หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 264
บทที่ 264
แม่นางเฉียวยื่นมือไปที่สาบเสื้อของเซ่าหมิงยวนพลางเอ่ย “นั่นก็ไม่แน่เสมอไปเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางชอบกลอยู่บ้างทำให้ชายหนุ่มเผลอไผลไปชั่วขณะ จวบจนปลายนิ้วนุ่มนิ่มเฉพาะตัวของเด็กสาวแตะลงบนสาบเสื้อ เขาถึงได้สติดุจเพิ่งตื่นจากฝัน
“ข้าถอดเอง เอ่อ…ไม่สิ ให้เฉินกวงดีกว่า” เซ่าหมิงยวนประจักษ์ได้ว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันสองต่อสองในห้อง เขารีบเดินไปที่หน้าห้องยื่นมือไปเปิดประตูออก เฉินกวงก็เซถลาเข้ามา
หัวคิ้วของชายหนุ่มกระตุกริก เขาข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากถีบเจ้าคนบัดซบที่แอบฟังอยู่คนนี้กลับออกไป แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ถอดเสื้อให้ข้า”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา เฉียวเจาดึงเข็มเงินออก หยิบพู่กันเขียนใบสั่งยาเทียบหนึ่งมอบให้องครักษ์ซึ่งอยู่ด้านข้าง “ระยะนี้อารมณ์ของแม่ทัพเซ่าแปรปรวนเกินไป ไม่เป็นผลดีต่อการรักษาอาการป่วย ข้าเขียนตำรับยากล่อมอารมณ์ให้ แม่ทัพเซ่าอย่าลืมไปเจียดยาตามใบสั่งยานะเจ้าคะ”
นางกล่าวย้ำสำทับด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน พาให้เซ่าหมิงยวนใจลอยไปชั่วขณะ ราวกับว่าสตรีตรงหน้าไม่ใช่แม่น้อยนางที่ยังไม่ปักปิ่น แต่เป็นหญิงสาวที่ชาญฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
“แม่ทัพเซ่าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนดึงความคิดคืนมาแล้วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
เฉียวเจาลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
“ได้ วันนี้รบกวนคุณหนูหลีแล้ว”
เขาตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่ถูกนางห้ามไว้ “แม่ทัพเซ่าไม่ต้องมากพิธี สำหรับผู้เป็นหมอ ท่านพักผ่อนให้มากๆ ได้ล้วนดีกว่าอะไรทั้งสิ้น”
เซ่าหมิงยวนมองดูท่าทางขึงขังจริงจังของเด็กสาวแล้วนึกขันอยู่บ้างอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เฉียวเจาเดินไปถึงหน้าประตูแล้วเหลียวมามอง “แม่ทัพเซ่า พบกับวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
เขาอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นกล่าวขึ้น “พบกันวันพรุ่งนี้”
จนกระทั่งเฉียวเจาไปแล้ว เขายังครุ่นคิดอยู่ ท่าทีที่คุณหนูหลีมีต่อข้าคลับคล้ายจะไม่ใคร่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว
เรื่องที่เซ่าหมิงยวนกระอักเลือดจนหมดสติมิได้แพร่ออกไป แต่สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือของเจียงหย่วนเฉาคือรายงานข่าวว่าเฉียวเจาเข้าๆ ออกๆ จวนกวนจวินโหวสองครั้งภายในหนึ่งวัน
เจียงหย่วนเฉาเอานิ้วมือเคาะโต๊ะทีแล้วทีเล่า
ตอนอยู่ทิศใต้ คุณหนูหลีรู้จักกับฉือชั่นคุณชายจากวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรง หยางโฮ่วเฉิงซื่อจื่อของจวนหลิวซิ่งโหว จูเยี่ยนซื่อจื่อของจวนไท่หนิงโหว พอกลับถึงเมืองหลวงก็รู้จักกับเซ่าหมิงยวนกวนจวินโหวและเฉียวโม่คุณชายของสกุลเฉียวอีก
