หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 249
บทที่ 249
เรือนหลังที่เซ่าหมิงยวนจัดเตรียมให้เฉียวโม่มีขนาดใหญ่กว่าที่พำนักในจวนเสนาบดีอย่างมาก ทันทีที่เฉียวเจาก้าวเข้าไปก็พบว่าที่นี่มีชีวิตชีวากว่าที่อื่น
เฉียวหว่านกำลังเตะลูกขนไก่กับสาวใช้หลายคน สองแก้มเล็กๆ แดงจัดเพราะได้ออกกำลัง นางเห็นเซ่าหมิงยวนก็วิ่งทะยานมาหา “พี่เขย…”
เฉียวเจาฟังแล้วเลิกคิ้วขึ้น
คำว่า ‘พี่เขย’ นี้ เด็กน้อยผู้นี้เรียกได้คล่องปากเหลือเกินนะ
นางผินหน้ามองชายหนุ่มอย่างห้ามไม่อยู่
เขาย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเฉียวหว่าน น้ำเสียงแฝงความอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นกับคนอื่น “เตะลูกขนไก่สนุกหรือไม่”
“สนุกเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านผงกศีรษะถี่ๆ
พวกเด็กน้อยล้วนเป็นเยี่ยงนี้เอง ใครดีต่อนาง ความเป็นปฏิปักษ์และปมในใจในตอนต้นก็เลือนหายไปในเวลาอันสั้น
เซ่าหมิงยวนยกมือยีผมนาง “รอไว้เจ้าฝึกร่างกายให้แข็งแรง พี่เขยจะซื้อลูกม้าให้เจ้าตัวหนึ่ง”
เฉียวหว่านตาเป็นประกาย “จริงหรือเจ้าคะ”
“แน่นอน”
“พี่เขย ท่านอย่าหลอกข้านะเจ้าคะ” ดรุณีน้อยตื่นเต้นสุดจะกล่าว ยกมือจับแขนเสื้อของเขาแกว่งไปแกว่งมา
เฉียวเจานิ่งมองอยู่ด้านข้าง ในใจไม่ใคร่สบอารมณ์แปลกๆ ชอบกล
ไม่เคยเห็นเซ่าหมิงยวนพะเน้าพะนอเด็กเช่นนี้ วันหน้าหว่านวานจะไม่ถูกเขาตามใจจนเสียคนหรือ
ชายหนุ่มยื่นมือไป “วิญญูชนให้คำสัตย์…”
เฉียวหว่านตบมือกับเขาทีหนึ่งอย่างดีอกดีใจพลางเอ่ยต่อ “ไม่บิดพลิ้วคืนคำ”
ในเวลานี้เซ่าหมิงยวนถึงลุกขึ้นยืน เขาอมยิ้มกล่าวกับเฉียวเจา “คุณหนูหลี นี่คือหว่านวานน้องสาวข้า” ว่าแล้วก็บอกกับเฉียวหว่าน “หว่านวาน ท่านนี้คือพี่หลี”
เฉียวเจากับเฉียวหว่านสบตากัน
ดรุณีน้อยทำปากยื่น “ไฉนเป็นท่านอีกแล้ว”
เซ่าหมิงยวนตบตัวเฉียวหว่านเบาๆ “หว่านวาน พูดกับคุณหนูหลีอย่างนี้ไม่ได้”
เฉียวหว่านแสดงคำนับต่อเฉียวเจาอย่างไม่เต็มใจ “พี่หลี”
“น้องเฉียวไม่ต้องมากพิธี” เฉียวเจาแย้มยิ้ม
“หว่านวาน เจ้าเล่นอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะพาคุณหนูหลีไปเยี่ยมพี่ใหญ่เจ้า”
เฉียวหว่านได้ยินแล้วกลอกตาไปมา นางรั้งตัวเซ่าหมิงยวนไว้แล้วกล่าวว่า “พี่เขย ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
คุณหนูหลีผู้นี้เหมือนวิญญาณตามหลอกหลอนเลยทีเดียว ไฉนถึงเห็นนางอยู่ทุกที่ หรือว่านางอยากจะแย่งพี่ใหญ่แล้วยังอยากแย่งพี่เขยไปด้วย
“พี่เขย ข้าขอไปด้วยคนนะเจ้าคะ” เห็นเซ่าหมิงยวนไม่ปริปาก เฉียวหว่านพูดออดอ้อน
“ได้…” คนบางคนที่ไม่รู้วิธีรับมือการออดอ้อนของเด็กหญิงน้อยโดยสิ้นเชิง จึงกล่าวอย่างโอนอ่อนผ่อนตามทันใด
แม่นางเฉียวเอ่ยเสียงเรียบในเวลาเดียวกัน “ไม่ได้”
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวหว่านหันไปมองนางพร้อมเพรียงกันอย่างประหลาดใจ
“อาศัยอะไรถึงไม่ได้ ที่นี่หาใช่เรือนของท่านสักหน่อย” เฉียวหว่านฉุกคิดขึ้นได้ก็พูดอย่างไม่พึงใจ
