หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 267
บทที่ 267
เซ่าหมิงยวนกลั้นใจเอ่ยปากขึ้น “คุณหนูหลี…”
“หือ?” เด็กสาวช้อนตามอง
“ข้า…ข้ารู้สึกเวียนๆ หัว ท่านช่วยตรวจอาการให้ข้าอีกได้หรือไม่” เซ่าหมิงยวนพูดออกไปแล้วอยากกัดลิ้นตนเองทิ้งใจจะขาด เขากล่าววาจาไร้สาระอะไรกัน
เฉียวเจากลับสงบอารมณ์เป็นปกติได้แล้ว “ได้เจ้าค่ะ”
นางไม่มองเฉียวโม่อีก ยื่นมือไปจับชีพจรของเซ่าหมิงยวนพร้อมทั้งพินิจดูสีหน้าเขาอย่างจริงจัง
ความเอาจริงเอาจังของนางทำให้เฉียวโม่รู้สึกผิดชอบกล
หรือว่าเขาคิดมากไปจริงๆ
แต่ว่าในแผ่นดินนี้มีคนที่ละม้ายคล้ายคลึงน้องสาวคนโตของเขาถึงเพียงนี้ได้อย่างไร และต่อให้มีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะลายมือเหมือนกัน เว้นแต่ว่าเคยจงใจเลียนแบบ
เขาคิดถึงตรงนี้แล้วสายตาที่เพิ่งอ่อนแสงลงก็กลับมาเฉยชาดังเดิม
ไม่ว่าอย่างไร วันหน้าเขาอยู่ห่างๆ คุณหนูหลีไว้เป็นการดี
“แม่ทัพเซ่าเสียเลือดมากเกินไป กินพวกของบำรุงเลือดลมก็พอแล้ว” เฉียวเจาถามเขา “ของบำรุงเลือดลมมีอะไรบ้าง แม่ทัพเซ่าน่าจะรู้กระมัง”
“รู้”
“ไม่ต้องให้ข้าเขียนใบสั่งยาแล้วหรือ”
ถึงกับเอาใบสั่งยาออกมาให้พี่ใหญ่ใช้เป็นหลักฐานรึ ฮึ!
เซ่าหมิงยวนยิ้มกระดากๆ
“ในเมื่อแม่ทัพเซ่าไม่เป็นอะไร ข้ากลับก่อนล่ะ”
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวโม่ปราดหนึ่ง เห็นสีหน้าเขาสงบนิ่งก็ลอบทอดถอนใจ “ข้าออกไปส่งคุณหนูหลีเอง”
เขาหลอกให้นางมา ผลปรากฏว่าเกิดเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ เขาไม่สบายใจจริงๆ
เฉียวเจาไม่ปริปาก ก้าวขาเดินออกไปข้างนอก
เวลานี้เป็นยามบ่ายแล้ว กระไอร้อนยังจางหายไปไม่หมด ท้องฟ้าสว่างจ้า พยับแดดแยงตาอยู่บ้าง
“คุณหนูหลีรอประเดี๋ยว” เซ่าหมิงยวนหันหลังย้อนกลับไป ไม่นานนักก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกมา ในมือมีร่มไม้ไผ่กรุกระดาษบางใสขนาดกะทัดรัดคันหนึ่งเพิ่มขึ้นในมือ เขากางออกแล้วยื่นให้เฉียวเจา “แดดยังแรงอยู่ วันนี้ทำให้คุณหนูหลีต้องลำบากแล้ว”
เฉียวเจาพลันนึกไปถึงวันนั้นตอนอยู่กลางฝน ก็เป็นคนตรงหน้าที่ใช้ใบไม้สานเป็นหมวกใบหนึ่งให้นางบังฝน
เขาบังฝนให้นางแล้วยังบังแดดให้อีก น่าเสียดายว่านางมิใช่เฉียวเจา พี่ใหญ่ระวังป้องกันนางไปเสียทุกทาง วันที่จะกลับมาเป็นพี่น้องกันอีกครั้งยังยาวไกลนัก
เฉียวเจากำร่มไม้ไผ่แน่นๆ น้ำตาไหลรินดุจสายฝน
เซ่าหมิงยวนทำอะไรไม่ถูก “คุณหนูหลี…”
เขายื่นร่มให้คันเดียว เหตุใดถึงร้องไห้อีกแล้ว
“ท่านอย่าพูด” สุ้มเสียงนิ่มนวลของเด็กสาวอู้อี้ขึ้นจมูกอย่างชัดเจน
“เอ่อ…” เซ่าหมิงยวนหุบปากอย่างสงบเสงี่ยม
ทั้งคู่ยืนอยู่ข้างต้นฉำฉา ดอกสีชมพูแกมขาวโดนลมพัดก็ปลิวไหวๆ ปัดผ่านชายเสื้อของเขากับนาง
มีองครักษ์ไม่น้อยแอบชะเง้อคอมอง แต่ละคนตื่นเต้นคึกคักประหนึ่งดื่มยาชูกำลังเข้าไป
สวรรค์ ในที่สุดท่านแม่ทัพของพวกเราเป็นดั่งต้นไม้เหล็กออกดอก* แล้ว!
