หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 235
บทที่ 235
เพราะเจ้าชมชอบนาง!
คำกล่าวนี้ดังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของฉือชั่นไม่หยุด เขาตื่นตะลึงไปหมด
เขาชมชอบเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ผู้หนึ่งได้อย่างไร ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด!
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเพ่งสายตามองบุตรชาย ใช้ปลายนิ้วหยิบองุ่นลูกหนึ่งมากินแล้วซับมุมปาก นางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “จะว่าไปเจ้าก็ถึงวัยตบแต่งภรรยาแล้ว”
ฉือชั่นดึงสติคืนมาทันที มองมารดาผู้ยากจะหยั่งอารมณ์ได้ เขาลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านแม่กล่าวล้อเล่นแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่มีความคิดจะแต่งงาน แล้วก็ไม่มี…คนที่ชมชอบ”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงหัวเราะเบาๆ “ไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรดีกว่ามารดา เจ้าไม่ต้องพูดจาตลบตะแลง”
พูดจาตลบตะแลง? ฉือชั่นหนาวเหน็บไปทั้งใจ มีมารดาที่ใดกันพูดว่าบุตรชายพูดจาตลบตะแลง
เขาพลันรู้สึกทดท้อใจอยู่บ้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ “สุดแท้แต่ท่านแม่จะคิดเถอะ”
“คิกๆ” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงหัวเราะ นางลูบไล้ปลายเล็บที่ทาสีแดงสดไว้พลางพูดอย่างเนิบนาบ “ชั่นเอ๋อร์ เจ้าจงจำไว้ สตรีผู้นั้นข้าไม่ถูกตาต้องใจ ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะยอมรับว่าชมชอบนางก็ดีหรือไม่ยอมรับก็ช่าง ข้าไม่เห็นดีเห็นงามให้นางเข้าตระกูล”
ฉือชั่นหันหลังออกเดินไปโดยไม่กล่าววาจาสักคำ
“หยุดนะ”
ฉือชั่นชะงักฝีเท้า
“เจ้าเติบใหญ่แล้วเลยเห็นนางในดวงใจสำคัญกว่าแม่หรือ”
ฉือชั่นหมุนกายไปช้าๆ อย่างจนปัญญาระคนทุกข์ใจ เขาลอบสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งถึงกล่าวขึ้น “ท่านแม่ ท่านคิดมากเกินไป” ว่าแล้วก็ก้าวเท้าออกเดินไป
เขาจากไปแล้วทิ้งม่านโปร่งบางพลิ้วสีเขียวมรกตไหวพะเยิบพะยาบเบาๆ นางข้าหลวงตงอวี๋กล่าวอย่างระมัดระวัง “องค์หญิง…”
“ออกไป” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงวาดแขนปัดจานแก้วใสล้มตะแคง องุ่นที่ปอกเปลือกออกแล้วเห็นเป็นเนื้อใสๆ กลิ้งหล่นกระจายไปทั่ว
นางข้าหลวงตงอวี๋ลอบทอดถอนใจแล้วเดินออกไปเงียบๆ
ฉือชั่นยืนเหม่ออยู่ริมน้ำ
ตงอวี๋สาวเท้าเข้าไปเรียกเสียงเบา “คุณชาย”
ยามอยู่กับนาง สีหน้าของฉือชั่นละมุนลงเล็กน้อย “ตงอวี๋กูกู”
“ท่านอย่าตำหนิโทษองค์หญิงเลย พระโอษฐ์ตรัสเช่นนี้ แต่ในพระทัยหาได้ดำริเช่นนี้ไม่”
ฉือชั่นทอดสายตามองผิวทะเลสาบ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ข้ารู้”
เขานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยถาม “แต่ท่านแม่บอกว่าไม่ชอบคุณหนูหลีซานมาจากใจจริงถูกหรือไม่”
นานสองนานกว่าตงอวี๋จะถอนใจแผ่วๆ เฮือกหนึ่ง “คุณชายทราบดีว่าสิ่งที่องค์หญิงทรงรังเกียจที่สุดก็คือสตรีที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย”
ฉือชั่นง้างเท้าเตะหินกรวดก้อนหนึ่งลงไปในทะเลสาบด้วยความหงุดหงิดใจ
เสียงหินตกน้ำดังจ๋อม ผิวน้ำแตกกระเพื่อมเคลื่อนออกไปเป็นวงๆ
เขาหมุนกายเดินไป
“คุณชายจะไปที่ใดเจ้าคะ”
“ไปดื่มสุรา”
ฉือชั่นออกจากวังองค์หญิงแล้วพลิกกายขึ้นม้ามุ่งหน้าตรงไปที่หอชุนเฟิง
“ท่านแม่ทัพของพวกเจ้าไม่อยู่ที่นี่หรือ”
“ไม่อยู่ขอรับ ท่านแม่ทัพกลับจวนไปแล้ว”
ฉือชั่นฟังแล้วประหลาดใจอย่างมาก “กลับจวน?”
องครักษ์รีบกล่าวอธิบาย “กลับจวนกวนจวินโหวขอรับ ตอนนี้พี่ชายภรรยาของท่านแม่ทัพพำนักอยู่ที่นั่นกำลังป่วยอยู่ ท่านไม่วางใจ ดังนั้นจึงกลับไปแล้วขอรับ”
“สมควรตาย!” ฉือชั่นเตะกำแพงทีหนึ่งเต็มแรง จะหาคนดื่มสุราสักคนก็หาไม่ได้ ไฉนวันนี้เขาเคราะห์ร้ายเช่นนี้!
“คุณชายฉือ หรือไม่ข้าไปบอกกับท่านแม่ทัพ”
“ไม่ต้อง ไปเชิญคุณชายจูกับคุณชายหยางมาให้ข้า”
“ขอรับ”
ตอนจูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงรุดมาถึง ฉือชั่นเมาคอพับคออ่อนไปแล้ว
พฤติกรรมหลังเมาสุราของเขายังนับว่าใช้ได้ ถึงแม้สองแก้มแดงก่ำสติเลือนราง แต่มิได้เอะอะโวยวาย เพียงตาปรือนอนฟุบบนโต๊ะเงียบๆ พลางนับจำนวน “หนึ่งหัว สองหัว สามหัว…”
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงมองหน้ากันไปมา สือซีเมาสุราน้อยครั้งมาก วันนี้เป็นอะไรไป
“สือซี นับอะไรอยู่หรือ”
ฉือชั่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาฉ่ำเยิ้ม เขาบอกสหายแต่วัยเยาว์ตามความจริง “ชู่ว์…อย่ารบกวนข้า ข้านับผักกาดขาวอยู่นะ”
“นับผักกาดขาวด้วยเหตุใดกัน” หยางโฮ่วเฉิงถามด้วยเสียงขบขัน
“ข้าจะนับให้ดีๆ ดูว่าผักกาดขาวหัวใดเป็นของข้า”
หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะแล้ว “ผักกาดขาวไม่มีราคาสักหน่อย เจ้าอยากได้ล้วนเป็นของเจ้า”
ฉือชั่นหรี่ตามองหยางโฮ่วเฉิง เผยรอยยิ้มหดหู่ “เจ้าพูดผิดแล้ว ข้านับอยู่ตั้งนานไม่มีของข้าสักหัวหนึ่ง…”
หยางโฮ่วเฉิงอ้าปากหวอ หันหน้าไปมองจูเยี่ยน
จูเยี่ยนก้าวเข้าไปตบไหล่ฉือชั่น เขาพูดปลอบว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีผักกาดขาวก็ยังมีผักกาดหัวอยู่นะ”
ฉือชั่นฝืนลืมดวงตาคู่งามขึ้น มันทอประกายพราวระยับน่าหลงใหล เสียงของเขาเบามาก “ทว่าข้าชอบแต่ผักกาดขาวนี่นา”
หยางโฮ่วเฉิงทรุดตัวลงนั่ง รินสุราให้ตนเองจอกหนึ่งแล้วหงายคอดื่ม เขาทนดูท่าทางไม่เอาไหนเช่นนี้ของสหายรักไม่ได้ จึงตบอกพูดรับรอง “ไม่เป็นไร เจ้าชอบผักกาดขาวเช่นใด ข้าซื้อให้เอง ก็แค่ผักกาดขาวมิใช่หรือ เงินส่วนตัวของข้าซื้อผักกาดขาวที่ขายอยู่ทั่วเมืองหลวงในวันหนึ่งได้ทั้งหมด”
“เจ้ารึ” ฉือชั่นส่ายหน้า ลมหายใจเจือกลิ่นสุราลอยมาปะทะเต็มหน้าหยางโฮ่วเฉิง “ซื้อไม่ได้หรอก”
หยางโฮ่วเฉิงลูบหน้าทีหนึ่ง เขาเอ่ยกับจูเยี่ยนอย่างจนใจ “ไม่เห็นจำได้เลยว่าสือซีเมาสุราแล้วสารรูปเป็นเช่นนี้”
จูเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ดีกว่าเจ้ามาก”
“หมายความว่าอะไร”
จูเยี่ยนกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง “แค่กๆ กอดขาถิงเฉวียนร้องไห้จะตามเขาเข้าห้องหอ…”
หยางโฮ่วเฉิงเข่าอ่อนทันที “อย่าแฉความลับกันสิ!”
