หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 270
บทที่ 270
เฉียวเจาหันหน้าไปมอง
ใต้แสงตะวัน บุรุษรูปงามหาตัวจับยากราวกับเปล่งประกายได้ ทุกๆ อากัปกิริยาล้วนเป็นเป้าสายตาของคนทุกผู้ทุกนาม
เฉียวเจาลุกขึ้นยืนกล่าวทักทายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ฉือ”
ฉือชั่นสาวเท้าเก้ายาวๆ เข้ามา ขณะเจียนจะเดินไปถึงใกล้ๆ นางคล้ายฉุกคิดอะไรขึ้นได้ เขาชะงักฝีเท้ากึก “เซ่าหมิงยวนไม่อยู่ในจวน แล้วเจ้าอยู่ได้เช่นไร”
คุณชายฉือนึกไปถึงภาพเมื่อครู่นี้ก็คับอกคับใจ
เด็กสาวเฝ้าเตาไฟสนทนากับองครักษ์ที่ยืนประสานมือไว้หน้าตัว กลับเหมือนประมุขหญิงของเรือนสะสางการงานในเรือนระหว่างเฝ้ารอสามีกลับมา
นางนึกว่าที่นี่เป็นเรือนของตนเองหรือไร แม่นางน้อยหน้าหนาผู้นี้!
“ข้าต้มยาให้แม่ทัพเซ่าอยู่เจ้าค่ะ” เฉียวเจาบอกอย่างตรงไปตรงมา
ฉือชั่นสูดดมเบาๆ คราหนึ่ง เป็นกลิ่นหอมของยาอบอวลไปทั่ว เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมแค่นหัวเราะ “จวนกวนจวินโหวใหญ่โตไม่มีแม้แต่สาวใช้ต้มยาใช่หรือไม่ ถึงต้องให้เจ้าวิ่งมาต้มยาถึงที่นี่”
เฉียวเจาเปิดฝาหม้อดินออกดูแวบหนึ่ง จากนั้นนั่งกลับลงไปบนม้านั่ง กล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “คนอื่นต้มได้ไม่ดีเท่าข้า”
“เจ้าช่างเอาใจใส่นัก” ฉือชั่นโกรธแทบตาย อยากดึงตัวแม่นางน้อยน่าชังเบื้องหน้าลุกขึ้นมาสั่งสอนสักยก แต่เขาก็หักใจทำไม่ลงคอ จึงปั้นหน้าขรึมนั่งลงที่บันไดด้านข้าง
เฉียวเจาพะวักพะวนถึงแต่เรื่องที่พี่ชายไปที่ที่ว่าการ ไหนเลยจะมีแก่ใจต่อปากต่อคำกับฉือชั่น นางได้ยินเขาพูดประชดประชันก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ จึงพูดเอื่อยๆ ว่า “ข้าปฏิบัติต่อคนป่วยด้วยความเอาใส่ใจเสมอ”
“พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้าปฏิบัติต่อคนป่วยคนอื่นเช่นนี้เหมือนกัน?”
หากเป็นอย่างนี้ วันหน้าเขาล้มป่วยอีกก็มาหานางแล้วกัน
“ไม่แน่นอน มีเพียงคนป่วยของข้า ข้าถึงเอาใจใส่เช่นนี้” เฉียวเจาราวกับหยั่งความคิดของฉือชั่นออก นางแย้มปากยิ้มพร้อมกล่าว “แต่ปกติข้าไม่ตรวจอาการป่วยให้ใคร”
ฉือชั่นอึ้ง “…” แม่นางน้อยน่าชังคนนี้ต้องเจตนาแน่ๆ!
