หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 251
บทที่ 251
จิ้งอันโหวเริ่มไออย่างห้ามไม่อยู่เพราะอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป
เซ่าหมิงยวนจึงรีบรินน้ำให้บิดา
เขาดื่มน้ำแล้วรู้สึกดีขึ้น ถึงพร่ำเตือนด้วยความปรารถนาดี “แต่งงานมีบุตร สืบทอดวงศ์ตระกูล นี่เป็นเรื่องสำคัญในชีวิต แล้วจะไม่แต่งงานตลอดชีพได้อย่างไรกัน”
สีหน้าของชายหนุ่มสงบนิ่งดังเก่า “ข้าเบื้องบนมีพี่ชาย เบื้องล่างมีน้องชาย เพียงพอจะสืบทอดสกุลเซ่าได้แล้วขอรับ”
“มันจะเหมือนกันได้อย่างไร” จิ้งอันโหวตบโต๊ะดังปังด้วยความโกรธ เขามองสบสายตาแปลกใจของบุตรชายคนรองพลางกล่าวอธิบาย “รอหลังจากพวกเจ้าพี่น้องแยกเรือนกัน ร้อยปีให้หลังใครจะมาเซ่นไหว้เจ้า”
“ข้าไม่ใส่ใจเรื่องพวกนั้นขอรับ”
ชีวิตนี้ของเขามีเรื่องไม่สมปรารถนาถึงเก้าในสิบเรื่อง บัดนี้อยู่ตัวคนเดียวใช่ว่าจะไม่เป็นเรื่องดี
“เจ้าลูกอกตัญญู แค่กๆๆ…” จิ้งอันโหวหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหโทโส
เซ่าหมิงยวนล้วงขวดกระเบื้องใบหนึ่งในอกเสื้อยื่นส่งให้ “ท่านพ่อ ท่านลองกินยาลูกกลอนดูเม็ดหนึ่ง ถ้ารู้สึกว่าสรรพคุณดี ข้าจะคิดหาหนทางไปเอามาเพิ่มอีกขอรับ”
“นี่คืออะไร”
“ยาขับไอเย็นขอรับ” ชายหนุ่มนิ่งคิดแล้วกล่าวเสริมขึ้น “ข้าเคยกินแล้ว ยานี้ไม่มีปัญหาขอรับ”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อถือคุณหนูหลี แต่ของที่เอามาให้บิดาย่อมต้องระวังไว้ก่อนเป็นดี
จิ้งอันโหวรับไว้ ใบหน้าฉายแววอิ่มเอมใจจางๆ “เจ้าตัวเหม็น หรือพ่อยังจะไม่เชื่อใจเจ้า”
เขาหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งกินลงไปทันที ครู่ใหญ่ต่อมาก็จุปากอย่างอัศจรรย์ใจ “ยานี้ได้มาจากที่ใด พอลงสู่ท้องก็อุ่นผ่าวๆ ไปทั้งเนื้อทั้งตัว แสนสบายเหลือเกิน”
“สหายผู้หนึ่งให้มาขอรับ”
“ยานี้คงได้มายากมากกระมัง”
“ท่านพ่อกินได้เต็มที่ สหายคนนั้นยังมีอีกขอรับ”
จิ้งอันโหวเก็บยาขับไอเย็นไว้อย่างดีใจมาก จากนั้นเขาก็ปั้นหน้าบึ้งอีก “เจ้าตัวเหม็น อย่านึกว่าเอาสิ่งนี้มาแสดงความกตัญญูต่อข้าแล้วจะเฉไฉไปได้ ข้าจะบอกให้นะ เจ้าอยากจะตบแต่งภรรยาช้าหน่อยได้ แต่จำเป็นต้องแต่งงาน!”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าสร้างความลำบากใจให้ลูกเลย เรื่องอื่นข้าตอบตกลงท่านได้หมด มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ได้”
“เรื่องอื่นๆ ล้วนสุดแท้แต่ใจเจ้าได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ได้” จิ้งอันโหวไม่ลดราวาศอกเช่นเดียวกัน
เซ่าหมิงยวนรู้สึกปวดศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
ท่านพ่อมีบุตรชายสามคน เขาไม่ใช่บุตรชายคนโตสักหน่อย เหตุใดอีกฝ่ายถึงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อเรื่องที่เขาจะไม่ตบแต่งภรรยาถึงเพียงนี้
เซ่าหมิงยวนกล่าวแบบยอมแลกทุกอย่างแล้ว “ท่านพ่อ ขอบอกตามสัตย์จริง ข้าอยู่ที่แดนเหนือมานานปี มีครั้งหนึ่งเพราะดักซุ่มอยู่กลางพื้นหิมะสองวันสองคืน โดนความเย็นจัดจนตายด้านแล้ว…”
อืม อันว่าการศึกไม่หน่ายเล่ห์*
“ตายด้าน?” จิ้งอันโหวตกตะลึงไป “ตายด้านแล้ว? หมิงยวน ความหมายของเจ้าไม่ใช่ความหมายนั้นกระมัง”
“เป็นความหมายอย่างที่ท่านพ่อคิดขอรับ”
จิ้งอันโหวล้มลงนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ ทำสีหน้ารับไม่ได้ “ตายด้านได้เช่นไรกัน นี่…นี่ยังจะสืบทอดวงศ์ตระกูลได้อย่างไร เป็นความผิดของข้า ครั้งนั้นเจ้าไปแดนเหนือ ข้าสมควรไล่เจ้ากลับมา เป็นความผิดของข้าคนเดียว”
เซ่าหมิงยวนงุนงง ท่านพ่ออายุปูนนี้แล้วถึงกับร่ำไห้?
เขาทั้งประหลาดใจทั้งรู้สึกผิด ทว่าสิ่งที่ตัดสินใจไว้แต่แรกย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา เขาตบแขนของบิดาเบาๆ พร้อมกล่าว “ท่านพ่อ ท่านอย่าเสียใจไปเลย อย่างน้อยยังมีพี่ใหญ่กับน้องสามที่มีหลานให้ท่านอุ้มได้ ส่วนข้าอย่าทำลายชีวิตของบุตรสาวเรือนอื่นเลย ท่านว่าถูกหรือไม่”
จิ้วอันโหวเบือนหน้าหนี เขาไม่อยากพูดอะไรอีก
“เช่นนั้น…ข้าขอตัวไปที่ห้องท่านแม่ก่อน หาไม่แล้วท่านแม่จะเรียกหาได้”
“กลับมานี่” สีหน้าของจิ้งอันโหวฉายแววเคร่งเครียด เขามองสำรวจเซ่าหมิงยวนขึ้นๆ ลงๆ บุตรชายที่โดดเด่นเหนือใครถึงเพียงนี้ถึงกับหมดน้ำยาแล้วหรือ
“หมิงยวน ตอนอยู่แดนเหนือเจ้าเชิญหมอมาตรวจดูหรือยัง”
“ตรวจแล้วขอรับ หมอก็จนปัญญา”
“หมอของแดนเหนือไม่เก่ง ข้าไปเชิญหมอหลวงมาให้เจ้า”
“ท่านพ่อ หากทำเช่นนี้ คนทั้งแผ่นดินจะล่วงรู้ว่าข้ามีโรคลับนะขอรับ”
จิ้งอันโหวนิ่งอึ้งไป เขากุมหน้าผากอย่างทุกข์ใจ “อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำฉันใดเล่า”
เซ่าหมิงยวนไม่เปล่งเสียงตอบ
“จริงสิ วิชาแพทย์ของหมอเทวดาหลี่บรรลุขั้นสุดยอด ไม่แน่ว่าจะรักษาเจ้าให้หายได้”
“หมอเทวดาหลี่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะกลับมาขอรับ”
จิ้งอันโหวหมดหวังโดยสิ้นเชิง
“เช่นนั้นข้าไปที่ห้องท่านแม่แล้วนะขอรับ”
“ประเดี๋ยว” จิ้งอันโหวลุกขึ้นยืน “ข้ามีเรื่องหารือกับท่านแม่เจ้า ข้าไปหานางก่อน”
ยามที่เสิ่นซื่อเห็นสามีเดินเข้ามา นางก็อดถามเขาไม่ได้ “ท่านโหวมาอีกด้วยเหตุใดเจ้าคะ เจ้ารองล่ะ”
“ฮูหยิน เรื่องของอวิ๋นเอ๋อร์ แล้วกันไปเถอะ”
“ท่านโหวหมายความว่าอะไร”
จิ้งอันโหวบอกให้บ่าวรับใช้ออกไปก่อนพูดเสียงเบา “เจ้ารอง…มีปัญหาเรื่องนั้น”
“เรื่องใด”
จิ้งอันโหวกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ก็เรื่องของสามีภรรยานั่นล่ะ ข้าแอบถามแล้วเขาเคยได้รับบาดเจ็บที่แดนเหนือ…”
เสิ่นซื่อฟังเข้าใจในทันที แววยินดีวาบผ่านในดวงตานาง เจ้ารองร่วมหอกับสตรีไม่ได้แล้วหรือนี่ ช่างดีเหลือเกิน
พักก่อนนางอยากให้เจ้ารองรับชิวเกอเอ๋อร์บุตรชายของเจ้าใหญ่เป็นทายาท แต่ท่านโหวกับเจ้ารองล้วนไม่คล้อยตาม นางถึงได้ถอยก้าวหนึ่งเลือกทางที่ดีรองลงมา คิดจะให้หลานสาวในสกุลเดิมแต่งเข้ามา
ไม่ว่าอย่างไร บรรดาศักดิ์กวนจวินโหวจะปล่อยให้ผู้อื่นเอาไปครองสบายๆ ไม่ได้
บัดนี้ดีแล้ว เจ้ารองร่วมหอกับสตรีไม่ได้ วันหน้าช้าเร็วก็ต้องรับบุตรของพี่น้องเป็นทายาท ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อนในเวลานี้แล้ว
“เจ้ารองบอกเรื่องพรรค์นี้กับท่านโหวด้วยหรือ” เสิ่นซื่อซักไซ้อย่างไม่วางใจ
“ข้าเอ่ยถึงเรื่องคู่ชีวิตกับเจ้ารอง เขาไม่อยากทำลายชีวิตของหญิงสาวเรือนอื่นถึงได้พูดกับข้า” จิ้งอันโหวทอดถอนใจ “เป็นข้าที่ผิดต่อเขา…”
เสิ่นซื่อฟังแล้วไม่ชอบใจ “เกี่ยวอะไรกับท่านโหวด้วย คนเราต่างมีชะตากรรมของตน”
นางยังนึกว่าเจ้ารองมีความรักมั่นคงสักปานใดถึงไว้ทุกข์ให้แก่ภรรยาที่จากไป ที่แท้เพื่อปิดบังความลับน่าอายเท่านั้นเอง
“เอาเถอะ อวิ๋นเอ๋อร์มาพำนักอยู่สองสามวัน ข้าก็จะให้นางกลับไป”
ในเมื่อไม่ได้ นางก็ไม่ผลักหลานสาวเข้ากองไฟ ไม่เช่นนั้นวันหน้านางจะอธิบายกับคนสกุลเดิมได้ไม่ถนัดปาก
ทีแรกเสิ่นซื่อจะอาศัยข้ออ้างเฝ้าไข้เพื่อยกเรื่องแต่งงานของเซ่าหมิงยวนขึ้นมาพูด บัดนี้นางรู้ว่าเขาหมดน้ำยาแล้ว เห็นหน้าก็ชวนให้หงุดหงิดใจ ไหนเลยยังอยากให้เขาเฝ้าไข้อีก นางจึงไล่เขาออกไปทันใด
เซ่าหมิงยวนระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งอยู่ลับหลัง
ทว่าไม่ถึงสองวัน ข่าวว่ากวนจวินโหวไม่อาจร่วมหอกับสตรีได้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างเงียบๆ
กวนจวินโหวเป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงส่งทรงอำนาจ บังเอิญว่ายังรูปงามหนุ่มแน่นอีก คนเช่นนี้เดิมก็ตกเป็นเป้าความสนใจของผู้คนได้ง่ายที่สุด ข่าวที่เริ่มเล่าลือกันได้เช่นไรก็สุดรู้นี้ละม้ายติดปีกกระนั้น แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วจนแทบทำให้คนอ้าปากตาค้าง
หลังเฉินกวงรู้ข่าว เขาแทบจะวิ่งร้องไห้ไปที่หอชุนเฟิง
ท่านแม่ทัพ ท่านตั้งใจจะให้ข้าเป็นสารถีไปทั้งชีวิตกระมัง จะหลอกลวงกันเช่นนี้ไม่ได้นะ!
“ท่านแม่ทัพอยู่ข้างในหรือไม่” พอเห็นประตูห้องปิดสนิท เฉินกวงเอ่ยถามทหารยามที่ยืนอยู่ด้านนอก
“อยู่ข้างในขอรับ ท่านหัวหน้าหน่วยกลับมาแล้ว กำลังกล่าวรายงานกับท่านแม่ทัพอยู่”
เฉินกวงได้ยินแล้วก็รออยู่หน้าห้องอย่างสงบเสงี่ยม
เซ่าจือหัวหน้าหน่วยรับคำสั่งของท่านแม่ทัพไปสืบเรื่องสำคัญ เข้าไปรบกวนตอนนี้จะโดนซ้อมเอาได้
เฉินกวงรออยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประตูห้องถึงเปิดออก เซ่าจือที่สีหน้าเหนื่อยล้าจากการเดินทางก้าวออกมา
“ท่านหัวหน้าหน่วย ท่านแม่ทัพไม่เป็นไรกระมังขอรับ”
เซ่าจือยกมือตบไหล่เฉินกวง พูดอย่างปรารถนาดี “ไม่เป็นไร เข้าไปเถอะ”
อื้อ ท่านแม่ทัพอารมณ์ไม่ค่อยดี เฉินกวงมาได้จังหวะ ให้ท่านแม่ทัพซ้อมเขาสักยกให้สบายใจก็ดี
* การศึกไม่หน่ายเล่ห์ หมายถึงในการทำศึกต้องรู้จักใช้กลยุทธ์มาตบตาข้าศึก