อยพวกลูกหลานสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูลตามใจชอบอย่างนี้ ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกต่อท่านประมุขของสกุลเดิม”
เติ้งซื่อยิ้มเยาะ “คำกล่าวนี้ของท่านเซียงจวินช่างน่าขันนัก ความจริงปรากฏชัดแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับหลานเจา ฝ่ายจวนฉางชุนป๋อล้วนตีฆ้องร้องป่าวขอขมาแล้ว ไฉนทางท่านยังไม่ยอมลดละรามือ หรือว่าเพราะหลานเจาเป็นสตรี ฉะนั้นต่อให้มิใช่ความผิดของนาง ขอแค่มีคนแอบอ้างนาง นางก็สมควรตายใช่หรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวจบแล้วชายตามองอู่ซื่อลูกสะใภ้ของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ค่อยกล่าวเสียงราบเรียบ “ตราบเท่าที่หลานสาวของข้ามิได้กระทำความผิด ข้าจะปกป้องนาง ไม่มีวันให้นางต้องทนทุกข์ทรมานเพราะชื่อเสียงเสื่อมเสียอย่างเด็ดขาด!”
อู่ซื่อใบหน้าซีดเผือดลง มือที่ประคองมารดาสามีไว้คลายออกอย่างช่วยไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเข้าใจความนัยของคู่สะใภ้อย่างเห็นได้ชัด รู้แก่ใจดีว่าขืนโต้เถียงต่อไปกลับต้องเป็นฝ่ายเสียหน้า นางกล่าวอย่างมึนตึง “ไร้เหตุผล ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
นางกล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้ก่อนหมุนกายกลับไป
เสียงเล่าลือปากต่อปากของเหล่าผู้มุงดู ประกอบกับการตีฆ้องร้องป่าวขอขมาของจวนฉางชุนป๋ออย่างอึกทึกครึกโครม ส่งผลให้เรื่องในวันนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในเวลาอันสั้น
นายหญิงรองหลิวซื่อปิดประตูอบรมสั่งสอนบุตรสาวทั้งสอง “เห็นแล้วใช่หรือไม่ พวกเจ้าสองคนต้องหัดเอาอย่างคุณหนูสามไว้สักหน่อย เช่นนี้พอพบเจอปัญหาจะได้ไม่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้”
คุณหนูหกหลีฉานเบะปากพูด “เอาอย่างอะไรกันเจ้าคะ ข้ารู้สึกว่าทั้งตีฆ้องร้องป่าวจนกลายเป็นตัวต้นเรื่องในเสียงซุบซิบนินทาจากปากผู้คนน่าอับอายจะตายไป พี่สี่ ท่านว่าถูกหรือไม่”
คุณหนูสี่หลีเยียนมิได้เออออคล้อยตาม นางนิ่งคิดอย่างจริงจังแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าพวกเราเจอเรื่องเช่นเดียวกัน ข้าเห็นว่าไม่มีทางสะสางได้ดีกว่าพี่เจาแล้ว”
หลิวซื่อพยักหน้าอย่างปลาบปลื้มใจ “เยียนเอ๋อร์ยังนับว่าเข้าใจได้แจ่มแจ้ง กระนั้นความเก่งกาจของคุณหนูสามมิใช่แค่รักษาคุณชายจวนฉางชุนป๋อจนหายดีได้ แม้แต่เรื่องตีฆ้องร้องป่าวขอขมาที่ทุกคนรู้สึกว่าน่าขายหน้านั้นก็ซ่อนความแยบคายไว้”
พอเห็นบุตรสาวสองคนจ้องนางตาโตรอให้นางไขข้อข้องใจ หลิวซื่อหัวเราะ “พวกเจ้าคิดดูสิว่าตอนจวนฉางชุนป๋อขอขมาจะพูดว่าอะไร”
“บอกว่ากล่าวโทษพี่เจาผิดไป?”
“ถูกต้อง คุณหนูสามพูดย้ำเป็นพิเศษมิใช่หรือว่าให้พวกเขาพูดอย่างชัดเจนว่ามีคนเห็นนางขัดนัยน์ตาเลยจงใจใส่ร้าย เมื่อเป็นเช่นนี้หากจวนฉางชุนป๋อแจ้งทางการแล้วจับตัวคนร้ายได้ก็แล้วกันไป แต่ถ้าจับไม่ได้ วันหน้าใครยังจะกล้าแสดงตนเป็นศัตรูกับคุณหนูสามโดยไม่กริ่งเกรงสนใจอะไรได้อีกหรือ”
บุตรสาวสองคนฟังแล้วตะลึงงันไป เรื่องที่พวกนางเห็นว่าไม่ดี ที่แท้พี่เจามีจุดมุ่งหมายอื่นอยู่ก่อน
เมื่อเห็นบุตรสาวทั้งคู่ฟังเข้าหูแล้ว หลิวซื่อเม้มปากยิ้ม “คอยดูเถอะ พวกคนที่แสดงท่าทางไม่เป็นมิตรกับคุณหนูสามก่อนหน้านี้ เวลานี้น่าจะเต้นผางๆ กันแล้ว”
สมดังคำกล่าวของหลิวซื่อ ตอนเจียงซือหร่านได้ยินข่าวนี้ก็มีน้ำโหทันใด นางวิ่งไปร้องทุกข์กับเจียงหย่วนเฉา “พี่สือซาน ท่านว่าหลีซานผู้นั้นกับข้ามีดวงข่มกันใช่หรือไม่ เหตุใดหลังไปข้องแวะกับนางก็ไม่เคยมีเรื่องดีๆ เลย”
“นางมีอะไรหรือ” เพราะเป็นวันพัก เจียงหย่วนเฉาสวมเสื้อคลุมยาวลำลองสีเขียวไม้ไผ่ แลดูสง่านุ่มนวลกว่าปกติหลายส่วน
“ท่านยังไม่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อีกหรือเจ้าคะ”
“ยัง” เจียงหย่วนเฉากระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเยาะหยันตนเองผุดขึ้นวูบหนึ่ง
เด็กสาวที่มึนตึงกับเขาเพราะถุงผ้าปักใบหนึ่ง เด็กสาวที่มักทำให้เขาอดหวนประหวัดถึงอดีตไม่ได้คนนั้น เขาเคารพในความประสงค์ของนาง มิได้ให้ความสนใจนางเป็นพิเศษอีกต่อไป
องครักษ์จินหลินหาได้มีเวลาว่างจับตาดูแม่นางน้อยผู้หนึ่งทั้งวัน จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้เกิดจากความต้องการส่วนตัวของเขาเอง
เจียงซือหร่านรีบบอกเรื่องที่ได้ยินมาให้เขาฟัง นางเล่าจบแล้วพูดอย่างฮึดฮัด “พี่สือซาน ท่านว่านางทำเช่นนี้มิใช่แกล้งคนหรือไร พูดเป็นทำนองว่ามีคนที่เห็นนางขัดนัยน์ตาเลยปรักปรำนาง นี่เจตนาให้ทุกคนล้วนคิดมาถึงตัวข้าใช่หรือไม่ ใครๆ ล้วนรู้ว่าข้ากับนางมีเรื่องไม่พอใจกันถึงเพียงนั้น”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ได้แต่คิด” เจียงหย่วนเฉากล่าวยิ้มๆ
เจียงซือหร่านกระทืบเท้า “พี่สือซาน จะพูดอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ถึงข้ารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่มีปัญญาทำอะไรข้าได้ แต่ต้องเป็นแพะรับบาปเปล่าๆ ปลี้ๆ เช่นนี้ ข้ายังคงรู้สึกไม่ชอบใจเลย”
“แล้วหร่านรานตั้งใจจะทำเช่นไร” เจียงหย่วนเฉาถามไถ่อย่างอารมณ์เย็น
“พี่สือซานช่วยข้าสืบที ตามหาตัวคนร้ายคนนั้นออกมา” เจียงซือหร่านยิ่งคิดยิ่งขุ่นเคือง นางกัดริมฝีปากกล่าวว่า “ข้าไม่แบกรับคำครหานี้ไว้อย่างไม่เป็นธรรมหรอกนะ”
พอเห็นเจียงหย่วนเฉาไม่กล่าวตอบ เจียงซือหร่านก็กระตุกแขนเสื้อเขา “พี่สือซาน ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ชายหนุ่มลอบถอนใจเฮือกแล้วพยักหน้า “ได้ ข้าส่งคนไปสืบดู”
เจียงซือหร่านเผยรอยยิ้มเจิดจ้า นางสอดมือคล้องแขนเขาพลางพูด “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่สือซานดีที่สุด”
เจียงหย่วนเฉาดึงแขนออกจากมือนางทันที เขาพูดเตือน “รีบกลับไปเถอะ พักนี้สุขภาพของท่านพ่อบุญธรรมไม่ค่อยดี เจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านมากๆ”
พอได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางก็หุบยิ้ม “อื้อ ข้ากลับแล้วนะเจ้าคะ”
เมื่อเจียงซือหร่านไปแล้ว เจียงหย่วนเฉานั่งเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะหนังสือนานสองนาน ถึงสั่งคนไปสืบเรื่องคุณชายเล็กของจวนฉางชุนป๋อโดนทำร้ายบาดเจ็บในหอปี้ชุน
ฉือชั่นเพิ่งก้าวเข้าเรือน เถาเซิงซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูก็ตรงเข้ามาหาแล้วกระซิบบอก “คุณชาย องค์หญิงใหญ่ทรงได้ยินได้ฟังเรื่องในวันนี้แล้ว ยังส่งตงอวี๋กูกูมาแจ้งว่าพอท่านกลับมาให้ไปที่ประทับของพระองค์ทันที”
“รู้แล้ว” ฉือชั่นพยักหน้าอย่างเฉยเมยแล้วก้าวเท้าเดินไปยังเรือนพำนักขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง
ในช่วงคิมหันต์อากาศร้อนระอุ องค์หญิงใหญ่ฉางหรงส่วนใหญ่จะพักผ่อนในเรือนงามหรูริมน้ำ
เรือนริมน้ำแขวนม่านโปร่งสีเขียวประดับทั้งสี่ด้าน วางอ่างน้ำแข็งตั้งไว้ตามมุม สายลมพัดลอดรอยแยกม่านโปร่งหอบกระไอชื้นเย็นสบายเข้ามา
ตอนฉือชั่นก้าวเข้าไป อดีตอนุนอกเรือนของบิดาซึ่งบัดนี้กลายเป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตาซีดเซียวกำลังคุกเข่าอยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ฉางหรง ปอกเปลือกองุ่นให้นางกิน
ฉือชั่นขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเปล่งเสียงเรียกขาน “ท่านแม่”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงชายตามองเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย ใช้เท้าเปลือยเปล่าที่นวลเนียนดุจหยกเตะหญิงกลางคนเบาๆ “ออกไปเถอะ”
นางลุกลนถอยออกไปโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“ท่านแม่อยากพบข้าหรือขอรับ”
ดวงตาคู่งามของนางมองสำรวจใบหน้างดงามหาที่เปรียบมิได้ของบุตรชายรอบหนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินว่าวันนี้เจ้าเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามหรือ”
ฉือชั่นหลับตาลงอย่างข่มอารมณ์ พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ช่วยเด็กสาวคนหนึ่งไว้เท่านั้นขอรับ”
“เพราะอะไรถึงช่วยนาง”
“นางเคยช่วยเหลือข้า ภาพเป็ดเล่นน้ำที่ท่านแม่ได้เห็นก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือวาดของนางขอรับ”
“ไม่ถูก” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงส่ายหน้าแล้วกล่าวถ้อยคำสั้นๆ “เพราะเจ้าชมชอบนาง!”