หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 241
บทที่ 241
เหตุผลที่กวนจวินโหวรับตัวพี่ชายภรรยาไปพำนักที่จวน เพราะภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วมาเข้าฝันบอกว่าในจวนเสนาบดีมีเสือขนสีขาวตัวหนึ่งกินพี่ชายเข้าไป
ผู้คนสมัยนี้เชื่อเรื่องเข้าฝันอย่างสนิทใจ และชอบตีความหมายของความฝันโยงกับเรื่องราวในความเป็นจริง
ข่าวลือนี้ถูกโจษจันอย่างครึกโครม ชาวบ้านสามัญชนที่ไม่รู้ความเป็นไปของหมู่ชนชั้นสูงอย่างมากก็แค่ชมเรื่องสนุกอยู่วงนอกเท่านั้น ขณะที่สตรีในตระกูลขุนนางและผู้สูงศักดิ์เริ่มซุบซิบนินทากันหนาหู
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ สิ่งที่ฝันถึงล้วนมีนัยถึงคนทั้งสิ้น เสือขนสีขาวที่กินคุณชายเฉียวเข้าไปจะต้องหมายความว่ามีคนบางคนต้องการปองร้ายคุณชายเฉียว ดังนั้นฮูหยินของกวนจวินโหวถึงเป็นห่วงพี่ชายเลยมาเข้าฝัน”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง คุณชายเฉียวพำนักอยู่ที่เรือนท่านตาของตนเอง จะมีคนปองร้ายเขาได้อย่างไร”
“เรื่องเช่นนี้พูดยากนะ พวกตระกูลใหญ่ๆ ไม่มีเรื่องราวเช่นใดบ้างเล่า แม้แต่อยู่ในเรือนตัวเองแล้วถูกปองร้ายก็ใช่ว่าไม่มี ในข่าวลือบอกไว้มิใช่หรือว่าขนเสือสีขาวตัวนั้นอยู่ในจวนเสนาบดี แสดงว่าคนที่ปองร้ายคุณชายเฉียวก็อยู่ในจวนเสนาบดีนี่ล่ะ”
“มิน่ากวนจวินโหวถึงรับคุณชายเฉียวไปตอนกลางดึก พวกเจ้าว่าเสือขนสีขาวที่ว่านี่หมายถึงใคร”
บรรดาคนที่อยู่ว่างๆ ไม่มีการงานใดต่างขบคิดอย่างเอาจริงเอาจังไปตามๆ กัน
ยามคนเราเอ่ยถึงครอบครัวหนึ่ง เป็นธรรมดาที่จะนึกถึงเหล่าผู้เป็นนายก่อน
หญิงวัยกลางคนใบหน้ากลมผู้หนึ่งกล่าวอย่างแจ่มแจ้งในบัดดล “ข้ารู้แล้ว”
สายตาที่มองมาของทุกคนทำให้อาการคันปากของนางรุนแรงยิ่งขึ้น “เป็นเหมาซื่อนายหญิงใหญ่คนนั้นของจวนเสนาบดีโค่วอย่างไรล่ะ! เสือขนสีขาว พวกเจ้าลองคิดดูสิ”
“นั่นสิ” ทุกคนเข้าใจในทันที
“จริงสิ เหมาซื่อเกิดปีขาลพอดีเลย” หญิงวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งคิดตามไปในทางนี้แล้วกล่าวขึ้น
ระหว่างที่พวกนางวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ มีหญิงวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งสูดหายใจดังเฮือก “ไม่รู้ว่าพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลท่านตาของเหมาซื่อก็แซ่ไป๋!*”
“นี่ไม่ผิดแล้วล่ะ เสือขนสีขาวต้องหมายถึงเหมาซื่ออย่างมิต้องสงสัย แต่นางจะปองร้ายคุณชายเฉียวไปเพื่ออะไร”
“เรื่องนั้นใครจะรู้ได้เล่า บางทีอาจเกรงว่าคุณชายเฉียวเป็นภาระ ไม่อยากเลี้ยงดูไปเรื่อยๆ ถึงอย่างไรเป็นแค่ป้าสะใภ้ ห่างกันชั้นหนึ่ง”
หลังข่าวลือนี้ดังมาเข้าหูเซ่าหมิงยวนที่นั่งดื่มชาอยู่ใต้ระแนงเถาองุ่น เขาอึ้งงันไปนานครู่หนึ่งแล้วเอ่ยสั่งองครักษ์ประจำตัว “ส่งข่าวถึงเฉินกวง เชิญคุณหนูหลีมาพบข้าที่หอชุนเฟิง”
เฉียวเจามายังหอชุนเฟิงตามคำบอกกล่าวจากเฉินกวง
“แม่ทัพเซ่าอยากพบข้าด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าได้ยินข่าวลือนั่นแล้ว”
“อื้อ” เฉียวเจามีสีหน้าเรียบเฉย หากในใจนึกกังขา เซ่าหมิงยวนตั้งใจเรียกนางมาเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวลือกันเท่านั้นหรือ เขาไม่คล้ายเป็นคนเช่นนี้นี่นา
เซ่าหมิงยวนมองนาง “คุณหนูหลีเป็นคนปล่อยข่าวลือใช่หรือไม่”
เฉียวเจานิ่งงันไปแล้วหน้าบึ้งทันที “แม่ทัพเซ่ากล่าววาจาตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้เสมอหรือเจ้าคะ”
เขากับนางมิได้สนิทสนมกันเสียหน่อย คนผู้นี้ไม่รู้สึกว่าพูดจาละลาบละล้วงคนที่รู้จักกันผิวเผินหรือ ไฉนไม่ไว้หน้าสตรีแม้แต่น้อยนิด ถึงกับถามตรงๆ ว่าเป็นคนกุข่าวใช่หรือไม่
เอ่อ…แม้ว่านางจะกุข่าวขึ้นจริงๆ ก็เถอะ
เซ่าหมิงยวนงุนงงเช่นกัน เพราะอะไรคุณหนูหลีถึงโมโห เวลาเขาหารืองานทางทหารกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็ทำเช่นนี้เสมอ ตรงไปตรงมาถึงจะมีประสิทธิภาพมากกว่ามิใช่หรือ
“คุณหนูหลีรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ” ท่านแม่ทัพหนุ่มตรึกตรองเล็กน้อยแล้วตัดสินใจโอนอ่อนตาม เปลี่ยนวิธีถามให้ละมุนละม่อมขึ้น
แม่นางเฉียวหน้าบึ้งมากขึ้น ไฉนคนผู้นี้แสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วกัน
เซ่าหมิงยวนเงียบอึ้ง “…” ข้าไม่พูดอะไรจะดีกว่า
“ข้าเอง” เฉียวเจาตกลงปลงใจไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนผู้นี้ เห็นเขานิ่งเงียบไป นางจึงถามขึ้น “มีอันใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าเห็นว่าเรื่องนี้พึงเคารพในความประสงค์ของพี่ชายภรรยาข้าจะดีกว่า จะอย่างไรนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา บางทีอาจเกี่ยวพันถึงเบื้องหลังบางอย่าง…”
เซ่าหมิงยวนกล่าวต่อไปไม่ได้ เพราะเขาพลันสังเกตเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าร้องไห้แล้ว
บางทีอาจไม่นับว่าร้องไห้ แต่จู่ๆ ดวงตางดงามคู่นั้นก็ฉาบด้วยม่านน้ำใสๆ ด้วยความน้อยอกน้อยใจละม้ายลูกกวางที่วิ่งเล่นอยู่ในป่าแล้วพบกับคนแปลกหน้ากะทันหัน
เซ่าหมิงยวนงงงวยอยู่บ้าง เขาชื่นชมในตัวคุณหนูหลีมาโดยตลอด ถึงแม้อีกฝ่ายยังเยาว์วัย แต่เขาไม่เคยเห็นนางเป็นเด็กสาวเลย สำหรับเขานางเป็นดั่งมิตรสหายในระดับเดียวกัน ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าที่แท้ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูหลีก็ยังเป็นเด็กสาว นางไม่เหมือนกับสหายร่วมทัพเหล่านั้น
ทว่าเขาพูดอะไรกันแน่ถึงเป็นเหตุให้คุณหนูหลีอยากร้องไห้
“แม่ทัพเซ่ารู้สึกว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องหรือ” เฉียวเจาเม้มปากถาม นางรู้ว่านางไม่สมควรน้อยใจเพราะตอนนี้นางไม่ใช่เฉียวเจาแล้ว ไม่ใช่น้องสาวของพี่ใหญ่ แล้วก็ไม่ใช่ภรรยาของคนเบื้องหน้านี้
ในสายตาของทุกคน นางคือเด็กสาวจุ้นจ้านที่ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องและไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัวสักนิดผู้หนึ่ง
แต่ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าใครก็ตาม นางล้วนไม่รู้สึกน้อยใจ แต่กับเซ่าหมิงยวนกลับทนไม่ไหว
เขายิงธนูสังหารนางตายแล้วยังกล้าว่านางยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกหรือ
เจ้าคนบัดซบไร้ยางอาย!