เฉียวเจาก้มหน้า “เช่นนี้เถอะ ข้าจะคิดคำโคลงวรรคแรก ถ้าเจ้าต่อคำโคลงได้ก็ไปด้วยกัน ต่อไม่ได้ก็เล่นอยู่ที่นี่แต่โดยดี ว่าอย่างไร”
เฉียวหว่านมองเฉียวเจาอย่างงุนงง ด้วยเมื่อก่อนพี่เจาเจาชอบทดสอบนางเช่นนี้เหมือนกัน
ดรุณีน้อยยังตั้งตัวไม่ติด คำว่า “ได้” ก็หลุดออกจากปากไปแล้ว นางกัดริมฝีปากอย่างขุ่นเคืองตนเอง
“ไม่ต้องห่วง ง่ายมาก เจ้าฟังดีๆ นะ วรรคแรกคือ คืนวันไร้เยื่อใยลมหมายมั่น”
เมื่อเสียงนางเอื้อนเอ่ยโคลงวรรคแรกดังขึ้นก็ดึงดูดความสนใจของแม่นางน้อยไปจนหมดทันที
เซ่าหมิงยวนลอบโล่งใจ เดินไปทางข้างในพลางพูดกับเฉียวเจาพร้อมรอยยิ้ม “ยังคงเป็นคุณหนูหลีที่ล่อหลอกเด็กเป็น”
“น้องเฉียวไม่นับเป็นเด็กแล้ว หากแม่ทัพเซ่ายังปฏิบัติกับนางเหมือนเป็นเด็กน้อย ไม่แน่ว่านางจะเป็นคุณหนูเจียงคนต่อไปก็ได้”
ตอนนางอยู่ในวัยเดียวกับเฉียวหว่านต้องฝึกดูแลสุขภาพของท่านปู่แล้ว
แน่นอนว่าแม่นางเฉียวไม่มีวันยอมรับเป็นอันขาดว่าตอนได้ยินน้องสาวต่างมารดากล่าวคำว่า ‘ที่นี่หาใช่เรือนของท่านสักหน่อย’ นั่น ตนลอบขุ่นใจอยู่บ้างพิกลๆ
เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างเก้อๆ “ข้าไม่มีประสบการณ์อะไร”
เฉียวเจาค้อนเขาวงหนึ่ง ย่อมต้องไม่มีประสบการณ์แน่นอน ก็ท่านไม่มีลูกสักหน่อย!
ห้องของเฉียวโม่ไม่ได้ตั้งวางเครื่องเรือนประดับประดามากนัก แต่เฉียวเจามองปราดเดียวก็ดูออกว่าทุกชิ้นล้วนคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพียงพอจะเห็นถึงความตั้งใจของผู้จัดเตรียม
นางคิดคำนึงในใจว่า ไม่ว่าอย่างไรเซ่าหมิงยวนก็เอาใจใส่พี่ใหญ่ดี เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าสามารถวางใจได้บ้างในที่สุด
เฉียวโม่นั้นมิได้ป่วยหนักจริงๆ การที่เขานอนไม่ได้สติติดกันหลายวันเกิดจากฤทธิ์ของยาเป็นหลัก ยาขนานนั้นไม่เพียงไม่เป็นผลร้ายต่อร่างกาย ซ้ำทำให้ส่วนที่ถูกพิษแทรกซึมกัดกร่อนได้รับการบำรุงฟื้นฟูอย่างเต็มที่
เฉียวเจาใช้เข็มเงินฝังตามจุดชีพจรของพี่ชายหลายจุดก่อน จากนั้นเขียนใบสั่งยาตำรับหนึ่งให้เซ่าหมิงยวน “เจียดยาตามใบสั่งยามาต้มให้พี่เฉียวดื่มวันละหนึ่งครั้ง ดื่มติดๆ กันสามวันก็จะดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
“ได้” เซ่าหมิงยวนบรรจงพับใบสั่งยาเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม
“เช่นนั้น…ข้าขอตัวกลับก่อน ส่วนเรื่องที่จวนเสนาบดี รอหลังจากพี่เฉียวฟื้นแล้ว แม่ทัพเซ่าบอกกับเขาเถอะ”
บางทีพอพี่ใหญ่รู้ว่านางบีบคั้นเหมาซื่อจนเสียสติอาจจะตำหนินาง
ครั้นคิดไปเช่นนี้ เฉียวเจาก็ยิ้มเยาะตนเอง หากในดวงตามีแววเหงาหงอยวังเวงจุดวาบขึ้น
เซ่าหมิงยวนมองนางแวบหนึ่ง คุณหนูหลีคล้ายมีท่าทางเสียใจอยู่สักหน่อย ทว่าดูเหมือนเขาไม่ได้อยู่ในฐานะจะถามอะไรมาก
“คุณหนูหลี ข้าไปส่งท่านนะ”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ “ เฉียวเจาตามหลังเขาออกไปด้านนอก
ขณะเดินไปถึงหน้าประตู นางอดเหลียวมองเฉียวโม่บนเตียงอีกคราไม่ได้
ถ้าพี่ใหญ่กล้าตำหนินาง นางจะร้องไห้ต่อหน้าเขาเสียเลย!
