หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 242
บทที่ 242
“ไม่…ไม่มีอะไรขอรับ” มีท่านแม่ทัพเช่นนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชายังยืนหยัดอยู่รอดมาได้มิใช่เรื่องง่ายดายปานใด!
เฉินกวงเดินจากไปด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
ระหว่างทางกลับ ปิงลวี่พูดอย่างฮึดฮัด “คุณหนู ท่านอย่าร้องไห้เลย วันหน้าพวกเราก็อย่ามาที่หอชุนเฟิงเส็งเคร็งนี่แล้ว”
เฉียวเจามองนางแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ยังต้องมาอีก”
“…” คุณหนู แล้วศักดิ์ศรีของพวกเราล่ะเจ้าคะ
เมื่อสงบใจลงได้ เฉียวเจาชักขุ่นเคืองใจ นางเตะเซ่าหมิงยวนเพราะเหตุใดกันนะ เช่นนี้ออกจะเป็นวิสัยของเด็กน้อยเกินไป
ช่างเถิดๆ เขาจะคิดเช่นไรก็ช่าง ถึงอย่างไรนางยังจะทำเรื่องที่ต้องทำต่อไปอยู่ดี
ในสายตาของเขา เรื่องของพี่ใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับนาง แต่สำหรับนางแล้วเพลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของพี่ใหญ่
คนที่ทำร้ายพี่ใหญ่ นางต้องให้คนผู้นั้นได้รับบทลงโทษ
จวนเสนาบดีโค่วย่อมต้องได้ยินเสียงเล่าลือแล้วเป็นธรรมดา
หลังจากเหมาซื่อได้ข่าวก็ทั้งร้อนตัวทั้งโกรธเคืองจนกินข้าวไม่ลง ส่งผลให้ล้มหมอนนอนเสื่อทันที
“เหมาซื่อ เจ้ามิได้มาจากตระกูลต่ำต้อยเสียหน่อย ไฉนยังใส่ใจกับข่าวโคมลอยพวกนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียพูดปลอบ
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านฟังคนภายนอกลือกันสิเจ้าคะว่าระคายหูเพียงใด พูดเป็นทำนองว่าข้าเป็นคนทำร้ายเฉียวโม่ วันหน้าข้ายังจะพบปะกับคนอื่นได้อย่างไร”
“อันว่าคนบริสุทธิ์ย่อมเป็นคนบริสุทธิ์วันยังค่ำฉันใด คนโสมมย่อมเป็นคนโสมมวันยังค่ำฉันนั้น ข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใดพรรค์นี้คือเศษสวะที่ลอยไปตามน้ำ อีกไม่นานนักพอมีข่าวลือใหม่ออกมา มันก็เงียบหายไปกับสายลม”
เหมาซื่อฟังแล้วยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้การ ก็เพราะว่านางเป็นคนลงมือจริงๆ ถึงกลัวว่าเรื่องราวจะลุกลามไปกันใหญ่น่ะสิ
“ไม่สบายมากหรือ”
เหมาซื่อยิ้มอย่างอ่อนระโหย “พอไหวเจ้าค่ะ ทำให้ท่านต้องกังวลใจแล้ว”
“กลัวข้ากังวลใจ เจ้าก็รีบพักฟื้นให้หายโดยไว ข้าอายุปูนนี้ กำลังวังชาเทียบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว จวนเสนาบดีใหญ่โตนี้ยังต้องอาศัยเจ้าช่วยดูแลความเรียบร้อยนะ อย่าเก็บข่าวลือเหลวไหลไร้สาระพวกนี้มาใส่ใจเลย”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถอะ” จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเซวียก็เกาะแขนสาวใช้เดินออกไป
เหมาซื่อขยุ้มผ้าห่มผืนบางแน่นๆ ด้วยจิตใจที่ปั่นป่วนพลุ่งพล่านสุดจะกล่าว
ไม่มีลม ไหนเลยจะเกิดคลื่น เรื่องที่นางวางยาพิษเฉียวโม่ มีคนจับพิรุธได้อย่างไรกันแน่
ตอนได้พิษหอมสูญมา มีคำบอกอย่างชัดเจนว่าพิษนี้ไร้สีไร้กลิ่น เวลากำเริบจะเหมือนอาการไข้สูงธรรมดา ไม่มีทางถูกผู้ใดจับได้แน่นอน
หรือจะพูดว่าใต้หล้านี้มีสิ่งลี้ลับอยู่จริง เป็นเฉียวเจาที่อายุสั้นมาเข้าฝันกวนจวินโหวจริงๆ
เหมาซื่อผุดลุกขึ้นนั่ง ประนมมือท่องอะไรบางอย่างดังงึมงำๆ ลอดออกจากปาก “อมิตาภพุทธ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ภูตผีวิญญาณนั่นอย่าตามมารังควานข้าเลย ข้าทำไปเพื่อความสุขชั่วชีวิตของบุตรสาว มีความผิดอันใด…”
จื่อโม่ปักใจมั่นต่อเฉียวโม่มาแต่วัยเยาว์ หากเฉียวโม่อยู่ไกลถึงจยาเฟิงก็แล้วกันไปเถอะ แต่กลับจำเพาะเจาะจงต้องมาพำนักอยู่ในจวนเสนาบดี
หรือจะให้นางมองดูบุตรสาวถลำใจลึกไปเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตาจนเป็นอุปสรรคต่อเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตของสตรีหรือ
อีกประการหนึ่ง นางมิได้คิดจะเอาชีวิตเฉียวโม่เลย พิษหอมสูญนั่นทำให้ร่างกายอ่อนแอเท่านั้น หลังโดนพิษก็เพียงป่วยบ่อยๆ ไม่ถึงกับตายมิใช่หรือ
เมื่อเฉียวโม่ล้มป่วย กวนจวินโหวถึงจะมาเยี่ยมไข้ เช่นนี้บุตรสาวของนางถึงจะมีโอกาส…
ใช่ เฉียวโม่เสียโฉม อีกทั้งต้องไว้ทุกข์ ต่อให้จื่อโม่ตาบอดเพราะความรัก ทั้งคู่ก็ไม่อาจครองคู่กันได้ การทำให้กวนจวินโหวเข้าๆ ออกๆ จวนเสนาบดีบ่อยๆ ต่างหากคือเป้าหมายที่แท้จริงของนาง
แต่ที่น่าเจ็บใจนักคือเฉียวโม่เพิ่งล้มป่วย กวนจวินโหวก็มารับตัวเขาไปแล้ว
บัดนี้เป้าหมายไม่บรรลุ ยังมีข่าวลือออกมาอย่างนั้นอีก มันชวนให้กระอักเลือดจริงๆ
ดีที่นอกจากคนสนิทของนาง ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเป็นฝีมือนาง ดังเช่นฮูหยินผู้เฒ่าเซวียกล่าวไว้ ข่าวลือแพร่ออกไปไม่กี่วันก็จะซาไปเอง ขอแค่นางควบคุมอารมณ์ไว้ได้ ใครจะทำอะไรได้
ทว่าพักนี้ไม่ราบรื่นสมหวังเช่นนี้ สมควรปลีกเวลาว่างไปไหว้พระที่วัดต้าฝูบ้างจริงๆ
ณ เรือนเล็กฝั่งซ้ายของเรือนหยาเหอในจวนตะวันตกสกุลหลี เฉียวเจานั่งอยู่ตรงโต๊ะหินด้านข้างต้นทับทิมกำลังง่วนอยู่กับหนังเสือผืนหนึ่ง
“คุณหนู ท่านหยิบหนังเสือผืนนี้ออกมาทำอะไรเจ้าคะ”
เฉียวเจาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น กล่าวตอบเสียงเรียบว่า “ใช้งานน่ะสิ ปิงลวี่ เจ้าไปเรียกเฉินกวงมาที”
“เรียกมาที่เรือนของเราหรือเจ้าคะ” ปิงลวี่แปลกใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้คุณหนูพบกับเฉินกวงในศาลาที่ติดกับเรือนด้านนอกหลังนั้นเสมอ
อาจูก็ตกใจดุจเดียวกัน นางอดมองไปทางเฉียวเจาไม่ได้
ให้บุรุษวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่งอย่างเฉินกวงมาที่นี่จะดีหรือ จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของคุณหนูหรือไม่
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นมองปิงลวี่ “ไปเร็วสิ”
หลังจากนั้นนางพูดขึ้นคล้ายจะอธิบายกับอาจู “ไม่เป็นไร พวกท่านย่าชมชอบเฉินกวงอยู่มาก ไม่ส่งผลเสียต่อเขา”
อาจูอ้าปากค้าง
ไม่ใช่นะเจ้าคะคุณหนู หรือที่สมควรเป็นห่วงมิใช่ชื่อเสียงของท่าน
นับแต่เกิดเรื่องหอปี้ชุนเป็นต้นมา แม่นางเฉียวเริ่มปล่อยตัวตามสบาย นางกำลังถือแปรงอันเล็กสางขนเสือไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร็วไม่ช้าด้วยสีหน้าท่าทางสำราญใจ
