หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 265
บทที่ 265
โค่วป๋อไห่ลอบผ่อนลมหายใจเฮือก แต่ในใจยังหวาดหวั่นวิตกอยู่ตลอด “ข้ามาในวันนี้เพราะมีบางเรื่องอยากบอกกับท่านโหวและเฉียวโม่หลานชายข้า”
เซ่าหมิงยวนหันหน้าไปสั่งองครักษ์ “ไปเชิญคุณชายเฉียวมาที่นี่”
“ขอรับ” องครักษ์รับคำสั่งและออกไปทันที
เซ่าหมิงยวนไม่เอ่ยปากพูด พาให้โค่วป๋อไห่รู้สึกตกประหม่าอยู่บ้างทันใด
ครั้งแรกที่กวนจวินโหวไปเยือนถึงจวนหลังกลับเมืองหลวง เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคุณชายตระกูลโด่งดังที่อ่อนน้อมถ่อมตัวไม่โอ้อวด ไม่รู้สึกว่าน่าเกรงขามแม้สักนิด ไฉนหนนี้เจอกันถึงทำให้เย็นเยือกในอกแล้ว
“ท่านลุงดื่มชาขอรับ” เซ่าหมิงยวนยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง น้ำชารสขมน้อยๆ ไหลล่วงผ่านลำคอบรรเทาความร้อนแผดเผาตรงนั้นได้หลายส่วน
สำหรับญาติพี่น้องของภรรยา เขาต้องเคารพนับถือมากอย่างแน่นอน แต่ตอนคนพวกนี้ทำร้ายคนในครอบครัวของภรรยา เขาก็สุดปัญญาจะพูดถึงความเคารพนับถืออะไรได้อีก
ต่อหน้าคนเหล่านี้ เขาจะเป็นผู้เยาว์ก็ได้ หรือเป็นกวนจวินโหวก็ได้
เดิมทีบัณฑิตมักกลัวเกรงนักรบอยู่บ้าง แล้วยามเผชิญหน้ากับผู้เป็นอันดับหนึ่งในหมู่นักรบ จึงไม่ต้องเอ่ยถึงความรู้สึกนั้น
โค่วป๋อไห่ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด พอได้ยินเสียงฝีเท้าลอยมาถึงลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“ท่านลุง” เฉียวโม่เดินเข้ามาแล้วแสดงคารวะต่อเขา
หากเป็นปกติ โค่วป๋อไห่ย่อมนั่งนิ่งอยู่ได้ หากแต่รัศมีที่แผ่จากตัวเซ่าหมิงยวนสร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแก่เขารุนแรงเกินไป เป็นเหตุให้เขาลุกขึ้นยืนอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่
“โม่เอ๋อร์มาแล้วหรือ รีบนั่งสิ”
เฉียวโม่นั่งลงตามคำพูดอีกฝ่าย เขามองท่านลุงที่มีสีหน้ากระวนกระวายแล้วลอบถอนใจเบาๆ
ไม่สำคัญว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่วางยาพิษเพราะอะไร ความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวท่านตาไม่อาจกลับเป็นดั่งเก่า
“โม่เอ๋อร์ ร่างกายเจ้าเป็นปกติดีแล้วกระมัง”
“ขอบคุณท่านลุงที่เป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้วขอรับ”
“ได้เช่นนั้นก็ดีๆ” โค่วป๋อไห่อยากเอ่ยถึงเรื่องที่เหมาซื่อวางยาพิษ แต่เผชิญหน้ากับผู้เยาว์ทั้งสองแล้วถ้อยคำพวกนั้นคล้ายติดอยู่กลางลำคอ นานสองนานก็ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงใดดี
เป็นเพราะนางหญิงใจอำมหิตผู้นั้นแท้ๆ ที่ก่อวีรกรรมไว้!
“ท่านโหว โม่เอ๋อร์ พวกเจ้าอาจไม่รู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าฟั่นเฟือนไปแล้ว” เพราะนิ่งเงียบไปเรื่อยๆ ก็มิใช่ทางออก โค่วป๋อไห่สองจิตสองใจเป็นนาน ยังคงแข็งใจพูดออกมา
กล่าวจบเขาก็หน้าชาวาบๆ ด้วยความอับอาย
ภรรยาวางยาพิษทำร้ายหลานชายต่างสกุล ซ้ำยังกลายเป็นหญิงเสียสติ ความลับเช่นนี้เดิมทีเขาก็อยากปิดบังไปชั่วชีวิตแล้วจะเอ่ยปากบอกกับคนอื่นได้เช่นไร ทว่าบิดาเขากำชับไว้ไม่ให้ปกปิดกวนจวินโหว
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ฟั่นเฟือนได้อย่างไรขอรับ” แม้จะล่วงรู้บทลงเอยของเหมาซื่ออยู่ก่อน แต่เฉียวโม่จะแสดงท่าทางออกมาก็ไม่เหมาะสม เขาจึงเอ่ยถามกลับ
โค่วป๋อไห่หน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างละอายใจ “โม่เอ๋อร์ เป็นท่านลุงที่ผิดต่อเจ้า ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าโดนภูตผีปีศาจดลใจถึงกับวางยาพิษเจ้า”
เมื่อเริ่มพูดได้แล้ว ถ้อยคำด้านหลังก็ง่ายขึ้น
โค่วป๋อไห่เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวอย่างคร่าวๆ ก่อนถอนใจยาวเหยียด “ขณะนี้ในเรือนกำลังสืบหาที่มาของยาพิษ แต่ไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไรนัก วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะมีของสิ่งหนึ่งอยากให้เจ้าดูสักหน่อย บางทีอาจพบเบาะแสสำคัญที่เป็นคำตอบจากมันได้”
เฉียวโม่สบตากับเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่ง จากนั้นวางสีหน้าสงบนิ่งเอ่ยขึ้น “ไม่ทราบว่าท่านลุงอยากให้ข้าดูสิ่งใด”
โค่วป๋อไห่ล้วงผ้าไหมสีขาวที่พับอย่างเรียบร้อยผืนหนึ่งจากอกเสื้อยื่นส่งให้หลานชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “โม่เอ๋อร์ เจ้าลองดูลายมือบนผ้าผืนนี้ที จำได้หรือไม่”
เฉียวโม่รับผ้าไหมสีขาวมาคลี่ออกมองปราดเดียวก็หน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา เขากล่าวเสียงหลง “น้องเจา?”
คุณชายเฉียวที่รักษาความสุขุมเยือกเย็นต่อหน้าผู้อื่นไว้ได้แม้ในยามครอบครัวประสบเคราะห์ร้ายถึงกับลุกพรวดขึ้นยืน น้ำเสียงของเขาร้อนรน “ท่านลุง ผ้าไหมสีขาวนี้ได้มาจากที่ใดขอรับ”
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวโม่อย่างประหลาดใจ สายตาเขาอดมองไปที่ผ้าไหมสีขาวไม่ได้ พอปะทะเข้ากับตัวอักษรเลือดบนผ้า เขาก็นิ่งขึงไป
ลายมือคุ้นตาถึงเพียงนี้ เขาเพิ่งได้เห็นก่อนหน้าไม่นานจากสารของภรรยาเขาฉบับนั้น
“โม่เอ๋อร์ เจ้าจดจำลายมือบนผ้าผืนนี้ได้ใช่หรือไม่”
เฉียวโม่จับผ้าแน่น ริมฝีปากซีดขาว “ไฉนจะจำไม่ได้ขอรับ นี่เป็นลายมือของเจาเจาน้องสาวข้าเอง!”
เซ่าหมิงยวนใจกระตุกวูบหนึ่ง เขาหันไปมองเฉียวโม่อย่างพินิจ
ผ้าไหมสีขาวเป็นคุณหนูหลีมอบให้เฉินกวง เหตุใดลายมือบนนั้นถึงเหมือนกับของภรรยาที่จากไปแล้ว
“จำไม่ผิดจริงๆ” โค่วป๋อไห่ถอนใจเฮือก สีหน้าเขาฉายแววสับสนงุนงง “ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าตกใจจนเสียสติ บอกว่าเห็นผีสาวอยู่นอกหน้าต่างในคืนฝนตกวันนั้น แล้วผ้าไหมสีขาวผืนนี้ก็เป็นผีสาวตนนั้นทิ้งเอาไว้”
“ผีสาวทิ้งเอาไว้?”
“ดังนั้นเรื่องนี้ถึงมีเงื่อนงำน่ะสิ หลังป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าเสียสติไปแล้วเอาแต่พูดว่าเจาเจามาแก้แค้นนาง ทว่าใต้หล้านี้จะมีผีได้อย่างไรกัน กระนั้นลายมือบนผ้าผืนนี้กลับเป็นของเจาเจาจริงๆ ทีแรกพวกข้ายังนึกว่าจำผิด ถึงได้มาขอคำยืนยันจากเจ้า”
เฉียวโม่หันขวับไปมองเซ่าหมิงยวน “เจาเจา…”
เขารู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการหลอกท่านป้าสะใภ้ใหญ่จนเสียสติไปคือคุณหนูหลีนี่นา
ตรงกลางอกของเซ่าหมิงยวนพลุ่งพล่านปั่นป่วนแต่แรก
ทั้งคู่ประสานสายตากัน ต่างแปลกใจระคนสงสัยไม่แน่ใจ
“ท่านโหว โม่เอ๋อร์…” โค่วป๋อไห่เปล่งเสียงเรียก ขัดจังหวะผู้เยาว์ทั้งสองที่สบตากันอยู่
เฉียวโม่ตั้งสติได้แล้วยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ขออภัยขอรับท่านลุง ข้าเสียมารยาทไปชั่วขณะ”
“นี่จะโทษเจ้ามิได้ เรื่องราวมันพิลึกพิลั่นเกินไปจริงๆ หรือว่าใต้หล้านี้จะมีภูตผีปีศาจอยู่จริง”
โค่วป๋อไห่เอ่ยถามคำนี้ขึ้น ทั้งสามคนในโถงพากันนิ่งเงียบไป
“เรื่องสืบหาที่มาของยาพิษ ท่านลุงต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ขอรับ” เซ่าหมิงยวนกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ
“เอ่อ…ไม่ต้องรบกวนท่านโหวหรอก วันนี้ข้ามาเพื่ออยากยืนยันเรื่องลายมือบนผ้าไหม” โค่วป๋อไห่บอกปัดแล้วเอ่ยกับเฉียวโม่ต่อ “โม่เอ๋อร์ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าเสียสติไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ตีตัวออกห่างกับครอบครัวท่านตาเพราะเรื่องนี้ หลายวันมานี้ท่านตากับท่านยายของเจ้าล้วนลอบทุกข์ใจเป็นอันมาก”
“ข้าเข้าใจขอรับ ท่านลุงโปรดบอกต่อท่านตากับท่านยายด้วยว่าขอให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ”
“อย่างนั้นก็ดี ข้าขอตัวกลับก่อนล่ะ” โค่วป๋อไห่คลายใจลงเล็กน้อย เขาหันไปพูดกับเซ่าหมิงยวน “ในเรือนเกิดเรื่องน่าอายคงทำให้ท่านโหวตลกขบขันแล้ว หวังว่าท่านโหวจะช่วยเก็บรักษาเป็นความลับให้ด้วย”
“เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้วขอรับ” ห้วงความคิดของเซ่าหมิงยวนกำลังสับสนอลหม่าน เขารับคำอย่างขอไปที
เฉียวโม่เห็นโค่วป๋อไห่จะกลับไปก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “ท่านลุง ผ้าไหมสีขาวผืนนั้นจะให้ข้าเก็บไว้ได้หรือไม่ขอรับ”
อีกฝ่ายได้ฟังก็ลังเลใจเล็กน้อย
เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ “บางทีข้าอาจสืบเสาะที่มาจากหลายๆ ทางดังเช่นลักษณะเนื้อผ้าผืนนี้ ไม่แน่ว่าจะไขปริศนาเรื่องผีสาวได้”
โค่วป๋อไห่ได้ยินแล้วจึงยอมตัดใจทันใด “ตกลง เช่นนั้นก็เก็บผ้าไว้ก่อนเถอะ ทันทีที่มีร่องรอยของผีสาว รบกวนท่านโหวส่งข่าวไปบอกด้วย”
หลังโค่วป๋อไห่กลับไป เฉียวโม่ถือผ้าไหมสีขาวไว้มองไปทางเซ่าหมิงยวน “วันนั้นท่านโหวบอกว่าคุณหนูหลีเป็นคนสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านปลอมเป็นผีสาวกระมัง”
“อื้อ”
“ถ้าอย่างนั้นผ้าไหมสีขาวผืนนี้ล่ะ”
“ข้าจะส่งคนไปเชิญคุณหนูหลีมาที่นี่” เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเปล่งเสียงกล่าวประโยคนี้ จากนั้นบอกกับองครักษ์ “ไปเอาใบสั่งยาที่คุณหนูหลีเขียนวันนี้มาสิ”
ตอนได้รับคำเชิญ เฉียวเจาประหลาดใจพอดู นางไต่ถามเฉินกวง “อาการของแม่ทัพเซ่ากำเริบอีกแล้วหรือ”
“ไม่ขอรับ ท่านแม่ทัพเพียงเชิญท่านไป”
“อย่างนี้เองหรือ เจ้าบอกคนที่มาแจ้งข่าวว่าวันนี้ข้ายังมีธุระ พรุ่งนี้ค่อยไปอีกที”
ไปที่จวนกวนจวินโหวสามรอบในวันเดียวกันออกจะมากเกินไปจริงๆ
“คุณหนูสาม…” เฉินกวงทำหน้าอ้อนวอน
“ไปสิ” เฉียวเจาไม่ใจอ่อน
เฉินกวงออกจากประตูลานเรือนก็ตบปากตนเองทีหนึ่ง
ใครใช้ให้เจ้าปากดี พูดตามสัตย์จริงด้วยเหตุใดเล่า!