หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 236
บทที่ 236
เถาเซิงซึ่งยืนอยู่หน้าประตูกุมหน้าผากอย่างหมดปัญญา
สวรรค์…หลังคุณชายสร่างเมาแล้วคงสังหารคนกระมัง
หลังความเงียบอันชอบกลผ่านไป จูเยี่ยนลุกขึ้นหมุนกายเดินไปทางข้างนอก เขาหยุดฝีเท้าตรงข้างกายเถาเซิง กระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนเอ่ยขึ้น “วันนี้ข้าไม่ได้มานะ”
“ขอรับ” เถาเซิงพยักหน้าอย่างซื่อๆ
หยางโฮ่วเฉิงได้สติราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน ก้าวฉับๆ ไล่ตามไปแล้วตบไหล่เถาเซิง “ใช่ ข้าไม่ได้มาเช่นกันนะ”
เขาเรี่ยวแรงดี ตีทีเดียวเถาเซิงก็ตัวเซถลาหัวหมุนคว้าง กว่าจะยืนทรงตัวได้ก็ไม่เห็นวี่แววของพวกเขาแล้ว
“หนีกันไปหมดเลย เหลือแต่ข้าที่หนีไม่ได้” เถาเซิงทำหน้าม่อยไปปรนนิบัติเจ้านายที่นับหัวผักกาดอยู่
หลังเหตุการณ์ชุลมุนผ่านไป ชาวสกุลหลีต่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากความอึกทึกวุ่นวายอยู่บ้าง ทั่วทั้งจวนเงียบเชียบอย่างมาก
เฉียวเจาได้ข่าวจากเฉินกวงในที่สุด
“คุณหนูสาม เจอตัวคนพเนจรที่สะกดรอยตามพวกเราแล้วขอรับ ตอนนี้ถูกท่านแม่ทัพของพวกเราคุมตัวเอาไว้”
“…” อะไรคือท่านแม่ทัพของพวกเรา
“คนพเนจรผู้นั้นบอกอะไรบ้าง”
“คนพเนจรบอกว่ามีนายบ่าวปลอมตัวเป็นบุรุษคู่หนึ่งมอบเงินให้เขาที่แถวๆ ร้านน้ำชานอกจวน สั่งให้เขาสะกดรอยตามพวกเรา เขาตามไปถึงหอปี้ชุน หลังจากนั้นพานายบ่าวคู่นั้นไปที่นั่นขอรับ”
เฉียวเจาใจดิ่งวูบ ภาพคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในหัวกะทันหัน
หรือจะเป็นหลีเจี่ยว
หากเป็นนางจริง นี่จะยุ่งยากขึ้นเสียแล้ว
นางให้คนของจวนฉางชุนป๋อตีฆ้องร้องป่าวขอขมา และเจตนาประกาศว่านางถูกคนที่เห็นนางขัดนัยน์ตาให้ร้าย แท้จริงแล้วเป็นการยิงครั้งเดียวได้นกสามตัว
หนึ่งคือให้จวนฉางชุนป๋อล้างมลทินให้นาง สองเพื่อข่มขวัญคนที่คิดหาเรื่องนางอยู่ร่ำไป หากจุดสำคัญที่สุดคืออยากยืมมือองครักษ์จินหลินลากตัวคนร้ายที่แท้จริงออกมา
พอจวนฉางชุนป๋อเดินตีฆ้องร้องป่าวรอบเมือง ทุกคนล้วนรู้ว่าคนร้ายตัวจริงคือคนที่มีเรื่องบาดหมางกับนาง แล้วคนที่ว่านี้ ใครต่อใครย่อมนึกถึงเจียงซือหร่านเป็นคนแรก
หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของเจียงซือหร่าน ถือว่าได้กวนโทโสนาง แต่ถ้าไม่ใช่ ด้วยนิสัยของนางจะต้องให้คนของกององครักษ์จินหลินยื่นมือเข้ามาสืบสวนแน่ นางไม่มีทางยอมถูกปรักปรำเปล่าๆ ปลี้ๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ดึงนางมาเป็นแพะรับบาปผู้นั้นก็ไม่อาจลอยนวลอยู่เหนืออาญาบ้านเมืองได้แล้ว
ทว่า…
เฉียวเจาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง
ทว่านางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลีจะกระทำเรื่องที่ต้องบอบช้ำทั้งสองฝ่ายพรรค์นี้ เข้าตำราที่ว่าสังหารข้าศึกได้พันคนแต่สูญทหารไปแปดร้อยนาย!*
ทีนี้ดีล่ะ ทันทีที่องครักษ์จินหลินสืบสาวมาถึงตัวหลีเจี่ยว สกุลหลียังคงต้องเดือดเนื้อร้อนใจอยู่ดี
เฉียวเจากุมขมับอย่างละเหี่ยใจ มิใช่นางช่างวางแผนเกินไป แต่เป็นทัพศัตรูที่โฉดเขลาจริงๆ…