แม่นางน้อยผู้นี้มีอะไรพิเศษกันแน่ถึงทำให้คนเหล่านี้หันมาให้ความสนใจได้…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงหย่วนเฉากลั้นยิ้มไม่อยู่ คุณหนูหลีรู้จักเขาเช่นกัน เขาเองก็แบ่งความสนใจส่วนหนึ่งไปที่ตัวนางอย่างปราศจากเหตุผลมิใช่หรือ
บางทีมีบางคนที่เกิดมาก็โดดเด่นกว่าคนอื่น ดึงดูดสายตาของผู้คนดุจดวงตะวันเจิดจ้า
เป็นต้นว่า…
เงาร่างอรชรสายหนึ่งผุดขึ้นในห้วงความคิดของเขาอย่างเชื่องช้า
ตั้งแต่หมั้นหมายกับน้องสาวบุญธรรม น้อยครั้งมากที่เขาจะคิดถึงคนผู้นั้น ไม่ใช่ลืมเลือน แต่ราวกับว่ากระทั่งสิทธิ์ที่จะคะนึงหาก็สูญสิ้นไปแล้ว
ยามนี้เองเสียงเคาะประตูดังขึ้น “ใต้เท้า…”
“เข้ามา” เจียงหย่วนเฉาหยุดความคิดในหัว ใบหน้าไร้รอยกระเพื่อมไหวของอารมณ์
ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งก้าวเข้ามา “ใต้เท้า จวนเสนาบดีกรมอาญามีความเคลื่อนไหวขอรับ โค่วป๋อไห่บุตรชายคนโตของเสนาบดีโค่วไปที่จวนกวนจวินโหวด้วยตนเอง”
“โค่วป๋อไห่ไปที่จวนกวนจวินโหวหรือ” ดวงตาของเจียงหย่วนเฉาเปล่งประกายวูบหนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เกี่ยวกับที่คุณชายเฉียวถูกเหมาซื่อภรรยาของโค่วป๋อไห่ลอบทำร้ายสินะ เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว จับตาดูต่อไป มีสถานการณ์ใดให้รีบมารายงานข้า”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเดินไปถึงหน้าประตู เจียงหย่วนเฉาอ้าปากบอก “ให้เจียงเฮ่อมาพบข้า”
ไม่นานนักเจียงเฮ่อวิ่งเหยาะๆ เข้ามา “ใต้เท้าเรียกหาข้าหรือขอรับ”
เจียงหย่วนเฉานิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ทางคุณหนูหลีนั่น เจ้าไปจับตาดูต่อเถอะ”
“เอ๊ะ ใต้เท้าบอกว่าวันหน้าไม่ต้องจับตาดูคุณหนูหลีแล้วไม่ใช่หรือขอรับ”
“พูดมาก!” เจียงหย่วนเฉาวางหน้าขรึม
เขาเปลี่ยนใจไม่ได้ใช่หรือไม่
ใช่ เขาก็แค่เปลี่ยนใจแล้ว
ตอนแรกเกิดจากความสนใจส่วนตัวถึงคอยสังเกตสังกาแม่นางน้อยผู้นั้นมากหน่อย แต่ตอนนี้เด็กสาวคนนี้โยงใยกับคนต่างๆ ละม้ายเป็นตาข่ายรางๆ แล้วในตาข่ายนี้มีบุคคลสำคัญหลายคน
เขามีลางสังหรณ์ว่าคุณหนูหลีจะต้องมิใช่ธรรมดาสามัญอย่างที่เห็นภายนอกเป็นแน่
ในเมื่อเกี่ยวข้องกับงานราชการ เขาย่อมเปลี่ยนใจได้แน่นอน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เจียงหย่วนเฉาพลันอยากรู้เป็นอันมากว่าพอแม่นางน้อยพบว่าถูกองครักษ์จินหลินจับตาดูอีกแล้วจะมีอาการตอบสนองเช่นไร บางทีอาจจะชี้หน้าด่าทอเขาเสียงดังกระมัง
“ยังไม่รีบไปอีก”
“ข้าไปประเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” เจียงเฮ่อลอบเบ้ปาก
ใครๆ ล้วนพูดว่ามีเรื่องมงคล จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน ไฉนตั้งแต่ใต้เท้าของเขาหมั้นหมาย กลับอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมากยิ่งขึ้นทุกที
แต่ก็จริงอยู่ นิสัยอย่างคุณหนูเจียงมิใช่บุรุษทั่วไปจะทานทนไหวจริงๆ ใต้เท้าของข้าเป็นเช่นนี้นับว่าดีแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาคงหนีเตลิดเปิดเปิงไปเลย
“หากโดนคุณหนูหลีจับได้อีก…”