แม่นางเฉียวคิดไปเช่นนี้ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้เต็มที่แต่แรกก็ไหลพรากลงมาดั่งสร้อยมุกขาดร่วงลง
เซ่าหมิงยวนทำอะไรไม่ถูก เขาไม่ได้พูดอะไรจริงๆ นะ คุณหนูหลีไม่ใช่คนที่จะงอแงไร้เหตุผลเช่นนี้แท้ๆ ตกลงว่าเกิดปัญหาตรงที่ใดกันแน่ “คุณหนูหลี ขอโทษด้วย ท่าน…ท่านอย่าร้องไห้เลยนะ…”
เฉินกวงกับปิงลวี่ที่ยืนอยู่ไกลกวาดตามองมาทางนี้เป็นระยะ เซ่าหมิงยวนบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากก้าวขาวิ่งหนีไปเลย
“ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องไม่ได้ กระทั่งร้องไห้ก็ไม่ได้อีกหรือ” เด็กสาวถามทั้งน้ำตาคลอ
“ได้ ได้แน่นอน…แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรน่าร้องไห้…” ท่านแม่ทัพพูดปลอบทื่อๆ
เฉียวเจาโมโหมากขึ้น นางสะกดกลั้นไว้มากแล้วนะ เปลี่ยนเป็นเด็กสาวคนอื่นป่านนี้ร้องไห้จะเป็นจะตายแล้ว!
เขายังกล้าพูดว่า…ไม่มีอะไรน่าร้องไห้!
ไม่มีอะไรน่าร้องไห้รึ ไปตายเสียไป เจ้าคนบัดซบผู้นี้จะรู้อะไร!
แม่นางเฉียวลุกพรวดขึ้นยกเท้าเตะหน้าแข้งชายหนุ่มทีหนึ่งแล้วหมุนกายเดินไป “ปิงลวี่ เฉินกวง พวกเรากลับจวน!”
ปิงลวี่กับเฉินกวงวิ่งเข้ามา
“คุณหนู ท่านร้องไห้เพราะเหตุใดเจ้าคะ” ปิงลวี่สะดุ้งตกใจ นางหันไปถามเซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่า ท่านรังแกคุณหนูของพวกข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนก้มหน้ามองหน้าแข้งที่โดนเตะของตนเองเงียบๆ
เด็กสาวแรงน้อย สำหรับเขาแล้วแรงเตะครั้งนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ
กระนั้นราวกับว่าแรงเตะนั่นยังสะเทือนไปถึงกลางหัวใจทำให้ถึงตอนนี้เขายังยากจะดึงสติคืนมาได้
เขาถูกเด็กสาวผู้หนึ่งเตะหรือนี่ แต่นางกลับทำท่าทางน้อยอกน้อยใจเหลือเกิน
ทว่านี่เป็นเพราะอะไรกันแน่นะ
“ปิงลวี่ ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเรากลับกัน” แม่นางเฉียวสะบัดแขนเสื้อกลับไป
สาวใช้น้อยเห็นดังนั้นก็ถลึงตาใส่เขาก่อนจะกุลีกุจอไล่ตามไป
เฉินกวงโคลงศีรษะไม่หยุด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนขัดเคืองที่อีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจ “ท่านแม่ทัพ สตรีไม่ได้มีไว้รังแก แต่ต้องเอาใจขอรับ”
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย” ยามอยู่กับผู้ใต้บังคับบัญชา สีหน้าของท่านแม่ทัพหนุ่มยังนับว่าเยือกเย็น
เขาไม่เคยเอาใจสตรีมาก่อน อีกอย่างไม่คิดจะตบแต่งภรรยาอีก เอาใจสตรีอื่นนอกจากภรรยาก็ไม่เหมาะสมกระมัง
“เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ทำอะไร คุณหนูสามเป็นสตรีที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา ท่านแม่ทัพต้องกระทำเรื่องร้ายแรงมากเป็นแน่ถึงทำให้นางโกรธจนร้องไห้ขอรับ”
หรือว่าท่านแม่ทัพเกี้ยวพาราสีคุณหนูสาม คิกๆๆ ท่านแม่ทัพยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
เซ่าหมิงยวนหยุดคิดอย่างจริงจังแล้วกล่าว “ดูเหมือนข้าจะพูดว่านางยุ่งไม่เข้าเรื่อง…เฉินกวง เจ้าเป็นอะไรไป”
* เหมา หมายถึงขน ไป๋ หมายถึงสีขาว ทั้งสองคำเกี่ยวพันกับเหมาซื่อ คนจึงตีความว่าเสือขนสีขาว หมายถึงเหมาซื่อ