หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 243
บทที่ 243
จวนเสนาบดีโค่วเป็นเรือนท่านตาของเฉียวเจา ถึงแม้นางจะไปน้อยครั้งนัก แต่เพราะความจำดี ทำให้นางจดจำผังจวนทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ
เฉียวเจายื่นภาพผังจวนที่วาดไว้ล่วงหน้าส่งให้เฉินกวง
เขารับไปอย่างมึนงง ก่อนจะเปิดภาพออกดูแล้วตกใจอย่างสุดระงับ
คุณหนูสามวาดแผนผังได้สมจริงถึงเพียงนี้ มีแม้กระทั่งส่วนประกอบยิบย่อยเช่นก้อนหินต้นไม้อย่างละเอียดลออ หากนำทักษะนี้ไปใช้ในสมรภูมิ…
ไม่ได้ ข้าต้องช่วยให้ท่านแม่ทัพสู่ขอคุณหนูสามไปเป็นภรรยาให้ได้!
เฉียวเจาหาได้รู้ไม่ว่าความคิดของเฉินกวงเตลิดไปไกลอีกแล้ว ปลายนิ้วมือขาวแตะบนภาพผังจวน “จุดนี้มีต้นกุ้ยต้นหนึ่ง เจ้าเข้าไปจากตรงนี้ได้ จากนั้นเดินไปทางนี้…”
พอนางพูดจบแล้วก็เหลือบตาขึ้นมองเขา “มีคำถามหรือไม่”
“เรื่องนั้นไม่มีขอรับ” เฉินกวงส่ายหน้า ก่อนจะอดถามคำถามหนึ่งไม่ได้ “จะหลอกให้ใครตกใจขอรับ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องหลอกให้ตกใจก็ได้ พยายามทำให้คนเห็นมากๆ เท่านั้นเป็นพอ จำไว้ว่าให้ซ่อนตัวอยู่แถวๆ ลานเรือนนี้ จากนั้นก็กลับมาได้”
ตำแหน่งที่นางชี้คือเรือนของเหมาซื่อ ขอเพียงให้เฉินกวงหายลับไปบริเวณเรือนหลังนี้ สร้างภาพลวงตาว่าเข้าไปในเรือนของเหมาซื่อ คนพวกนั้นย่อมคิดไปถึงข่าวลือนั่น
“เฉินกวง ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนใจ ข้าจะคิดหาวิธีอื่นอีก”
เฉินกวงตบอกรับรอง “คุณหนูสามวางใจได้เต็มที่ สำหรับข้าแล้วเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวขอรับ”
เขาเคยติดตามท่านแม่ทัพแฝงตัวเข้าไปในค่ายใหญ่ของพวกต๋าจื่อมาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่จวนของขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้หนึ่ง
“ตกลง งานนี้ไหว้วานเจ้าด้วย”
ตกดึก โคมไฟในจวนเสนาบดีโค่วส่องแสงสลัวๆ
ยายเฒ่าหวังคนครัวยังคงรู้สึกร้อนจนนอนไม่หลับเช่นเคย
ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ห้องนอนของเหล่าผู้เป็นนายจะวางก้อนน้ำแข็งไว้ พวกสาวใช้อาวุโสยังได้อาศัยใบบุญบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่บ่าวไพร่เช่นพวกนางกลับไม่ได้เห็นแม้แต่เศษน้ำแข็ง
“เวรกรรมจริงๆ ตอนเด็กจะหัดทำอาหารไปด้วยเหตุใดกัน ถ้าได้เป็นแม่นม ตอนนี้คงสบายไปแล้ว ไหนเลยต้องมาทรมาทรกรรมเช่นนี้!” พอเข้าวัยชราจะปวดเบาบ่อยๆ ยายเฒ่าหวังบ่นอุบอิบพลางลุกขึ้น นางปลดทุกข์เสร็จกำลังจะหยิบสายคาดเอวแล้วเดินกลับไป ทันใดนั้นมีเงาสีขาวสายหนึ่งโฉบผ่านเบื้องหน้าสายตาไป
ตาลายหรือ
ยายเฒ่าหวังมือหนึ่งถือสายคาดเอว มือหนึ่งยกขึ้นขยี้ตา
แสงจันทร์สุกสกาว เห็นสัตว์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างต้นไม้ใบหญ้าได้เลือนราง
นี่เป็น…
ยายเฒ่าหวังยังไม่หายงัวเงีย พาให้สมองไม่ใคร่แจ่มใสนัก นางลืมกลัวไปชั่วขณะ กลับขยับเข้าไปใกล้ก้าวหนึ่งแล้วชะเง้อคอมองตามสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็น
“เสือ?!” เสียงกรีดร้องดังก้องฟ้ายามราตรี
สาวใช้ที่ตื่นขึ้นมาถ่ายเบากลางดึกหวาดกลัวถึงขีดสุด นางคลายมือออกจนกางเกงหลุด เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีแดงเข้ม
เดิมทีตามแผนการเฉินกวงซึ่งคลุมหนังเสือไว้สมควรผลุบหายไปทันที แต่เขากลับตกตะลึงนิ่งงันไป หากมิใช่ใจนิ่งพอ เขาก็เกือบจะแผดเสียงลั่นแล้ว
จวบจนแสงไฟจากหลายจุดสว่างขึ้นพร้อมเงาคนไหววูบวาบ เฉินกวงถึงได้สติเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ก้าวขาวิ่งตะบึงเต็มเหยียด
ให้ตายเถอะ ต้องเป็นตากุ้งยิงแน่เลย! โตจนป่านนี้ยังไม่เคยเห็นเสื้อตัวในของหญิงสาวด้วยซ้ำ โชคร้ายหรือไม่ล่ะ!