ตอนทั้งสองเดินเข้าสู่ลานเรือน เฉียวหว่านซึ่งยังเค้นสมองคิดคำโคลงวรรคหลังอยู่เห็นคนทั้งคู่ก็รีบเข้ามาหา พลางเงยหน้าถามเซ่าหมิงยวน “พี่เขย คำโคลงวรรคหลังคืออะไรเจ้าคะ”
ข้าไม่ถามคุณหนูหลีหรอกนะ
สตรีมากเล่ห์ผู้นี้หมายตาพี่ใหญ่กับพี่เขยของข้า!
“คำโคลงวรรคหลัง?” ชายหนุ่มเห็นเฉียวเจาไม่มีทีท่าคัดค้าน เขาพูดอย่างมีเจตนาสัพยอกเฉียวหว่าน “แต่ว่าพี่เขยลืมคำโคลงวรรคแรกไปแล้ว”
“วรรคแรกคือ คืนวันไร้เยื่อใยลมหมายมั่น เจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยรีบบอกเตือนความจำ
“ข้าต่อคำโคลงวรรคหลังว่า กาลเวลาผันผ่านฝนหนาวใจ” เซ่าหมิงยวนพูดจบถึงตระหนักได้ว่าคำโคลงคู่นี้เศร้าสร้อยไปบ้าง เขาอดมองไปทางเฉียวเจาไม่ได้
“แม่ทัพเซ่าต่อโคลงได้ดีเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวเรียบๆ
เฉียวหว่านเชิดคางขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว พี่เขยข้าเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊! พี่หลียังมีคำโคลงวรรคหลังอีกหรือไม่”
“มีสิ” เฉียวเจาปรายตามองเซ่าหมิงยวนพร้อมกล่าวยิ้มๆ “คำโคลงวรรคหลังของข้าคือ ฝุ่นแดงมีรักหมึกดำ* รั้งใจ” ว่าแล้วนางก็เดินอมยิ้มจากไป
ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็กล้าถลึงตาใส่พี่สาวแล้วรึ นางนั้นชมชอบท่าทางที่เด็กน้อยโดนรังแกแล้วยังร้องไห้ไม่ออกด้วย
เฉียวหว่านขบคิดนานครู่ใหญ่จนกระทั่งเซ่าหมิงยวนกลับมา นางก็โมโหจนเต้นผางๆ “พี่เขย วันหน้าท่านอย่าให้คุณหนูหลีคนนั้นมาที่นี่อีกนะเจ้าคะ”
“ด้วยเหตุใดหรือ”
“นาง…นางคิดไม่ซื่อกับพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนขรึมลงน้อยๆ
ดรุณีน้อยยังไม่รู้สึกตัวสักนิด นางยิ่งคิดยิ่งโกรธ กล่าวต่อว่า “ท่านฟังคำโคลงวรรคหลังของนางที่ว่า ฝุ่นแดงมีรักหมึกดำรั้งใจ หมึกดำรั้งใจๆ นาง…นางไม่บริสุทธิ์ใจกับพี่ใหญ่ชัดๆ นี่นา”
เซ่าหมิงยวนมีสีหน้าเรียบเฉย เขายกมือลูบศีรษะนางเบาๆ “เอาล่ะ แม่หนูน้อยอย่าคาดเดาเรื่องของผู้ใหญ่ส่งเดช คุณหนูหลีไม่ใช่คนเช่นนั้น”
“พี่เขย ตอนนี้ท่านพูดจาเข้าข้างนางอยู่นะเจ้าคะ”
ในเพลานี้เองมีองครักษ์มารายงาน “ท่านแม่ทัพ ทางจวนส่งสารมาแจ้งว่าฮูหยินท่านโหวล้มป่วย เชิญท่านกลับไปขอรับ”
“รู้แล้ว”
* หมึกดำ ภาษาจีนคือคำว่าโม่ (墨) ในชื่อของเฉียวโม่