หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 237
บทที่ 237
เฉินกวงได้รับคำไหว้วานจากเฉียวเจาก็รีบไปรายงานต่อเซ่าหมิงยวน
“คนของกององครักษ์จินหลินจะตามสืบด้วยหรือ” เซ่าหมิงยวนเคาะพื้นโต๊ะแล้วเผยสีหน้าแจ่มแจ้งในบัดดล “คุณหนูหลีให้จวนฉางชุนป๋อตีฆ้องร้องป่าวขอขมา เพื่อดึงให้องครักษ์จินหลินออกโรงกระมัง”
เฉินกวงฟังแล้วงุนงง “จวนฉางชุนป๋อขอขมาแล้วดึงให้องครักษ์จินหลินออกโรงได้อย่างไรขอรับ”
“ยืมมือ”
เฉินกวงยังคงฟังไม่รู้เรื่อง แต่เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงหัวร่อ
คุณหนูหลีฉลาดจริงๆ หากที่ชวนหัวคือคราวนี้ดูเหมือนจะฉลาดเกินไป กลับกลายเป็นสร้างปัญหาให้ตนเอง
“เจ้ากลับไปบอกคุณหนูหลีว่าวางใจได้ ข้าจะแก้ไขปัญหาที่ตามมาให้หมดจดเอง ไม่ปล่อยให้คนของกององครักษ์จินหลินสืบพบอะไร ส่วนเรื่องหลังจากนี้นางอยากจะสะสางเช่นไรก็ไม่มีคนนอกก้าวก่ายได้”
“ขอรับ” เฉินกวงล้วงขวดกระเบื้องใบเล็กจากอกเสื้อยื่นส่งให้ “คุณหนูหลีมอบให้ท่านขอรับ”
“หือ?” เซ่าหมิงยวนรับไว้
คงเพราะพิษไอเย็นทำให้นิ้วมือเรียวยาวของชายหนุ่มเมื่อเทียบกับสีขาวของขวดกระเบื้องแล้วยังดูโปร่งใสมากกว่าหลายส่วน
เฉินกวงเห็นแล้วอดลอบเศร้าใจไม่ได้ เขาฝืนยิ้มพลางกล่าว “คุณหนูสามบอกว่านี่คือยาขับไอเย็น ท่านกินวันละหนึ่งเม็ดก็จะไม่ทรมานอย่างนั้นแล้ว”
ยาขับไอเย็น?
เซ่าหมิงยวนหมุนคลึงขวดกระเบื้องในมือเล่น เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณนางแทนข้าด้วย”
เฉินกวงยิ้มกริ่ม “คุณหนูสามยังบอกอีกว่าวันหน้าจะตอบแทนท่านด้วยขอรับ”
ตอบแทนข้า?
เซ่าหมิงยวนอึ้งไป เด็กสาวบอกว่าจะตอบแทนหมายความว่าอะไร
นึกออกแล้ว เมื่อก่อนฉือชั่นเคยบอกว่าพวกสตรีชอบใช้วิธี ‘พลีกาย’ ตอบแทน
เซ่าหมิงยวนตกใจจนทำขวดกระเบื้องในมือหล่นลงบนโต๊ะไม้จันทน์จนบังเกิดเสียงดังกังวานใส
เฉินกวงลุกลนหยิบมันขึ้น “ท่านแม่ทัพ เป็นอะไรไปขอรับ”
เขารับขวดกระเบื้องคืนอย่างกระดากกระเดื่อง “ไม่มีอะไร รีบกลับไปเถอะ จริงสิ บอกคุณหนูหลีว่านางไม่จำเป็นต้องตอบแทนข้า”
“เอ่อ…ข้าจะกลับไปประเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” เฉินกวงกลับไปอย่างฉงนงงงวย
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง มองผืนพฤกษ์พรรณสีเขียวขจีด้านนอกแล้วโคลงศีรษะยิ้มๆ
เป็นเขาคิดมากเกินไปเอง คุณหนูหลีรับมือกับปัญหาอย่างชาญฉลาดและใจเย็น จะตัดสินการกระทำของนางตามความคิดอ่านของสตรีสามัญมิได้
ในฤดูร้อนยามราตรีมาเยือนช้า ท้องฟ้าด้านนอกยังสว่างอยู่ แต่ทั้งสี่ทิศมีควันไฟจากการหุงหาอาหาร บ่งบอกว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสั่งกับเรือนครัวใหญ่เป็นพิเศษให้จัดเตรียมสำรับอาหารที่พร้อมพรั่งกว่าปกติไม่น้อยส่งไปให้ทุกๆ เรือน เพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลและเรียกขวัญ
หลีฮุยเห็นข้าวปลาอาหารที่ปรุงอย่างพิถีพิถันตรงหน้ากลับไม่นึกอยากขยับตะเกียบ จวบจนมันเย็นชืดแล้วถึงวางตะเกียบกลับลงบนโต๊ะ เอ่ยสั่งเด็กรับใช้นามชิงจี๋ว่า “ชิงจี๋ ยกอาหารออกไปเถอะ”
ชิงจี๋พูดคะยั้นคะยอ “คุณชาย ข้านำอาหารไปอุ่นใหม่ให้นะขอรับ ดีชั่วท่านก็กินสักสองคำเถอะ ไม่กินอะไรสักนิดได้ที่ใดกัน”
หลีฮุยหยักยิ้ม “อากาศร้อนเลยกินไม่ลง เจ้าเก็บโต๊ะเถอะ ข้าจะออกไปสูดอากาศข้างนอก”
ชิงจี๋จับสังเกตได้ว่าอารมณ์ของผู้เป็นนายไม่ใคร่ปกติก็ตามไปด้วยอย่างไม่วางใจ
หลีฮุยหยุดฝีเท้า “ไม่ต้องตามมา ข้าอยากเดินคนเดียว”
เขาผลักประตูก้าวออกไป สายลมพลบค่ำยังคงเจือกระไอร้อนอยู่ หลีฮุยกลับรู้สึกหนาวเหน็บใจ
เด็กหนุ่มสาวเท้าไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายเป็นเวลานานจนกระทั่งฟ้ามืดสนิทถึงตัดสินใจได้ในที่สุด เขาออกเดินไปทางฝั่งขวาของเรือนหยาเหอ
“คุณหนู คุณชายสามมาเจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวกำลังกินองุ่นแช่เย็นหลังอาหารเย็นอยู่ ได้ยินเสียงรายงานของสาวใช้ก็บอกทันที “เชิญคุณชายสามเข้ามา”
ชั่วอึดใจต่อมาเสียงม่านลูกปัดกระทบกันเบาๆ ดังขึ้น หลีฮุยย่างเท้าเข้ามา
“ไฉนน้องสามถึงมาในเวลานี้ล่ะ” หลีเจี่ยวเดินไปหาพร้อมรอยยิ้ม เห็นน้องชายมีสีหน้าเรียบเฉย นางสะกดความแปลกใจไว้บอกให้คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไป
เมื่อเหลือแค่สองพี่น้องอยู่ในห้อง หลีเจี่ยวยื่นองุ่นให้ “องุ่นที่ซื้อมาหนนี้รสหวานมาก น้องสามชิมดูสิ”
“ไม่อยากกินขอรับ” หลีฮุยกล่าวเสียงเอื่อยๆ
หลีเจี่ยววางองุ่นลงแล้วมองเขาอย่างพินิจ “น้องสาม เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
หลีฮุยสบตากับพี่สาวแล้วรู้สึกลำคอฝืดเคือง เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงอ้าปากพูด “เรื่องเมื่อตอนกลางวัน…”
ดวงตาของพี่สาวคนโตงามมาก พวกท่านย่าบอกว่านางประพิมพ์ประพายคล้ายท่านแม่ที่ล่วงลับไปนานแล้วมาก
พี่สาวคนโตไม่เคยเปลี่ยนแปลงใดๆ ไปจากภาพในความทรงจำเขาเรื่อยมา ทว่าแท้ที่จริงนางเปลี่ยนไปแล้ว มันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไรกันนะ
ได้ยินหลีฮุยเอ่ยถึงเรื่องนั้น หลีเจี่ยวสีหน้าขรึมลง นางพูดตำหนิเขา “น้องสาม ข้าอยากจะว่ากล่าวเจ้าอยู่พอดี เจ้าแบกรับความผิดพรรค์นั้นไว้เองอย่างวู่วามปานนั้นได้อย่างไร”
“วู่วาม?” หลีฮุยหลับตาลง เขาเอ่ยถามนาง “หากข้าไม่แบกรับความผิดนั้นไว้เอง และน้องเจาไม่มีฝีมือฝังเข็มช่วยคน ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรหรือขอรับ”
“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ทำลายอนาคตของตนเพื่อน้องเจาไม่ได้ ถ้าเจ้าถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องพรรค์นั้นแล้วยังจะเข้าร่วมการสอบรับราชการได้อย่างไร ถ้าสอบรับราชการไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้มิย่อยยับหรือไร”
มุมปากของหลีฮุยมีรอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้น “แต่หากข้าไม่ออกหน้ารับ อีกทั้งไม่เกิดเหตุพลิกผันพวกนั้นในตอนหลัง ชีวิตของน้องเจาก็ถูกทำลายย่อยยับเหมือนกันกระมัง”
“น้องสาม!” หลีเจี่ยวทำสีหน้าเหลือเชื่อ “หรือว่าในใจเจ้าน้องเจาสำคัญถึงเพียงนี้ สำคัญถึงขั้นที่เจ้ายอมเสียสละอนาคตได้ แล้วข้าล่ะ ข้าเป็นพี่สาวร่วมมารดาเดียวกันกับเจ้า เจ้าเคยคำนึงถึงข้าบ้างหรือไม่ หากเจ้าตกอับจมดินด้วยเหตุนี้ แล้วข้าจะทำอย่างไร ข้าจะปวดใจปานใด…”
“ข้าเห็นหมดแล้วขอรับ”
“เจ้าพูดอะไร” หลีเจี่ยวยังไม่เฉลียวใจอยู่ตลอด
หลีฮุยเพียงรู้สึกราวกับมีผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งติดอยู่ตรงกลางอก ทำให้เขาอึดอัดทรมานแทบหายใจไม่ออก
“พี่เจี่ยว ข้าพูดว่าข้าเห็นหมดแล้ว”
ถ้ามิใช่เห็นกับตา เขาจะก้าวออกไปเผชิญหน้าอย่างวู่วามได้อย่างไร
เขาเชื่อว่าน้องเจาไม่มีวันทำเรื่องอย่างนั้น และความจริงจะต้องเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน
ทว่าผลที่ตามมาเมื่อความจริงเปิดเผย กลับกลายเป็นพี่สาวร่วมมารดาเดียวกันของเขาต่างหากที่เป็นคนร้าย!
ไม่สืบหาความจริง น้องเจาถูกปรักปรำ แต่สืบหาความจริง พี่สาวร่วมมารดาเดียวกันจะมีภัยมหันต์
ใครก็ได้บอกเขาทีว่าถ้าไม่ก้าวออกไป เขาควรทำประการใด
สีเลือดบนใบหน้าของหลีเจี่ยวเลือนหายไปทีละเล็กทีละน้อย ริมฝีปากซีดขาวราวหิมะ “เจ้า…เจ้าเห็นอะไร”
หลีฮุยจ้องตาพี่สาวนิ่งๆ ทว่าน้ำเสียงเบาหวิวประหนึ่งสายลมระลอกหนึ่ง “ข้าเห็นท่านกับชุนฟางสวมอาภรณ์ของบุรุษ เดินมาจากทางประตูข้างฝั่งตรอกเล็ก”
หลีฮุยสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง “พี่เจี่ยว ความจริงแล้วสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษทำร้ายจย่าซูบาดเจ็บในหอปี้ชุนผู้นั้นคือท่านกระมัง”
“ไม่…ไม่ใช่” หลีเจี่ยวแย้งกลับตามสัญชาตญาณ “น้องสามเจ้าฟังข้าพูด”
สีหน้าของหลีฮุยเผือดลงดุจกระดาษขาว หากอารมณ์ที่ฉายออกมากลับนิ่งสนิทจนชวนให้หวาดหวั่นใจ “พี่เจี่ยวพูดสิ ข้าฟังอยู่”
น้องชายที่เป็นเช่นนี้กลับทำให้หลีเจี่ยวกล่าวปฏิเสธต่อไปไม่ออก
นางยกสองมือปิดหน้าร่ำไห้ฟูมฟาย “เป็นข้าเอง แต่ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า ข้าพลัดหลงเข้าไปในหอปี้ชุนพบกับเจ้าเดรัจฉานคนนั้น แล้วเจ้าเดรัจฉานนั่นก็ลากข้าเข้าไปในห้องทันที…”
หลีเจี่ยวตัวสั่นเทาโผเข้าไปซบอกเขา “ฮุยเอ๋อร์ ตอนนั้นข้ากลัวเหลือเกิน กลัวเหลือเกินจริงๆ”
ท่าทางของพี่สาวทำให้หลีฮุยทั้งสงสารทั้งจนปัญญา ทว่าความสงสารในครานี้กลับกลบทับความหนาวเหน็บที่ส่วนลึกของใจไม่อยู่อีกต่อไป
“ข้าหมดหนทางจริงๆ หลังรู้ว่าเขาคือเจ้าเดรัจฉานของจวนฉางชุนป๋อ ข้าจำต้องแสดงตัวว่าเป็นใครเพื่อหยุดยั้งเขา”
“แต่ท่านบอกชื่อของน้องเจา”