หากมิใช่มีหน้าที่สำคัญติดตัว สารถีน้อยอยากร่ำไห้จนแทบสิ้นสติ
“ยายเฒ่าหวัง เป็นอะไรไป”
“มีเสือ เสือขนสีขาวตัวใหญ่มาก เมื่อครู่มันหมอบอยู่ตรงนี้…” ยายเฒ่าหวังน้ำตานองหน้าด้วยความขวัญเสีย กระทั่งกางเกงก็ลืมดึงขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไร ตาลายไปแล้วแน่ๆ”
“ไม่ได้ตาลายจริงๆ เสือขนสีขาวตัวนั้นยังจ้องข้าอยู่นานครู่หนึ่งด้วยนะ”
เพราะความชักช้าชั่วขณะนั้นของเฉินกวง มีบางคนที่ออกมาเร็วตาไวมองเห็นได้เลาๆ ก็พูดสนับสนุนขึ้น “ดูเหมือนข้าก็เห็นนะ เสือขนสีขาวตัวนั้นวิ่งไปทางนั้น”
“เป็นไปไม่ได้ ในจวนจะมีเสือได้อย่างไร ไปกัน ทุกคนไปดูด้วยกัน”
บ่าวไพร่เจ็ดแปดคนที่ตกใจตื่นไล่ตามไปยังทิศทางนั้น
“ตรงนั้น นั่น นั่น…ตรงนั้น” คนหนึ่งยกมือชี้ข้างหน้า ตกใจจนขาสั่นพับๆ
หนนี้ทุกคนล้วนเห็นชัดถนัดตา
เสือขนสีขาวตัวหนึ่งกระโจนขึ้นไปบนกำแพงแล้วหายไปไม่เห็นร่องรอย แต่ก่อนเสือตัวนั้นจะลับร่างไป มันยังเหลียวหลังมองปราดหนึ่ง เป็นเหตุให้หลายคนเข่าอ่อนอย่างขวัญเสีย
ผ่านไปนานครู่หนึ่งถึงมีคนพูดขึ้น “มีเสือจริงๆ”
“มิใช่กลางป่ากลางเขา จะมีเสือได้เช่นไรกันเล่า…”
“จริงสิ พวกเจ้าได้ยินข่าวลือนั่นหรือไม่”
“เจ้าหมายถึง…”
“แต่เรื่องพรรค์นั้นคงไม่จริงกระมัง”
มีคนหนึ่งทำหน้าเสีย “เรือนหลังนั้นเป็นเรือนของนายหญิงใหญ่ไม่ใช่หรือ”
สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อราตรีผ่านพ้นไป เรื่องมีเสือขนสีขาวโผล่ที่จวนเสนาบดีโค่วยิ่งเล่าลือกันอื้ออึงเซ็งแซ่
เพราะมีคนในจวนหลายคนพูดเป็นตุเป็นตะว่าเห็นกับตา ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียจึงไม่อาจมองข้ามได้อีก นางเรียกคนในเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มาไต่ถามให้รู้เรื่อง
ใครจะรู้ว่าพอถามแล้ว ตัวฮูหยินผู้เฒ่าเซวียเองก็ชักไม่มั่นใจ
คนเดียวอาจตาฝาดได้ หรือว่าคนหลายคนถึงเพียงนี้จะตาฝาดพร้อมกัน
“ค้นในจวนให้ทั่ว” เสนาบดีโค่วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เหมาซื่อนอนอยู่บนเตียงอย่างวิงเวียนมึนงงตลอด หลังตื่นขึ้นมา นางจะเรียกให้สาวใช้ยกน้ำมาให้ พลันได้ยินเสียงซุบซิบเบาๆ
“นายหญิงกลายร่างเป็นเสือขนสีขาวตัวนั้นจริงๆ หรือ”
“อย่าพูดจาส่งเดช ขืนนายหญิงได้ยินเข้าจะฉีกปากเจ้าเอาได้”