นี่หมายความว่าท่านแม่ทัพของพวกเขาจะมีฮูหยินในเร็ววันนี้ใช่หรือไม่ เมื่อมีฮูหยินของท่านแม่ทัพช่วยเป็นธุระให้ หนุ่มทึนทึกอย่างพวกเขาก็ใกล้จะได้ตบแต่งภรรยาแล้วเช่นกันกระมัง
“ดูเหมือนคุณหนูหลีร้องไห้อยู่นะ ท่านแม่ทัพทำให้นางร้องไห้แล้วใช่หรือไม่”
“อย่ากล่าวส่งเดช คุณหนูหลีต้องประทับใจแน่ ท่านแม่ทัพยังรู้จักเอาร่มให้นางบังแดด ช่างเอาใจใส่ปานใด”
มาตรว่าเสียงซุบซิบขององครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมต่างๆ พวกนี้จะเบามาก จนใจที่ชายหนุ่มมีประสาทหูไวเหลือเกิน เขาอาจจะหมดปัญญากับสาวน้อยที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง แต่กับผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ยังคงเปี่ยมไปด้วยบารมีน่ายำเกรง
เขาตวัดมองด้วยสายตาเย็นเยียบแวบเดียว องครักษ์ทั้งหลายก็แตกฮือไปคนละทิศละทางทันใด
“ท่านดีต่อสตรีเช่นนี้เสมอหรือ” แม่นางเฉียวร้องไห้จนหนำใจแล้ว นางน้ำตาคลอมองบุรุษเรือนกายสูงใหญ่
เซ่าหมิงยวนตะลึงงัน เขาเปล่าเสียหน่อย เขาเติบใหญ่จนป่านนี้ รู้จักสตรีเพียงคนเดียวคือคุณหนูหลี กระทั่งภรรยาที่หมั้นหมายกันแต่วัยเยาว์ยังพบกันครั้งแรกที่กำแพงเมืองเยี่ยน
เช่นนี้ก็เรียกว่าทำดีกับสตรีหรือ แม่ทัพหนุ่มครุ่นคิดอย่างไม่แน่ใจ
แต่ยามไม่ออกรบไม่ฝึกซ้อม เขาก็ทำเช่นนี้กับผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นกัน
แน่นอนว่าไม่เคยหยิบร่มให้พวกเขา ก็เจ้าพวกนั้นล้วนหนังหนาหัวแข็ง ไม่จำเป็นต้องใช้
เฉียวเจาเห็นเขานิ่งเงียบไป จึงลอบขมขื่นใจกะทันหัน
เป็นเช่นนี้จริงๆ พี่ใหญ่ระแวงไปต่างๆ นานาที่ข้าเข้ามาใกล้ชิด ส่วนเซ่าหมิงยวนเริ่มเกี้ยวพาราสีหญิงสาวตั้งแต่เถ้าอัฐิของข้ายังไม่ทันเย็นสนิท!
“แม่ทัพเซ่าส่งถึงตรงนี้เถอะเจ้าค่ะ” เฉียวเจาทำหน้าขรึมหมุนกายออกเดินไปไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมายัดร่มไม้ไผ่ใส่มือชายหนุ่ม จากนั้นสะบัดหน้าจากไป
เฉินกวงเบะปากอย่างไม่ได้ดั่งใจแล้วเร่งรีบตามไป
เซ่าหมิงยวนมองร่มไม้ไผ่ในมือแล้วโคลงศีรษะอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาหมุนกายกลับเข้าเรือน
“คุณหนูหลีกลับไปแล้วหรือ” เฉียวโม่ไต่ถาม
“อื้อ”
“นางพูดอะไรกับท่านโหวหรือไม่”
ได้ยินเฉียวโม่ถามคำนี้ เซ่าหมิงยวนตรึกตรองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ดูเหมือนนางจะถามเขาคำเดียวว่าเขาดีต่อสตรีเช่นนี้เสมอใช่หรือไม่ ทว่าบอกคำนี้กับพี่ชายภรรยาดูท่าจะไม่ใคร่เหมาะสมนัก
เซ่าหมิงยวนส่ายหน้า “ไม่ได้พูดอะไร แต่คุณหนูหลีร้องไห้อีกแล้ว”
“ฮ่าๆ” เฉียวโม่หัวเราะเบาๆ เขาเห็นสายตาของอีกฝ่ายแฝงรอยงุนงง กล่าวด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อนใจ “เรื่องขี้แยจุดนี้กลับไม่เหมือนน้องสาวคนโตของข้าเลย ในความทรงจำข้า น้อยครั้งมากที่นางจะร้องไห้น้ำตาไหล”
เซ่าหมิงยวนใคร่ครวญอึดใจหนึ่งก่อนถามขึ้น “คุณหนูหลีเหมือนกับ…เฉียวเจามากหรือ”
เฉียวโม่มองเขานิ่งๆ แล้วพยักหน้า “เหมือนมาก บางครั้งถึงกับบังเกิดอุปาทานว่านางก็คือน้องสาวคนโตของข้า ตอนนั้นข้าเพียงอัศจรรย์ใจที่มีคนประพิมพ์ประพายคล้ายกัน แต่วันนี้เห็นลายมือของคุณหนูหลีแล้วถึงรู้ว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายดายเท่านี้ ต่อให้มีคนประพิมพ์ประพายคล้ายกัน ก็ไม่มีทางเหมือนกันแม้แต่ลายมือ นี่บ่งชัดได้อย่างเดียวว่าคุณหนูหลีจงใจเลียนแบบ”
“จงใจเลียนแบบ?” ไม่รู้ด้วยเหตุใด ภาพนัยน์ตามีน้ำตาคลอเบ้าของเด็กสาวคู่นั้นผุดวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตาชายหนุ่ม
ชะรอยว่าดวงตาทั้งคู่โดนชะด้วยน้ำตาเลยดูกระจ่างใสแวววาวยิ่งขึ้น
คนที่มีดวงตาเช่นนี้จะเป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบายหรือ
เซ่าหมิงยวนเคยพบเจอกับไส้ศึกที่แดนเหนือมาเป็นจำนวนไม่น้อย เขาเข้าใจคติที่ว่าอย่ามองคนแค่เปลือกนอกอย่างถ่องแท้ แต่สัญชาตญาณของเขามักแม่นยำมาก
คุณหนูหลีไม่เหมือนคนจำพวกนั้นอย่างที่พี่เฉียวโม่คิด
“คุณหนูหลียังเยาว์วัย เหตุใดถึงจงใจเลียนแบบคนที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนได้เล่า”
เฉียวโม่หยักยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ดังนั้นเรื่องมันถึงไม่ง่ายดายยิ่งขึ้น”
ถ้าไม่ใช่เพราะลายมือที่เหมือนกับน้องสาวคนโตทุกประการที่เห็นในวันนี้ช่วยเคาะสติเขา คุณหนูหลีอาจอาศัยความคล้ายคลึงกับน้องสาวคนโตก้าวเข้ามาในชีวิตเขาทีละก้าวๆ หากเป็นอย่างนั้น ใครจะรู้ว่าของที่เขารักษาไว้สุดกำลังพวกนั้นจะถูกคนที่มีเจตนาแอบแฝงเอาไปหรือไม่เล่า
“บางทีท่านอาจคิดมากเกินไป” เซ่าหมิงยวนกล่าวเตือน
เฉียวโม่มองเขาพลางเอ่ยอย่างมีนัยลึกล้ำ “อาจจะเป็นท่านโหวคิดน้อยเกินไป”
กวนจวินโหวต้องตาต้องใจคุณหนูหลีแล้วใช่หรือไม่ ในตอนที่น้องสาวของข้าจากไปยังไม่ถึงหนึ่งปี…
เขาคิดถึงจุดนี้แล้วยิ่งหัวเสียมากขึ้น
ทั้งที่รับรู้ได้ว่าเด็กสาวผู้นั้นมีจุดประสงค์อื่น เหตุใดพอเขานึกถึงท่าทางร่ำไห้ของนางแล้วรู้สึกทรมานใจเล่า ฉะนั้นเขาต้องโดนลวงหลอกเป็นแน่แท้
เฉียวโม่ลอบโน้มน้าวใจตนเอง
จะอย่างไรก็ใจอ่อนไม่ได้
ใช่ แน่วแน่ไว้ จะใจอ่อนไม่ได้
คนที่ตายก็ตายไปแล้ว ต่อให้คนที่มีชีวิตอยู่จะละม้ายคล้ายคลึงสักเพียงใดก็ไม่ใช่น้องสาวของเขา
เซ่าหมิงยวนเป็นคนมองอะไรๆ ได้ปรุโปร่ง พอเฉียวโม่กล่าวเช่นนี้ เขาก็เข้าใจนัยความหมายที่แฝงอยู่ได้อย่างรวดเร็ว จึงเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง “พี่เฉียวโม่คิดมากเกินไปจริงๆ สิ่งที่ข้าเคยกล่าวไว้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
เฉียวโม่มองเขาแล้วลอบทอดถอนใจ
วาจาที่เคยกล่าวไว้ไม่เปลี่ยนแปลงมิได้แสดงว่าจิตใจจะไม่หวั่นไหวนะ เจ้าคนโง่งมผู้นี้!
* ต้นไม้เหล็กออกดอก เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก