หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 262
บทที่ 262
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนสงบนิ่งดุจเก่า “เซ่าจือ พาพวกเขาออกไปเถอะ”
รอจนเซ่าจือพาคนไปแล้ว เขาถึงกล่าวเสียงเรียบ “เซี่ยอู่ผู้นี้ก็มีเลศนัยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสมากกว่านี้ ข้าจึงมิได้แพร่งพรายอะไรเรื่อยมา เซี่ยอู่กับผู้ดูแลเสิ่นนึกแค่ว่าข้าตามสืบเรื่องของท่านแม่อยู่ขอรับ”
จิ้งอันโหวพยักหน้าเป็นเชิงว่ารู้แล้วอย่างเลื่อนลอย
เซ่าหมิงยวนมองบิดาที่ผมจอนสองข้างมีผมหงอกแซมประปรายแล้วลอบทอดถอนใจ “จะจัดการเรื่องของท่านแม่อย่างไร ข้ามอบให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสินใจ แต่มีข้อหนึ่งที่ต้องพูดกับท่านอย่างแจ่มแจ้ง นับแต่นี้ต่อไป ขอให้ท่านแม่อย่าใช้ข้ออ้างเรื่องความกตัญญูมาก้าวก่ายชีวิตข้าอีกขอรับ”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วยิ้มเยาะตนเอง สะกดอาการเลือดลมพลุ่งพล่านไว้ “ความจริงชีวิตข้าโดนท่านแม่ทำลายไปนานแล้ว”
ตั้งแต่เขายิงธนูดอกนั้นใส่ภรรยาเอกที่ร่วมผูกผมกันเป็นต้นมา ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาก็ภินท์พังอย่างสิ้นเชิง เขาต้องแบกความรู้สึกผิดต่อมโนธรรมไว้ในใจไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขไปตลอดกาล
“หมิงยวน เจ้าพักรักษาตัวดีๆ เถอะ เรื่องของท่านแม่เจ้า ข้าจะจัดการเอง”
จิ้งอันโหวคล้ายชราภาพลงมาก แม้แต่ฝีเท้ายังเริ่มโผเผไปมา เขาแทบจะกลับถึงจวนจิ้งอันโหวอย่างมึนๆ งงๆ
“ฮูหยินล่ะ”
พอเห็นสีหน้าท่านโหวไม่สู้ดี สาวใช้ก็ตอบอย่างประหม่า “ฮูหยินไปหย่อนใจในสวนแล้วเจ้าค่ะ”
“เชิญฮูหยินกลับมา ข้ารอนางอยู่ที่ห้องหนังสือ”
ผ่านไปนานสองนาน เสิ่นซื่อถึงก้าวเข้ามาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ พอเห็นจิ้งอันโหวนั่งอยู่ข้างหน้าต่างก็แค่นหัวร่อ “เหตุใดรึ เจ้ารองยังมีชีวิตอยู่หรือ”
จิ้งอันโหวหันขวับไปมองนาง
แววตาที่เขามองมาปึ่งชาเหลือเกิน ปึ่งชาจนทำให้เสิ่นซื่อสะดุ้งโหยง นางถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นพูดด้วยความอับอายจนพาลโกรธ “นี่ท่านโหวจะทำอะไร”
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” จิ้งอันโหวอ้าปากพูดเสียงขรึม
สาวใช้ทั้งหลายมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้วอดมองไปทางเสิ่นซื่อไม่ได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา บ่าวไพร่ในจวนโหวล้วนแจ่มแจ้งว่าท่านโหวเป็นคนอารมณ์เย็น ไม่เคยก้าวก่ายการตัดสินใจของฮูหยิน โดยเฉพาะเรื่องภายในเรือน เชื่อฟังฮูหยินไม่ผิดอย่างแน่นอน
“ไสหัวไป!” จิ้งอันโหวแผดเสียงตวาดลั่น
ยามคนที่ไม่เคยบันดาลโทสะระเบิดอารมณ์ออกมา น่ากลัวพอจะทำให้คนตกใจแทบตายได้ พวกสาวใช้ไม่มีแก่ใจรอเสิ่นซื่อพยักหน้าอีก ก้มหน้าลุกลนออกจากห้องไป
“ท่านโหวปวดใจแล้วหรือ” เสิ่นซื่อโดนหักหน้าต่อหน้าบ่าวไพร่ พาให้น้ำเสียงมึนตึงขึ้น “เช่นนั้นท่านโหวส่งข้ากลับสกุลเดิมตัดขาดกันไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ให้ผู้คนได้เห็นกันว่าท่านขับไล่ภรรยาเอกซึ่งให้กำเนิดเลี้ยงดูบุตรชายสามคนให้ท่านกลับสกุลเดิมเพราะบุตรของนางบำเรอคนหนึ่ง”
จิ้งอันโหวหลับตาลง ดวงตาที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งจ้องหน้าเสิ่นซื่อ “ข้าจะไม่หย่าขาดจากเจ้า ข้าจะสั่งคนไปจัดเรือนตรงมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือหลังนั้นเป็นหอพระ หลังจากนั้นเจ้าก็ปฏิบัติธรรมอยู่ในนั้น ส่วนการงานในจวนมอบหมายให้สะใภ้ใหญ่ดูแล”
แม้ว่าเฉียวซื่อภรรยาของเจ้ารองยังคงตกอยู่ในมือของชาวต๋าจื่อทั้งที่ไม่ได้ไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แต่เรื่องจริงที่เสิ่นซื่อให้คนส่งข่าวถึงพวกนั้นเป็นความผิดที่ลบล้างไม่ได้ ถ้าพูดให้เป็นเรื่องเล็กคือสตรีเบาปัญญา ถ้าพูดให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือสมคบข้าศึก
กระทำความผิดสถานนี้ เขาจะกล้าส่งเสิ่นซื่อกลับสกุลเดิมหย่าขาดจากกันได้เช่นไร!
“ท่านอาศัยอะไร” คำกล่าวของจิ้งอันโหวสร้างความประหลาดใจให้เสิ่นซื่ออย่างมาก นางพูดเสียงชิงชัง “ภรรยาเอกร่วมผูกผมที่อยู่ด้วยกันมาถึงยี่สิบกว่าปี แต่เพราะบุตรนางบำเรอผู้นั้น ท่านโหวถึงกับจะกักบริเวณข้า ท่านโยนมโนธรรมในใจให้สุนัขกินไปแล้วใช่หรือไม่”
จิ้งอันโหวอ่อนระโหยโรยแรงแล้ว “ด้วยมโนธรรมในใจข้า เพียงรับรองได้ว่าจะไม่เปิดโปงเรื่องที่ฮูหยินสมคบกับชาวต๋าจื่อออกมา”
เสิ่นซื่อตกใจยกใหญ่ “ท่านโหวหมายความว่าอะไร สมคบชาวต๋าจื่อคืออะไร เจ้าเดรัจฉานน้อยคนนั้นพูดอะไรกับท่าน”
จิ้งอันโหวโคลงศีรษะ ยื่นหลักฐานทั้งกล่องส่งให้เสิ่นซื่อดู
เมื่อนางดูแล้วก็ทรุดฮวบลงบนเก้าอี้ทันที
เจ้าเดรัจฉานน้อยใจอำมหิตยิ่งนัก นางส่งสารกล่องหนึ่งไปให้เขา เขาก็ส่งของกล่องนี้คืนกลับให้นาง!
ไฉนตอนนั้นนางไม่บีบคอเขาให้ตายไปเลย!
เสิ่นซื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชัง
“ฮูหยินจัดเตรียมข้าวของเถอะ” อาการตอบสนองของเสิ่นซื่อทำให้ความหวังรำไรสุดท้ายของจิ้งอันโหวดับมอดลง เขาลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะออกไปด้วยความรู้สึกทดท้อใจ
ความผูกพันฉันสามีภรรยานานยี่สิบกว่าปี เขาในขณะนี้มิทรมานใจหรือไร ทว่าถ้าเรื่องอย่างนี้ไม่มีคำอธิบายให้หมิงยวนสักอย่าง วันหน้าไหนเลยเขายังจะกล้าเผชิญหน้ากับบุตรชายคนรองได้
ในเวลานี้เสิ่นซื่อถึงแตกตื่นแล้วจริงๆ นางคว้าแขนเสื้อของจิ้งอันโหวไว้หมับ “ท่านโหว ท่านจะให้ข้าหันหน้าเข้าทางธรรมนับแต่นี้เป็นต้นไปจริงๆ หรือ”
จิ้งอันโหวถอนใจยาวเหยียด “ทำความผิดย่อมต้องรับผลที่ตามมา”
“ทำความผิด? ถ้าในครั้งนั้นไม่ใช่ท่านโหวพาบุตรของนางบำเรอมา เหตุใดวันนี้ข้าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้”
“ทอดสายตามองไปทั่วเมืองหลวง ไม่สิ ทอดสายตามองไปทั่วแผ่นดินต้าเหลียง คนที่มีนางบำเรอมีมากมายกลาดเกลื่อนเพียงใด กลับหาได้มีสักคนกระทำถึงขั้นนี้เยี่ยงฮูหยิน เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว วันนี้มอบหมายงานต่างๆ ของเรือนในให้สะใภ้ใหญ่ดูแลต่อเถอะ”
เสิ่นซื่อใจดิ่งวูบลงไม่หยุด ความโอบอ้อมอารีมานานปีของบุรุษตรงหน้าทำให้นางลืมเลือนว่าถึงที่สุดแล้วครอบครัวนี้ยังคงถือสามีเป็นดั่งท้องฟ้า ความหวาดกลัวเกาะกุมกลางใจเสิ่นซื่อ นางกล่าวอย่างลนลาน “ท่านโหว สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อยู่ จู่ๆ มอบจวนโหวใหญ่โตหลังนี้ไว้ในมือนาง นางจะดูแลไหวได้อย่างไร”
จิ้งอันโหวไม่โอนอ่อนหวั่นไหว “ข้าจำได้ว่าตอนฮูหยินตั้งครรภ์เจ้าใหญ่ก็ดูแลเรือนแล้ว ฮูหยินทำหน้าที่มานานหลายปี บัดนี้สมควรพักผ่อนได้แล้ว”
“ไม่นะๆ ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้…” เสิ่นซื่อสั่นศีรษะอย่างไม่ยอมรับความจริง
จิ้งอันโหวมองดูสตรีที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันมานานนิ่งๆ ในอกเจ็บแปลบปลาบเป็นระลอก “หรือกระทั่งผ้าผืนสุดท้ายปกปิดความอับอายให้ฮูหยินก็จะดึงออก ให้พวกเจ้าใหญ่เจ้าสามต่างล่วงรู้ความจริงไปด้วย”
เสิ่นซื่อได้ยินวาจานี้ก็หมดหวังโดยสิ้นเชิง
เซ่าจิ่งยวนได้ยินว่ามารดาต้องปฏิบัติธรรมอยู่ในหอพระตลอดไปนับจากนี้ก็จะไปพูดหว่านล้อมบิดา
ด้านหวังซื่อฮูหยินของซื่อจื่อได้รับอำนาจปกครองเรือนกะทันหัน ราวกับลาภลอยหล่นจากฟ้า แม้แต่อาการแพ้ท้องก็ลดน้อยลงมากทันใด นางเห็นดังนั้นก็รีบห้ามไว้ “ท่านพี่เป็นบุตรชายนะเจ้าคะ อย่ายื่นมือยุ่งเรื่องระหว่างบิดามารดาจะดีกว่า”
“แต่ท่านแม่ตัดสินใจแน่วแน่จะปฏิบัติธรรม ต้องเป็นเพราะโมโหที่ท่านพ่อปกป้องเซ่าหมิงยวนแน่ๆ ขอแค่ท่านพ่อดุสั่งสอนเขาเป็นการแสดงท่าทีสักหน่อย ค่อยพูดจาดีๆ กับท่านแม่สองสามคำ ท่านแม่ต้องเปลี่ยนใจแน่นอน”
มารดายังอายุไม่ถึงห้าสิบ ทั้งไม่ใช่แม่ม่าย แล้วจะหันหน้าเข้าทางธรรมได้อย่างไร เช่นนี้น่าหดหู่วังเวงใจเกินไป
“ข้าเห็นว่าคราวนี้ท่านโหวคงมีน้ำโหจริงๆ ถ้าท่านพี่ไปพูดกล่อมในเวลานี้ ไม่ต่างอันใดกับราดน้ำมันบนกองไฟ ดีไม่ดียังทำให้ท่านโหวสงสารและรู้สึกผิดต่อน้องรองมากกว่าเดิมนะเจ้าคะ” หวังซื่อกล่าว
อำนาจปกครองเรือนตกอยู่ในมือ นางต้องจับไว้ให้มั่นอย่างแน่นอน
นางให้กำเนิดบุตรชายสองคนแล้ว ในท้องยังมีอีกคน หากเป็นเรือนอื่นคงเริ่มดูแลงานต่างๆ ให้นายหญิงอาวุโสได้อยู่อย่างสุขสบาย ทว่าแม่สามีของนางผู้นี้กุมอำนาจในเรือนไว้หมด ปราศจากทีท่าว่าจะยอมปล่อยมือแม้แต่น้อย
นางไม่อยากอดทนต่อไปอีกแปดปีสิบปีจนตนเองกลายเป็นยายเฒ่าหรอกนะ
เซ่าจิ่งยวนไม่มีความคิดเป็นของตนเอง พอได้ยินภรรยาพูดเช่นนี้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปหาจิ้งอันโหวทันที
ภายในจวนกวนจวินโหว เซ่าหมิงยวนได้ยินเรื่องของจวนจิ้งอันโหวแล้วในใจเฉยเมยชืดชา เขาเอนหลังพิงเสาหัวเตียงเปิดกล่องไม้แดงออกช้าๆ
ชายหนุ่มเห็นสารในกล่องแล้วรู้สึกบาดตาบาดใจ เขาหยิบขึ้นดูทีละฉบับๆ จนกระทั่งถึงสารฉบับหนึ่งที่เนื้อกระดาษแตกต่างจากฉบับอื่นๆ โดยสิ้นเชิง มือเขาสั่นกระตุกอย่างสุดระงับ
ซองสารสีพื้นละมุนละไมคู่กับตัวอักษรงามสละสลวย
นี่เป็นสารที่เฉียวเจาเขียนถึงเขา!