เจียงเฮ่อยืดอกขึ้น “ใต้เท้าวางใจได้ หมู่นี้ข้าพยายามพัฒนาฝีมือพรางตัวแล้ว ถ้าโดนคุณหนูหลีจับได้อีก ท่านลงโทษข้าไปขัดถังส้วมได้เลยเต็มที่ขอรับ”
“ฮ่าๆ ออกไปเถอะ” เจียงหย่วนเฉาหัวเราะ เขาอารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
เจ้าโง่ผู้นี้โดนคุณหนูหลีจับได้เป็นเรื่องแน่นอนมิใช่หรือ ดูทีว่าหลังจากนี้มีคนทำหน้าที่ขัดถังส้วมแล้ว
เซ่าหมิงยวนกินยาตามคำกำชับของเฉียวเจาอย่างเชื่อฟัง ตอนเขาตื่นนอนก็มีองครักษ์มารายงาน
“ท่านแม่ทัพ นายท่านใหญ่ของจวนเสนาบดีกรมอาญามาเยือนขอรับ”
“คนอยู่ที่ใด”
“ดื่มชาอยู่ที่โถงประตูขอรับ”
“มาเมื่อไร”
“เมื่อสองเค่อที่แล้ว พวกข้าน้อยเห็นว่าท่านพักผ่อนอยู่เลยไม่ได้รบกวนขอรับ”
แม้ว่านายท่านใหญ่ผู้นั้นจะนับเป็นลุงของท่านแม่ทัพ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าร่างกายของท่าน
ถึงอย่างไรรอครู่เดียวก็ไม่มีอะไรเสียหาย หากท่านแม่ทัพจะลงทัณฑ์ พวกเขาก็ยินยอม
“เชิญนายท่านใหญ่สกุลโค่วไปที่โถงรับรอง”
เซ่าหมิงยวนสวมเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จแล้วสำรวจเนื้อตัวให้เรียบร้อยจนดูไม่ออกว่าป่วยอยู่สักนิด เขาถึงสาวเท้าเดินไปที่นั่น
ด้านโค่วป๋อไห่กำลังรอคอยจนหงุดหงิดงุ่นง่าน นี่กวนจวินโหวหมายความว่าอะไร ดีชั่วเขาก็เป็นผู้อาวุโส ทิ้งให้เขาจับเจ่าเฝ้ารอเช่นนี้ได้หรือ
พักนี้ภายในเรือนเกิดเรื่องน่าปวดเศียรเวียนเกล้า การสืบหาต้นตอยาพิษเป็นไปอย่างเชื่องช้าไม่คืบหน้าเสียที ขณะที่ผ้าไหมสีขาวที่ ‘ผีสาว’ ตนนั้นทิ้งเอาไว้ในคืนฝนตกฟ้าคะนองกลายเป็นปมคาใจทุกคนในครอบครัว
ก่อนจะมาที่นี่ บิดากำชับไว้ว่าถ้ากวนจวินโหวยังนอบน้อมมีอัธยาศัยดุจเก่า เช่นนั้นไม่ต้องเอ่ยเรื่องเหมาซื่อวางยาพิษต่อหน้าเขา แอบให้เฉียวโม่ดูว่าลายมือบนผ้าไหมสีขาวเป็นของใครเท่านั้นพอ
ถ้าหากกวนจวินโหวแสดงท่าทีเย็นชา เช่นนั้นยืนยันได้ว่ากวนจวินโหวรู้ดีแก่ใจเรื่องที่เฉียวโม่ประสบเคราะห์ร้ายในจวนเสนาบดี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็บอกเรื่องของเหมาซื่อให้หมดเปลือก เขาจะได้ไม่เข้าใจผิดมากขึ้น
บัดนี้ดูไปแล้วกวนจวินโหวรู้อะไรมาแล้วจริงๆ ตอนนั้นถึงยืนกรานจะรับตัวเฉียวโม่ไป
ด้านในโถงไม่มีสาวใช้ กระทั่งน้ำชายังเป็นองครักษ์ที่ยกมาให้ องครักษ์ร่างสูงใหญ่บึกบึนหลายคนยืนอยู่ในโถงทำให้โค่วป๋อไห่ยืนนั่งไม่เป็นสุขขึ้นเรื่อยๆ
กวนจวินโหวคงไม่ลงไม้ลงมือกับข้าเพราะเฉียวโม่กระมัง ข้ามีศักดิ์เป็นถึงลุงนะ!
แต่พูดกลับอีกที ได้ยินว่ากวนจวินโหวอยู่แดนเหนือสังหารคนตาไม่กะพริบ ใครจะรู้ว่าคนเช่นนี้จะแสดงนิสัยเหี้ยมเกรียมอำมหิตออกมาหรือไม่
โค่วป๋อไห่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมา พวกองครักษ์เหยียดแผ่นหลังตรงค้อมศีรษะลงพูดประสานเสียงกันทันที “ท่านแม่ทัพ!”
เซ่าหมิงยวนในเสื้อคลุมสีขาวย่างเท้าเข้ามา เสียงพูดของเขาราบเรียบ “ทำให้ท่านลุงต้องรอนาน เมื่อครู่ข้ามีงานบางอย่างไม่อาจปลีกตัวได้ขอรับ”
“ไม่เป็นไรๆ” โค่วป๋อไห่ลุกขึ้นยืนอย่างห้ามไม่อยู่
ชายหนุ่มเดินไปหาเขาแล้วพยักหน้าอย่างใจเย็น “ท่านลุงเชิญนั่ง ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านมาด้วยเรื่องใดหรือขอรับ”