ขณะที่นางกลัดกลุ้มอยู่ เฉินกวงเหลียวซ้ายแลขวาแล้วพลันขยับเข้ามาใกล้ๆ กระซิบบอก “คุณหนูสาม ท่านแม่ทัพของพวกเราสืบได้แล้วว่าใครเป็นคนร้ายขอรับ”
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมา มุมปากนางกระตุกริก “พูดให้ถูกๆ ท่านแม่ทัพของพวกเราอะไรกัน ท่านแม่ทัพก็ท่านแม่ทัพสิ”
“เอ๊ะ” เฉินกวงเกาท้ายทอยอย่างฉงนฉงาย คุณหนูสามจะถือสากับคำเรียกขานถึงเพียงนี้ไปด้วยเหตุใด
“คนพเนจรผู้นั้นรู้จักคนร้ายหรือ”
“มิใช่ขอรับ เขาไม่รู้จัก จะว่าไปแล้วคุณหนูสามกับท่านแม่ทัพของข้าจิตใจตรงกันตามเคย ท่านให้ข้าไปตามหาคนพเนจรผู้นั้น ท่านแม่ทัพของข้าก็ส่งพลสอดแนมออกไปสืบเช่นกัน จากนั้นพลสอดแนมสืบพบเบาะแสบางอย่างที่บอกได้ว่าคนร้ายเป็นใครขอรับ”
จิตใจตรงกันไม่ได้ใช้เช่นนี้นะ!
แม่นางเฉียวอ่อนใจเกินกว่าจะพูดอะไร นางพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เฉินกวงกล่าวต่อไป
เฉินกวงลดสุ้มเสียงลง “คุณหนูสาม พลสอดแนมสืบพบเส้นทางหลบหนีของคนร้าย ร่องรอยสุดท้ายคือคนร้ายผู้นั้นมุดทางหมาลอดในตรอกแคบเข้าสู่จวนตะวันตก บนพื้นตรอกสายนั้นยังเหลือคราบอาเจียนที่คนร้ายทิ้งไว้…ฉะนั้นคนร้ายเป็นคนของจวนตะวันตกขอรับ”
พอเห็นสีหน้าของเฉียวเจาไม่แปรเปลี่ยน เฉินกวงทำหน้าเลื่อมใส “คุณหนูสาม ท่านรู้แต่แรกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
“เปล่า…ข้าเพิ่งรู้เช่นกัน” เฉียวเจาถอนใจยาวเหยียด
“คุณหนูสาม ในเมื่อมั่นใจว่าคนร้ายเป็นคนของจวนตะวันตก ทั้งมีคนพเนจรชี้ตัว ต้องหาตัวคนผู้นั้นออกมาได้แน่ ท่านแม่ทัพฝากข้ามาบอกท่านว่าต่อจากนี้สมควรทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความคิดของท่านเองขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว” เฉียวเจาหลุบตาลงใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพของพวกเจ้าน่ะ เหตุใดถึง…”
ถ้อยคำหลังถูกกลืนกลับลงคอไปอีก
เซ่าหมิงยวนช่างมีความรับผิดชอบจริงๆ ได้รับไหว้วานจากท่านปู่หลี่ก็ตั้งใจจะดูแลนางอย่างดีไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ใช่หรือไม่
น่าเสียดายที่นางยังไม่เคยชินกับการที่คนอื่นแก้ปัญหาให้นางทุกเรื่อง ถ้ารู้แต่แรกว่าเซ่าหมิงยวนจะช่วยเหลือโดยไม่บอกไม่กล่าว นางคงจะไม่หาทางบีบให้องครักษ์จินหลินออกโรงทางอ้อม
“เหตุใดถึงอะไรหรือขอรับ” เฉินกวงถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร” เฉียวเจาส่ายหน้า
เฉินกวงฉีกยิ้มแล้ว “คุณหนูสามไม่ต้องกระดากอายหรอกขอรับ ท่านแม่ทัพของพวกข้าดูแลท่านก็สมควรดีอยู่แล้ว”
เฉียวเจาเม้มปาก
สมควรตรงที่ใดกันแน่
เขาทำเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นเด็กสาวคนใดคนหนึ่งก็ได้ ป่านนี้คงหลงรักเขาไปแล้วกระมัง
หว่านเสน่ห์ไปทั่วจริงๆ!
เฉินกวงกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง
เพราะอะไรท่านแม่ทัพของข้าทำเรื่องดีๆ ตั้งเยอะตั้งแยะอย่างนี้ แต่ดูท่าทางคุณหนูสามไม่คล้ายจะซาบซึ้งใจเลย
เอ่อ…มิหนำซ้ำยังดูเหมือนโกรธอยู่สักหน่อย!
“เฉินกวง รบกวนเจ้าขอบคุณแม่ทัพเซ่าแทนข้าด้วย แล้วก็ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งจะขอให้เขาช่วย”
“คุณหนูสามบอกมาได้เลยเต็มที่ เรื่องของท่าน ท่านแม่ทัพของข้าต้องช่วยเหลือแน่นอน”
เฉียวเจาทำหน้าตึงเล็กน้อย
เฉินกวงจับต้นชนปลายไม่ถูก “…” เพราะอะไรคุณหนูสามถึงไม่ชอบใจอีกแล้ว
“ฝากเจ้าไปบอกเขาด้วยว่าเป็นไปได้มากว่าคนขององครักษ์จินหลินจะตามสืบหาคนร้ายด้วย รบกวนเขาช่วยแก้ไขปัญหาที่จะตามมาให้ข้าที อย่าให้พวกนั้นสืบสาวมาถึงสกุลหลีได้”
เรื่องของหลีเจี่ยวปิดประตูสะสางกันเองจะดีกว่า
“ได้ขอรับ ข้าจะไปบอกท่านแม่ทัพประเดี๋ยวนี้เลย”
“รอประเดี๋ยว” เฉียวเจาเรียกเฉินกวงไว้ นางล้วงขวดกระเบื้องใบเล็กในถุงผ้าปักออกมาส่งให้ “นี่ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าขอมอบให้แม่ทัพเซ่า ไว้คราวหน้าข้าจะขอบคุณเขาด้วยตัวเอง”
“ไม่เป็นไรขอรับๆ ท่านแม่ทัพของข้าช่วยท่านโดยมิหวังผลตอบแทน” เฉินกวงช่วยสร้างความประทับใจให้หญิงสาวแทนท่านแม่ทัพของตนอย่างเต็มที่
แม่นางเฉียวทำหน้าตึงมากขึ้น “แต่ข้าไม่อยากรับความช่วยเหลือจากคนอื่นเปล่าๆ นี่เป็นยาขับไอเย็น กินวันละหนึ่งเม็ด ทำให้ท่านแม่ทัพของเจ้าสบายขึ้นเล็กน้อยได้”
เฉินกวงตาเป็นประกาย “ยาขับไอเย็น? คุณหนูสาม นี่ช่วยบรรเทาความทรมานของท่านแม่ทัพได้จริงๆ หรือขอรับ”
เฉียวเจานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วถามขึ้น “แม่ทัพเซ่าทรมานมากหรือ”
เฉินกวงพยักหน้า “ใช่ขอรับ แม้ว่าท่านแม่ทัพจะไม่พูด แต่องครักษ์ประจำตัวอย่างพวกข้ารู้กันทั้งนั้นว่าทุกคราที่อากาศเปลี่ยน วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมา อาภรณ์ของท่านแม่ทัพจะเปียกแฉะหมด เจ็บจน…”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วพูดต่อไม่ได้อีก เป็นบุรุษอกสามศอกผู้หนึ่งถึงกับขอบตาแดงก่ำ
“อยู่แดนเหนือนานๆ อีกทั้งออกรบในสมรภูมิที่ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งบ่อยๆ ทหารที่ได้รับพิษไอเย็นคงมีแปดถึงเก้าในสิบคน พวกเจ้าต้องลำบากกันแล้ว”
ใบหูของเฉินกวงเป็นสีแดงระเรื่อ “ล้วนเป็นสิ่งที่พึงกระทำขอรับ”
เขาทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยต่อ “เดิมทีอาการของท่านแม่ทัพของพวกข้ายังไม่รุนแรงถึงเพียงนี้ ต่อมาท่านยังไปเสาะหาน้ำแข็งพันปีถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ ท่านหมอบอกว่าท่านแม่ทัพไม่มีทางหายดี พอกลับถึงเมืองหลวง ท่านแม่ทัพก็ไม่เชิญหมอหลวงมารักษาให้อีก”
“ไม่ต้องเป็นห่วง หลังท่านหมอเทวดากลับเมืองหลวงแล้วจะตรวจอาการให้แม่ทัพเซ่าเอง” ความรู้สึกในใจเฉียวเจาสับสนปนเปอยู่บ้าง
เซ่าหมิงยวนโง่งมใช่หรือไม่ คนก็ตายไปแล้ว รักษาร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อยจะมีประโยชน์อันใด
ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สนใจเขาหรอก
* สังหารข้าศึกได้พันคนแต่สูญทหารไปแปดร้อยนาย หมายถึงสูญเสียทั้งสองฝ่าย ในการรบฝ่ายที่สังหารข้าศึกได้มากกว่า แม้ดูเหนือกว่าแต่ก็เสียกำลังคนไปไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน