หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 261
บทที่ 261
คำถามนี้เซ่าหมิงยวนเคยอยากถามหลายครั้งหลายครามาก
หากว่าใช่ ในเมื่อเป็นบุตรชายเหมือนกัน เหตุใดท่านแม่ปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากพี่ใหญ่และน้องสามราวกับฟ้ากับเหวเช่นนี้
หากว่าไม่ใช่ แล้วเขามาจากที่ใด
พวกผู้อาวุโสต่างบอกว่าท่านแม่คลอดเขาออกมาอย่างยากลำบาก ตอนนั้นต้องตามหมอตำแยมีชื่อมาถึงเจ็ดแปดคน
เขาเคยแอบส่งคนไปถามหมอตำแยที่ทำคลอดให้เขาในครั้งนั้น นอกจากคนหนึ่งที่ล่วงลับไปกับอีกคนที่ไปจากเมืองหลวง คนที่เหลืออยู่ล้วนชูมือสาบานกับฟ้าว่าเห็นเขาออกจากท้องท่านแม่กับตา เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมีการสลับตัวทารก
เมื่อมีคำบอกเล่าจากผู้อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ เขาได้แต่เก็บซ่อนการคาดเดาเหล่านั้นไว้เงียบๆ แต่วันนี้เขายังคงไม่อาจโน้มน้าวใจตนเองได้อยู่ดี
ไฉนมีมารดาที่ใจร้ายเยี่ยงนี้ เขาเป็นคนที่ย่ำแย่เพียงใดกันแน่ถึงทำให้มารดารู้สึกว่าถึงเขาตายไปก็ยังไม่คลายความชิงชัง จะต้องให้อยู่อย่างทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็นจึงจะได้
จิ้งอันโหวได้ฟังคำถามนี้ก็ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
เซ่าหมิงยวนถามซ้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ท่านพ่อ โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าที ข้าเป็นบุตรชายในไส้ของท่านแม่จริงๆ หรือไม่”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอย่างยาวนาน
จักจั่นบนยอดไม้นอกหน้าต่างร้องเสียงดังระงมไม่ขาดสาย ช่วยขับเน้นบรรยากาศรุ่มร้อนแห่งคิมหันต์ฤดู ได้ยินแล้วชวนให้หงุดหงิดงุ่นง่าน แต่สองพ่อลูกในห้องนั้นไม่มีคนใดรู้สึกถึงความร้อนอบอ้าว กลับมีกระไอเย็นเยียบจับกระดูกแผ่ซ่านออกมาระลอกหนึ่ง
ขณะที่เซ่าหมิงยวนนึกว่าบิดาจะไม่ตอบคำถามนี้ จิ้งอันโหวก็เปล่งเสียงออกมาสองคำในที่สุด “ไม่ใช่”
เขาพูดจบแล้วถอนใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่งละม้ายชราลงอีกหลายปีในพริบตาเดียว
ไม่ใช่จริงๆ ด้วย?
ชั่วอึดใจนี้ราวกับทุกอย่างมีคำตอบแล้ว เซ่าหมิงยวนถึงกับรู้สึกว่าภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่กลางอกหายวับไป ไม่กดทับไว้จนทุกๆ อวัยวะภายในตัวเขาเจ็บปวดไปหมด
“เช่นนั้นข้าเป็นบุตรของใครขอรับ หรือว่า…บิดากำเนิดเกล้าของข้าก็เป็นคนอื่น…”
“ไม่ใช่!” จิ้งอันโหวตัดบทเซ่าหมิงยวนทันควัน ลมหายใจของเขาหอบถี่จนทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลง “เจ้าคือบุตรชายของข้าแน่นอน จะเป็นของคนอื่นได้อย่างไร เจ้าคาดเดาส่งเดชเยี่ยงนี้ไม่กลัวสร้างความเสียใจให้ข้าใช่หรือไม่ คำพูดพรรค์นี้วันหน้าข้าไม่อยากได้ยินเจ้าเอ่ยอีกแม้แต่ครึ่งคำ”
“ลูกทราบแล้วขอรับ”
ใครๆ ล้วนกล่าวว่าพ่อพยัคฆ์ไม่มีลูกเป็นสุนัข เขาเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น ถ้าไม่ใช่บุตรชายของท่านพ่อแล้วจะเป็นบุตรของใครได้อีก
“แล้วมารดาแท้ๆ ของข้าเล่า นางเป็นใคร อยู่ที่ใดขอรับ”
“สมัยวัยหนุ่มข้าเคยเลี้ยงดูสตรีไว้นอกเรือนผู้หนึ่ง เจ้าเป็นบุตรของนาง ต่อมามารดาของเจ้าจากไปแล้ว ข้าก็อุ้มเจ้ากลับมา”
“แต่ว่าเวลานั้นท่านพ่อให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งจริงๆ”
“ใช่ ตอนนั้นท่านแม่ของเจ้าเพิ่งคลอดบุตรเช่นกัน น่าเสียดายที่พี่น้องคนนั้นของเจ้าเกิดมาร่างกายอ่อนแอ ลืมตาดูโลกไม่กี่วันก็ด่วนจากไป ยามนั้นเจ้ากำพร้ามารดา ส่วนท่านแม่เจ้าเสียบุตรไป ข้าคิดว่าฐานะบุตรชายของนางบำเรอไม่เป็นผลดีต่อเจ้า เลยอุ้มเจ้ากลับมาเลี้ยงดูแทนที่ทารกคนนั้น เดิมทีคิดว่าทำเช่นนี้ทั้งแก้ปัญหาเรื่องชาติกำเนิดของเจ้า ทั้งทำให้ท่านแม่เจ้าไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจได้ ใครจะคิดว่าท่านแม่เจ้ารู้อยู่แก่ใจมาโดยตลอด…”
ขอบตาของจิ้งอันโหวมีน้ำตารื้นขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่ “เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ที่เรือน ข้าตักเตือนท่านแม่เจ้าแล้วว่าห้ามเล่นงานเจ้าอีก หมิงยวน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าต้องกล้ำกลืนฝืนทนแล้ว ถือเสียว่าสงสารท่านแม่เจ้าที่เจ็บปวดกับการเสียบุตรไปเถอะ หวังว่าเจ้าจะไม่เกลียดชังนาง”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้” เซ่าหมิงยวนพูดพึมพำ เขาเป็นบุตรชายของนางบำเรอหรือนี่ ฉะนั้นถึงโดนท่านแม่เกลียดจนเข้ากระดูกดำ…
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ มีเรื่องบางเรื่องที่มิใช่คำว่า ‘เกลียด’ คำเดียวเป็นเหตุผลพอที่จะอภัยให้ได้
“ท่านพ่อ พักก่อนข้าตามสืบเรื่องเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด เมื่อครู่เพิ่งรู้ผล ว่าจะบอกกับท่านพอดีขอรับ”
“เรื่องใดหรือ”
“ท่านพ่อโปรดรอสักครู่” เซ่าหมิงยวนตะโกนเรียกองครักษ์ผู้หนึ่งเข้ามาสั่งกำชับเบาๆ สองสามคำ เขารับคำสั่งออกไป
ราวครึ่งชั่วยามให้หลัง
จิ้งอันโหวเห็นคนที่องครักษ์พาเข้ามาแล้วตกใจยกหนึ่ง “ผู้ดูแลเสิ่น?”
ผู้ดูแลเสิ่นทำสายตาล่อกแล่ก ก้มหน้าไม่กล้ามองเขา
บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งด้านข้างผู้ดูแลเสิ่นก็ไม่พูดไม่จาดุจเดียวกัน
จิ้งอันโหวฉงนใจมากขึ้น เขาหันไปมองบุตรชาย “หมิงยวน เจ้าพาตัวผู้ดูแลเสิ่นมาด้วยเหตุใดหรือ”
ร่างกายของชายหนุ่มยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง เขาพิงหัวเตียงกล่าวเอื่อยๆ “ผู้ดูแลเสิ่น เล่าเรื่องที่เจ้ารู้ให้ท่านโหวฟังเถอะ”
เมื่อมองสบนัยน์ตาสีดำสนิทเย็นเยียบของแม่ทัพหนุ่ม ผู้ดูแลเสิ่นที่ได้รับบทเรียนมาแล้วคุกเข่าดังตุบ ยกมือตบหน้าตนเองสองทีถึงกล่าวปนสะอื้น “ท่านโหว ข้าน้อยมีความผิด!”
จิ้งอันโหวยังไม่เคยพบเจอคนที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหน้าตนเองยอมรับผิด บันดาลให้เขาประหลาดใจอย่างมากไปชั่วขณะ
ผู้ดูแลเสิ่นวางหน้าผากติดพื้น “ข้าน้อยไม่กล้าสมคบคิดกับศัตรูจริงๆ ฮูหยินเป็นคนสั่งการ…”
“สมคบคิดกับศัตรูอะไร ฮูหยินเป็นคนสั่งการอะไร เจ้าบอกข้ามาให้หมดอย่างชัดเจน” จิ้งอันโหวใจกระตุกวูบหนึ่ง เขาง้างเท้าถีบผู้ดูแลเสิ่นจนหงายหลัง
ผู้ดูแลเสิ่นตะกายตัวลุกขึ้นแล้วเริ่มพรั่งพรูออกมา “ตอนต้นปี ฮูหยินน้อยถูกส่งไปอยู่พร้อมหน้ากับคุณชายรองที่แดนเหนือมิใช่หรือขอรับ ฮูหยินมอบหมายให้ข้าติดตามไป ยังสั่งกำชับข้าลับๆ ว่าให้คิดหาวิธีแพร่งพรายศักดิ์ฐานะและเส้นทางการเดินทางของฮูหยินน้อยให้ชาวฉี…”
“พูดจาเหลวไหล!” จิ้งอันโหวตบโต๊ะกะทันหัน สีหน้าเขาขุ่นมัวสุดจะเปรียบ
ผู้ดูแลเสิ่นสะดุ้งเฮือกด้วยความขวัญเสีย ไม่กล้าเปล่งเสียงพูดอีก
เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบ “ไยท่านพ่อไม่ฟังเขาพูดให้จบขอรับ”
“ได้ เจ้าบอกข้ามาสิ เจ้าเป็นข้าทาสในเรือนฮูหยิน ต่อให้อยากส่งข่าวถึงชาวฉีจริงๆ แต่เจ้าไม่เคยไปแดนเหนือแล้วทำได้อย่างไร”
ผู้ดูแลเสิ่นก้มหน้าคางจรดอกพลางพูดขึ้น “หลายปีก่อนฮูหยินบอกกับข้าว่าอยากรู้สถานการณ์ทางแดนเหนือ ให้ข้าจัดส่งคนเข้าไปในค่ายทหาร ข้าก็เลยให้ญาติผู้น้องนามเซี่ยอู่…”
บุรุษข้างตัวเขาก้มหน้าลงทันที
จิ้งอันโหวกวาดตามองเซี่ยอู่แวบหนึ่งด้วยแววตาคมปลาบ
ผู้ดูแลเสิ่นกล่าวต่อ “สามปีก่อน เซี่ยอู่ได้รับบาดเจ็บกลับมา เขาอยู่แดนเหนือหลายปีจึงรู้จักเส้นทางดี…”
เมื่อเขาเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของจิ้งอันโหวบูดบึ้งถึงขีดสุด เขามองบุตรชายอย่างพินิจ
“หมิงยวน เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่หลวง…”
เซ่าหมิงยวนตัดบทเขา “ดังนั้นข้าจึงรวบรวมหลักฐานไว้จำนวนมาก”
จากนั้นเขาก็พูดเสียงดังขึ้น “เซ่าจือ นำหลักฐานพวกนั้นมอบให้ท่านโหวผ่านตา”
เซ่าจือถือประคองกล่องใบหนึ่งด้วยสองมือเข้ามา เขาเปิดแล้วหยิบของออกมาให้จิ้งอันโหวดูทีละชิ้น “นี่เป็นแผนที่ที่เซี่ยอู่วาดไว้ตอนอยู่แดนเหนือ ส่วนนี่คือสารที่เขาส่งข่าวคราวกับผู้ดูแลเสิ่น ชิ้นนี้เป็นโฉนดที่นาผืนหนึ่งในเจียงหนานที่เขาได้รับตอนกลับถึงเมืองหลวงหลังตามไปคุ้มกันฮูหยินท่านแม่ทัพ ที่นาผืนนั้นขายเป็นทอดๆ ผ่านหลายมือ แต่จริงๆ แล้วเป็นสินเจ้าสาวของฮูหยิน…”
เซ่าจือวางหลักฐานลงตรงหน้าจิ้งอันโหวทีละอย่างๆ ท่านโหวหยิบดูทุกชิ้นพลางรับฟังอย่างไม่ให้ตกหล่นสักคำ ท้ายที่สุดสีหน้าของเขาถมึงทึงไปหมด
เบื้องหน้ามีพร้อมทั้งพยานและหลักฐาน ไม่เหลือช่องให้เขาเคลือบแคลงสักน้อยนิด
จิ้งอันโหวอดมองไปทางเซ่าหมิงยวนไม่ได้
ชีวิตน้อยๆ ที่เปราะบางในครั้งนั้นเจริญวัยเป็นบุรุษที่สุขุม เยือกเย็น และอดกลั้นเฉกนี้ หลังจากควบคุมทุกอย่างไว้ในกำมือก็จู่โจมโดยปราศจากความลังเลใดๆ ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามพลิกสถานการณ์ได้เลย
บุตรชายที่โดดเด่นเช่นนี้กลับขัดแย้งกับภรรยาของเขาจนกลายเป็นอย่างนี้…
เลือดลมในกายของจิ้งอันโหวปั่นป่วนระลอกหนึ่ง เขายกมือกุมอกกล่าววาจาไม่ออกแม้แต่คำเดียว