“นายหญิงนอนหลับอยู่ตลอด ดีไม่ดีนายหญิงไม่ได้หลับอยู่ แต่วิญญาณออกจากร่าง ดวงวิญญาณนั้นกลายเป็นเสือขนสีขาวเดินเพ่นพ่านอยู่ในจวน”
เหมาซื่อได้ยินแล้วโกรธจนหน้ามืดตาลาย นางอ้าปากจะว่ากล่าวตำหนิ แต่ฝืนข่มใจไว้ฟังพวกสาวใช้กระซิบกระซาบต่อ
“อย่ากล่าวเหลวไหล นั่นเป็นข่าวลือทั้งนั้น นายหญิงของพวกเราเป็นคนใจดีมีเมตตาปานใด จะปองร้ายคุณชายเฉียวได้อย่างไรเล่า”
“แต่เมื่อคืนมีคนในจวนเห็นเสือขนสีขาวตั้งหลายคน วันนี้นายท่านอาวุโสออกคำสั่งให้ค้นหาร่องรอยเสือให้ทั่วแล้วไม่ใช่หรือ”
“แค่กๆๆ” เหมาซื่ออดรนทนไม่ไหวอีก นางตะเกียกตะกายลุกขึ้น
สาวใช้ปากมากสองคนหน้าซีดด้วยความตกใจ คุกเข่าลงพูดพร้อมกัน “นายหญิง ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“พูด ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันไปมา
“ห้ามปิดบังแม้สักคำเดียว พูดให้ละเอียดชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เช่นนั้นจะขายพวกเจ้าออกไปทันที”
เมื่อฟังสองสาวใช้เล่าจบ ใบหน้าของเหมาซื่อประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวซีด ดูแล้วแฝงรอยเหี้ยมเกรียมอยู่หลายส่วน
สาวใช้สองคนสะท้านเยือกโดยไม่รู้ตัว
“ไสหัวออกไป!”
พอพวกนางออกไป เหมาซื่อหลับตาลง แต่แพขนตากระดุกกระดิกไม่หยุด ในใจนางปั่นป่วนพลุ่งพล่านดุจคลื่นคลั่งถั่งโถม
หรือว่าฟ้ามีตา บาปกรรมมีจริง?
ไม่หรอกๆ คนที่ก่อกรรมทำชั่วในใต้หล้ามีอยู่ตั้งมากมายปานใดล้วนไม่เห็นได้รับผลกรรมตามสนอง ข้าเป็นเพียงมารดาที่ตั้งใจทำเพื่อความสุขของบุตรสาวเท่านั้น ทั้งมิได้เอาชีวิตใคร เพราะอะไรต้องได้รับบทลงโทษเยี่ยงนี้
นับแต่นั้นอาการป่วยของเหมาซื่อก็ทรุดหนักลง สีหน้าท่าทางซีดเซียวอิดโรยไปหมด ต้องนอนซมกับเตียงเป็นส่วนใหญ่ จวนเสนาบดีเชิญหมอชื่อดังทั่วทั้งเมืองหลวงตลอดจนหมอหลวงหลายคนมาตรวจอาการ แต่ล้วนวินิจฉัยต้นตอของโรคไม่ออก
เสียงโจษจันภายในจวนเสนาบดีว่านายหญิงใหญ่ถอดวิญญาณกลายเป็นเสือขนสีขาวทำร้ายคนนับวันยิ่งหนาหูขึ้นทุกทีจนเริ่มแพร่ออกไปข้างนอก
เฉินกวงมีส่วนรู้เห็นในเหตุการณ์ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ปลอมตัวเป็นมือสังหารลักตัวเด็กรับใช้ที่วางยาพิษ ไปจนกระทั่งปลอมเป็นเสือเดินเพ่นพ่านในจวนเสนาบดียามวิกาล เขาขบคิดหลายตลบแล้วยังหาคำตอบไม่ได้ ในที่สุดก็อดถามเฉียวเจาไม่ได้
“คุณหนูสาม เหมาซื่อตกใจจนขวัญหายจริงๆ หรือขอรับ”