ขณะทั้งคู่กำลังคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงดังเคร้ง เป็นฉือชั่นชนกาสุราตกลงพื้น
“สือซี…” พวกเขาสะดุ้งโหยง
ฉือชั่นหลับตาพูดพึมพำ “ข้าชอบแต่ผักกาดขาวที่ตัวเองเก็บได้ ผักกาดขาวหัวอื่นล้วนมิใช่ข้าเก็บเองกับมือ…”
หยางโฮ่วเฉิงตีหน้าขรึมมองดูจูเยี่ยน “จื่อเจ๋อ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าผักกาดขาวอาจจะมิใช่ความหมายเดียวกับที่ข้าเข้าใจเสียแล้ว”
จูเยี่ยนเพียงยิ้มฝืดๆ “เจ้ารู้ก็ดี”
หยางโฮ่วเฉิงตบหน้าผากตนเองทันใด เขาพูดเสียงหลงว่า “หรือจะเป็นคุณหนูหลี”
จูเยี่ยนไม่เปล่งเสียงพูด
“เป็นคุณหนูหลีจริงๆ หรือ” หยางโฮ่วเฉิงลุกพรวดขึ้นย่ำเท้าวนไปวนมา สุดท้ายทรุดตัวลงนั่งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักอก “เช่นนี้ชักจะไม่ดีกระมัง…”
จูเยี่ยนพยักหน้า ใช่น่ะสิ ชาติกำเนิดและอายุของทั้งคู่แตกต่างกันมากเหลือเกิน เกรงว่าความรู้สึกของสือซีคงเป็นดังคำกล่าวว่าบุปผาในคันฉ่อง จันทราในผืนน้ำ*
“ดูเหมือนสือซีจะไม่ฉลาดเท่าคุณหนูหลีนะ” หยางโฮ่วเฉิงลูบปลายคาง
จูเยี่ยนอึ้งงัน “…” เพราะอะไรในบรรดาสหายรักไม่กี่คนนี้ มีแต่ข้าที่ปกติอยู่คนเดียว
“ส่งสือซีกลับเถอะ” จูเยี่ยนลุกขึ้นประคองฉือชั่น เขาหมดแก่ใจดื่มสุราแต่แรกแล้ว
“กลับ? ข้าไม่กลับ” ฉือชั่นผลักเขาออก เดินโซๆ เซๆ ออกไป “ข้าจะไปหาหลีซาน”
สหายสองคนยึดตัวเขาไว้แน่น
“อย่านะ เจ้าไปหานางถึงเรือนในสภาพเมามายอย่างนี้จะโดนไล่ตีออกมา” หยางโฮ่วเฉิงกล่าว
ฉือชั่นหัวเราะฮึๆ “ชู่ว์…ข้ามีวิธี ตอนข้าไปคราวก่อนก็ไม่มีปัญหาแม้สักนิด”
อะไรนะ สือซีเคยไปที่เรือนคุณหนูหลีมาแล้ว นี่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ไฉนพวกข้าไม่รู้เรื่อง
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสบตากัน
“วิธีใดหรือ” หยางโฮ่วเฉิงถามอย่างสนใจใคร่รู้
“ข้าแอบเข้าไปในฐานะน้องสาวต่างมารดาของข้าน่ะสิ” คุณชายฉือผู้รูปงามหาที่เปรียบมิได้กล่าวอย่างลำพองใจ
“หือ?” จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงทำหน้าตกตะลึง
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย “วันนี้ข้าอาจจะไม่ได้ดื่มสุรา แต่น่าจะเมาแล้ว น้องสาวต่างมารดาของสือซี…เป็นสตรีกระมัง”
ฉือชั่นเลิกคิ้วพลางกล่าว “ใช่น่ะสิ หรือว่าข้าแต่งกายเป็นหญิงแล้วไม่งามเท่านาง”
* บุปผาในคันฉ่อง จันทราในผืนน้ำ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสิ่งที่เป็นภาพมายา ไม่เที่ยงแท้