หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 250
บทที่ 250
เซ่าหมิงยวนจัดการธุระส่วนตัวครู่หนึ่งแล้วก็รีบรุดกลับไปยังจวนจิ้งอันโหว
“หมิงยวน เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
“ท่านพ่อ ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“อาการเจ็บแน่นหน้าอกเรื้อรังกำเริบน่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
แม้นจะไม่เป็นอะไรมาก แต่มารดาล้มป่วย คนเป็นบุตรชายก็ต้องกลับมา
“ข้าเข้าไปดูท่านแม่นะขอรับ”
อาการเจ็บแน่นหน้าอกของเสิ่นซื่อฮูหยินของจิ้งอันโหวเป็นโรคเรื้อรัง ว่ากันว่าเป็นผลจากการให้กำเนิดเซ่าหมิงยวนบุตรชายคนที่สอง
คุณชายรองคลอดออกมาก็ร่างกายอ่อนแอ ป่วยออดๆ แอดๆ จนหมอหลวงวินิจฉัยว่ายากมากที่จะเลี้ยงรอด เสิ่นซื่อร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเหตุนี้ จนเป็นต้นตอของอาการเจ็บแน่นหน้าอกเรื้อรังในภายหลัง
เซ่าหมิงยวนย่างเท้าเข้าห้องของเสิ่นซื่อก็เห็นนางเอนกายอยู่บนเตียง เซ่าจิ่งยวนคุณชายใหญ่กับภรรยารวมถึงเซ่าซียวนคุณชายสามล้วนห้อมล้อมอยู่ข้างกาย
“น้องรองมาแล้ว”
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้” เซ่าหมิงยวนกล่าวทักทายเซ่าจิ่งยวนกับภรรยา
ด้านเซ่าซียวนแค่นเสียงฮึแล้วเบือนหน้าไปอีกทางแสร้งมองไม่เห็น
เซ่าหมิงยวนไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาแสดงคารวะต่อมารดาพร้อมกล่าว “ท่านแม่”
เสิ่นซื่อลืมตาขึ้นพูดเยาะๆ “เจ้ายังมีหน้ากลับมาอีกหรือ”
ชายหนุ่มไม่เปล่งเสียงพูด ริมฝีปากบางเม้มแน่น
“นี่ยังไม่ทันย้ายเรือนเลยนะ วันๆ ก็ออกไปมั่วสุมอยู่ข้างนอก ใช่หรือไม่ว่าข้าตายแล้วเจ้ายังไม่รู้เรื่อง”
“ท่านแม่…” เซ่าจิ่งยวนเอ่ยปากขึ้น
“เจ้าไม่ต้องห้าม” เสิ่นซื่อเอ็ดห้ามบุตรชายคนโตแล้วด่าทอเซ่าหมิงยวนสาดเสียเทเสียยกหนึ่ง “คิดจริงๆ หรือว่าได้รับตำแหน่งบรรดาศักดิ์ก็จะปีกกล้าขาแข็งได้แล้ว ต่อให้เจ้าถูกแต่งตั้งเป็นกั๋วกง ข้ายังเป็นมารดาของเจ้าอยู่ดี ข้าป่วย เจ้าก็ต้องกลับมาดูแลปรนนิบัติ”
เซ่าหมิงยวนไม่กล่าววาจาสักคำ เขานิ่งฟังเงียบๆ รอจนมารดาด่าจนพอใจแล้วค่อยพูดเสียงนุ่ม “ท่านแม่ หากเจ็บแน่นหน้าอก อารมณ์จะพลุ่งพล่านเกินไปไม่ได้ ท่านอย่าโมโหเลยขอรับ”
เสิ่นซื่อได้ยินก็โกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง “เจ้าลูกอกตัญญู เจ้ากำลังบอกว่าข้าไม่ได้ป่วยแต่แกล้งป่วยรึ”
เซ่าหมิงยวนจำต้องปิดปากเงียบ
“เอาล่ะ ฮูหยิน เจ้ารองกลับมาแล้ว เจ้าพักผ่อนมากๆ เถอะ” จิ้งอันโหวทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ เขาส่งเสียงตัดบทการตำหนิติเตียนของเสิ่นซื่อ
นางกุมหน้าอกพลางกัดฟันกรอดๆ “ท่านโหว ข้ารู้ว่าข้าด่าว่าเจ้าลูกอกตัญญูคนนี้ ท่านปวดใจแล้วใช่หรือไม่”
จิ้งอันโหวปวดเศียรเวียนเกล้า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ป่วยอยู่นะขอรับ” เซ่าจิ่งยวนเอ่ยเตือนเสียงเบาๆ
เซ่าซียวนมองเซ่าหมิงยวนตาขุ่นขวาง “ยั่วโทสะท่านแม่อยู่ร่ำไป”
เสิ่นซื่อหยิบผ้าเช็ดน้ำตา “พอแล้ว ทุกคนล้วนติงว่าข้าน่ารำคาญ ข้าก็ไม่พูดแล้ว ข้าป่วยอยู่ ไม่มีคนปรนนิบัติไม่ได้ สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อยู่ไม่อาจปรนนิบัติข้าได้ เจ้าใหญ่ต้องดูแลภรรยา เกิดรับเอาโรคไปจะไม่ดี เจ้าสามยังอายุน้อย เจ้ารอง นับแต่วันนี้เจ้ามาเฝ้าไข้เถอะ”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงพูดเสียงเรียบ “ขอรับ”
มาตรว่าเขาไม่เข้าใจว่าอาการเจ็บแน่นหน้าอกจะแพร่ต่อให้กันได้อย่างไร แต่ผู้เป็นบุตรชายเฝ้าไข้มารดาเป็นสิ่งถูกต้องชอบธรรม
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เซ่าหมิงยวนก็รั้งอยู่ที่จวนดูแลมารดาที่ล้มป่วยอยู่
ยามกลางวันยังพอทำเนา แต่พอตกดึกเสิ่นซื่อประเดี๋ยวอยากได้น้ำ ประเดี๋ยวติว่าร้อน ยังต้องการบ้วนน้ำลายเป็นระยะ แต่นางไม่ยอมให้สาวใช้ปรนนิบัติ จำเพาะเจาะจงให้เซ่าหมิงยวนเป็นคนทำทุกๆ เรื่อง
ชายหนุ่มหลับไม่เป็นสุขทุกคืน เพียงไม่กี่วันก็ซูบผอมลงไปเป็นกอง
จิ้งอันโหวเดือดดาลอย่างหนัก “ฮูหยิน เจ้าจะทรมานเจ้ารองให้เป็นอะไรไปอีกคนให้ได้ถึงจะรามือใช่หรือไม่”
เสิ่นซื่อยิ้มเยาะ “ทรมาน? ท่านโหวมีหน้าพูดคำนี้กับคนอื่นหรือไม่ บุตรชายเฝ้าไข้มารดาถูกต้องชอบธรรมดีแล้วมิใช่หรือ จะเรียกว่าทรมานได้เช่นไรกัน”
จิ้งอันโหวถึงกับสะอึกแทบตาย เขาพักหายใจนานครู่ใหญ่ก่อนกล่าวทอดถอนใจ “ฮูหยิน พวกเราอายุปูนนี้แล้ว จะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบไม่ได้หรือ บัดนี้บุตรชายทั้งสามล้วนกตัญญู จำเป็นต้องก่อปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ถึงจะสบายใจกระนั้นหรือ”
“ข้ายอมรับว่าเจ้าใหญ่กับเจ้าสามกตัญญู ทว่าหลายปีมานี้เจ้ารองอยู่ข้างกายข้านานเท่าไรกัน ตอนนี้มิใช่ง่ายๆ กว่าจะได้กลับเมืองหลวง วันๆ กลับออกไปข้างนอกตลอด ราวกับว่าเรือนหลังนี้ไม่มีที่ทางสำหรับเขา เวลานี้ข้าป่วยอยู่ เขาเพิ่งปรนนิบัติข้าได้ไม่กี่วันก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ”
“เจ้าว่ามาสิ เจ้ารองไม่กตัญญูตรงใด เจ้าให้เขาเฝ้าไข้ เขาปริปากบ่นสักคำหรือไม่ ฮูหยิน เจ้ารองไม่ใช่คนหัวอ่อนยอมใครง่ายๆ เขาอยู่ภายนอกก็เป็นบุคคลในตำแหน่งสำคัญ เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่กตัญญูต่อเจ้าแล้วคืออะไร”
เสิ่นซื่อขึ้นเสียง “เหตุใด เขาได้ดิบได้ดีแล้วก็เลยเฝ้าไข้ข้าไม่ได้ ถึงเป็นองค์ชายยังต้องเฝ้าไข้ผู้อาวุโส แค่ท่านโหวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีอะไร!”
นางยิ่งพูดยิ่งฉุนเฉียว “ท่านโหวบอกว่าเขากตัญญู แต่ข้ามองไม่เห็นออกเลย สมัยนี้ไม่เคยได้ยินว่าต้องไว้ทุกข์ให้ภรรยา เขาสวมชุดสีขาวทุกวันเพราะอยากกวนโทโสข้าแต่เพียงประการเดียวน่ะสิ!”
“นี่จะเหมือนกันได้เช่นไร ภรรยาของเจ้ารองจบชีวิตต่างจากคนทั่วไป ในใจเจ้ารองเป็นทุกข์ อยากทำอะไรเพื่อนางเท่าที่จะทำได้ก็สมควรแล้ว”
“เขาทำเพื่อภรรยาที่ตายไปเป็นเรื่องสมควร แต่ทำเพื่อข้าผู้เป็นมารดากลับกล้ำกลืนฝืนทน ท่านโหวสงสารที่เจ้ารองต้องปรนนิบัติข้า ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นหาภรรยาใหม่ให้เจ้ารองโดยไวแล้วให้ภรรยาของเขาปรนนิบัติข้าแทน”
จิ้งอันโหวนิ่งขึงไป “ภรรยาใหม่? เช่นนี้จะเร็วเกินไปสักนิดหรือไม่ อย่างไรก็ต้องรอให้ครบหนึ่งปี”
“ครบหนึ่งปีก็แต่งเข้ามาได้ ภรรยาของเจ้ารองจากไปครึ่งปีแล้ว ตอนนี้เริ่มเลือกก็เหมาะสมดี ไม่ถือว่าเร็วกระมัง”
“เรื่องนี้ต้องถามความเห็นของเจ้ารองจะดีกว่า”
“จะถามเขาด้วยเหตุใด ตอนนั้นเรื่องแต่งงานของเจ้ารอง ท่านเป็นคนกำหนดให้เขาเองมิใช่หรือ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะปล่อยให้บุตรชายบุตรสาวตัดสินใจด้วยตนเองได้เมื่อไรกัน”
“ขณะนี้ไม่เหมือนเดิม เจ้ารองเติบใหญ่แล้ว…”
“ไม่มีอะไรไม่เหมือนเดิม เว้นแต่ว่าเขาไม่นับข้าเป็นมารดาเขา”
จิ้งอันโหวอ้าปากทว่ากล่าววาจาไม่ออก เขาประจักษ์ได้ว่าคุยกับสตรีด้วยเหตุผลยากเย็นยิ่งกว่าทำสงคราม
“ปีนี้หลานสาวในสกุลเดิมข้าก็ย่างสิบหกแล้ว อยู่ในวัยที่เหมาะสมกับเจ้ารองพอดี หลายวันก่อนข้าไม่สบาย รู้สึกคิดถึงนางเลยส่งคนไปรับตัวมาวันนี้ น่าจะใกล้มาถึงแล้ว ท่านโหวเห็นเป็นอย่างไร”
“ฮูหยินพูดถึงอวิ๋นเอ๋อร์หรือ”
“ถูกต้อง แม้ว่านางไม่ได้มาหลายปี ท่านโหวน่าจะจำนางได้กระมัง เป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยรู้ความนางหนึ่ง”
ในใจจิ้งอันโหวลังเลวูบหนึ่ง
เสิ่นซื่อไม่ชอบหน้าบุตรชายคนรองมาโดยตลอด ถ้าเขาตบแต่งหลานสาวในสกุลเดิมของนางเป็นภรรยา บางทีความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกอาจดีขึ้น…
“ท่านโหวตกลงแล้วใช่หรือไม่” พอเห็นสามีลังเลใจ เสิ่นซื่อก็เผยรอยยิ้มแล้ว
“รอคนมาแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
จิ้งอันโหวใคร่ครวญแล้วยังคงรู้สึกว่าไม่ใคร่เหมาะสม เขาจึงแอบเรียกเซ่าหมิงยวนมาเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“หมิงยวน รอเมื่อเฉียวซื่อจากไปครบหนึ่งปี เจ้ามีแผนการอะไรต่อไปหรือไม่”
“แผนการ? ถ้าฮ่องเต้พระราชทานอนุญาต หมิงยวนอยากกลับแดนเหนือขอรับ”
ถึงแม้ตามที่เขาคาดการณ์ไว้ จะมีความเป็นไปได้แสนน้อยนิด แต่เขาก็อยากกลับแดนเหนืออยู่ดี
ที่นั่นไม่เพียงมีราษฎรที่ประสบกับความโหดร้ายทารุณของชาวต๋าจื่อจนเกินพอ ยังมีดินแดนที่ทำให้เขาหายใจได้อย่างอิสรเสรี
แต่ว่าหลังชาวต๋าจื่อบอบช้ำอย่างหนักก็ถอยร่นไปทางทิศเหนือของเขาอาหลันชั่วคราว จึงเป็นไปไม่ค่อยได้ที่ฮ่องเต้จะให้เขากลับไปกุมอำนาจการทหารครองความเป็นใหญ่ที่แดนเหนือ
“พ่อไม่ได้ถามเจ้าเรื่องนี้ ข้าหมายถึงว่าเจ้าพึงใจสตรีเช่นใด”
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว “ข้าไม่คิดจะตบแต่งภรรยาขอรับ”
“พ่อรู้ว่าใจเจ้ายังรู้สึกผิดกับการตายของเฉียวซื่อ ไม่อยากคิดเรื่องตบแต่งภรรยาในตอนนี้ แต่จะอย่างไรเจ้าก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่จะผัดผ่อนต่อไปอีกไม่ได้ หากรู้สึกว่าเร็วเกินไป สบช่องที่อยู่ในเมืองหลวงสองปีนี้ค่อยๆ มองหาไป เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนมองจิ้งอันโหวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ทำให้ท่านพ่อต้องวุ่นวายใจแล้ว แต่ลูกตั้งใจว่าชาตินี้ไม่คิดจะแต่งงานใหม่อีกขอรับ”
จิ้งอันโหวหน้าเปลี่ยนสีด้วยความตกใจยกใหญ่ เขากล่าวโพล่งขึ้น “เช่นนี้จะได้เช่นไรกัน”