ขนเสือที่เป็นสีเหลืองมอๆ แต่เดิมกลายเป็นสีขาวขึ้นทีละนิด
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าดังขึ้น ปิงลวี่กล่าวรายงาน “คุณหนู เฉินกวงมาแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินกวงโตจนป่านนี้เพิ่งเคยเหยียบเข้าลานเรือนของสตรีเป็นคราแรก เขาเดินตัวเกร็งอย่างประหม่า
คนสุภาพอ่อนโยนอย่างอาจูเห็นเฉินกวงก้าวขาแกว่งแขนข้างเดียวกันแล้วยังเปล่งเสียงหัวร่ออย่างกลั้นไม่อยู่
ขณะที่ปิงลวี่เห็นแล้วหัวเราะจนน้ำตาไหล “เฉินกวง ไฉนเจ้าเดินแข็งทื่อเหมือนหุ่นกระบอกเลยเล่า”
เฉินกวงหน้าแดงแจ๋ เขาอายจนไม่กล้ามองเฉียวเจา ก้มหน้าเอ่ยถามว่า “คุณหนูสาม เรียกข้ามามีเรื่องใดหรือขอรับ”
เฉียวเจากวาดตามองปิงลวี่กับอาจูแวบหนึ่งแล้วกล่าวเอื่อยๆ “พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าประตูลานเรือนไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาใกล้”
“เจ้าค่ะ”
รอเมื่อพวกสาวใช้ถอยออกไป เฉียวเจามิได้ปริปากทันที ยังใช้แปรงอันเล็กสางขนเสือต่อไปเรื่อยๆ
สายตาของเฉินกวงหยุดอยู่ที่หนังเสือ เขาอดถามขึ้นไม่ได้ “คุณหนูสาม หนังเสือนี้ได้มาจากกระท่อมพรานป่าตอนฝนตกคราวนั้นกระมัง”
เฉียวเจาหยุดงานในมือแล้วพยักหน้า “ใช่”
ไม่ใช่แค่หนังเสือผืนนี้ สารถีตรงหน้าก็ได้มาจากครั้งนั้นเช่นกัน
เฉินกวงหยักยิ้ม “ที่แท้คุณหนูสามชมชอบหนังเสือถึงเพียงนี้ ทว่าเหตุใดท่านต้องย้อมให้มันเป็นสีขาวด้วยขอรับ”
“อยากได้หนังเสือสีขาวผืนหนึ่ง”
หนังเสือสีขาวพบได้น้อยตามตลาด อีกทั้งเพื่อจะได้ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ นางไม่อาจส่งคนออกไปหาซื้อในช่วงนี้ ฉะนั้นลงมือทำด้วยตนเองจะเหมาะสมกว่า
“คุณหนูสามบอกแต่แรกก็สิ้นเรื่อง แดนเหนือมีเสือขาวชุกชุม ท่านแม่ทัพของพวกข้ามีหนังเสือขาวตั้งหลายสิบผืนเชียวนะขอรับ”
เฉียวเจาก้มหน้าดูหนังเสือที่ย้อมสีไปได้ครึ่งหนึ่ง ค่อยมองสารถีน้อยที่ทำสีหน้าโอ้อวดอีกครั้งแล้วบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากย้อมผมของเขาเป็นสีขาวอย่างมาก
สมกับเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซ่าหมิงยวน เหมือนกันกระทั่งความน่าหมั่นไส้
เฉินกวงยังไม่รู้ตัว เขาพูดเอาอกเอาใจนางแทนท่านแม่ทัพที่เคารพของตน “ข้ากลับไปจวนกวนจวินโหวเอามาให้ท่านสักผืนก็แล้วกัน หากท่านแม่ทัพรู้ว่าท่านอยากได้ต้องให้หยิบได้ตามชอบใจเลยขอรับ”
“ไม่ต้อง”
คนผู้นั้นตำหนิว่านางยุ่งไม่เข้าเรื่อง ทั้งเขาเป็นคนคิดอ่านได้ว่องไว เกิดรู้ทันว่านางเอาหนังเสือสีขาวไปทำอะไร ใครจะรู้ว่าเขาจะขัดขวางหรือไม่
“ราตรีนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เฉินกวง ข้าอยากไหว้วานเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“คุณหนูสามเชิญกล่าวขอรับ”
“ข้าอยากขอให้เจ้าไปที่จวนเสนาบดีโค่วตอนดึกๆ คลุมหนังเสือที่ย้อมเป็นสีขาวผืนนี้หลอกคนให้ตกใจสักหน่อย”
“อะไรนะ!” เฉินกวงทำหน้าตะลึงลาน เขาต้องฟังผิดเป็นแน่
เหตุไฉนนับแต่เป็นสารถีของคุณหนูสาม ชีวิตของเขาก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางที่แปลกพิสดารสายหนึ่งได้นะ