“แม่ทัพเซ่าไม่อยู่จวน พี่ฉือ…” เหตุใดยังไม่กลับไปอีก
“ข้ารู้ว่าวันนี้เขาจะออกไปข้างนอก แค่ไม่นึกว่าจะเร็วถึงเพียงนี้” เมื่อมองสบสายตาประหลาดใจน้อยๆ ของเด็กสาว ฉือชั่นพูดอธิบายเสียงเรียบๆ ต่อ “รองเสนาบดีกรมอาญากลับมาแล้วมิใช่หรือ เขานำผลการสืบสวนเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวกลับมา ถิงเฉวียนต้องไปที่ที่ว่าการกับพี่ชายภรรยาเขาเพื่อสอบถามข่าวคราวอย่างแน่นอน”
เขากล่าวจบแล้วขมวดคิ้ว “นี่เจ้าทำสายตาอะไรของเจ้า” หรือนึกว่าวันๆ เขาไม่ทำงานทำการใด อยู่ว่างๆ ก็มาหาเซ่าหมิงยวนแข่งกัดจิ้งหรีดคลายเบื่อหรือ
“อ้อ ที่แท้เป็นอย่างนี้” เฉียวเจาอัศจรรย์ใจอยู่บ้าง
คงเป็นเพราะฉือชั่นมีรูปโฉมชวนพิศเกินไป อุปนิสัยก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย นางมักลืมว่าจริงๆ แล้วบุรุษที่โครงหน้าคมคายสมส่วนผู้นี้เป็นเชื้อพระวงศ์ครึ่งตัว คนที่อยู่ในที่ที่สับสนวุ่นวายที่สุดในใต้หล้าจะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ เลยได้อย่างไร
ฉือชั่นเอามือหนึ่งเกาะเสาระเบียง เลิกคิ้วพลางถามเฉียวเจา “เจ้ามาที่นี่ทุกวัน ในเรือนไม่มีใครว่ากล่าวบ้างหรือ”
สตรีควรปักผ้าอยู่กับเรือนอย่างสงบเสงี่ยมไม่ใช่หรือ นางมาที่จวนกวนจวินโหวทุกวันนับเป็นเรื่องอะไรกัน
“ครอบครัวข้าล้วนเป็นคนเข้าใจเหตุผลเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวตอบ
สำหรับเหอซื่อ บุตรสาวถูกใจก็พอ
สำหรับหลีกวงเหวิน บุตรสาวเดินหมากเป็นเพื่อนเขาได้ก็พอ
สำหรับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง หลานสาวฉลาดและพึ่งพาได้ ถึงอย่างไรไม่ได้ออกเรือนแล้ว ออกไปข้างนอกเปิดหูเปิดตามากๆ เป็นเรื่องดี ฉะนั้นยังคงเป็นหลานสาวถูกใจก็พอ
สำหรับนายหญิงรองหลิวซื่อ คนใดตอแยคุณหนูสามผู้นั้นเคราะห์ร้าย ดีไม่ดียังมีปลาซิวปลาสร้อยตาดำๆ พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย จึงแน่นอนว่าคุณหนูสามถูกใจก็พอ
ด้วยเหตุฉะนี้แม่นางเฉียวที่ชื่อเสียงป่นปี้และไม่เหลือเกียรติยศใดๆ ของสตรีแล้วถึงเป็นอิสรเสรีเต็มที่
ฉือชั่นแค่นเสียงฮึแล้วไม่พูดไม่จาอีก
เฉียวเจาชอบใจที่ได้อยู่อย่างสงบ นางนั่งเท้าคางอยู่ข้างเตาไฟจมอยู่ในภวังค์ความคิด
เวลาไหลเลื่อนไปช้าๆ ตอนองครักษ์เข้ามาเปลี่ยนอ่างน้ำแข็งเป็นครั้งที่เจ็ด ฉือชั่นก็เอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหวในที่สุด “มานั่งนี่”
“หือ?”
ฉือชั่นขมวดคิ้ว “ข้าบอกว่ามานั่งนี่ อากาศร้อนจัดเจ้าจะเฝ้าเตาไฟไปด้วยเหตุใด ไม่กลัวขึ้นผดหรือ”
“มีอ่างน้ำแข็ง ไม่ถือว่าร้อนนะเจ้าคะ”
“น้ำแข็งพวกนั้นล้วนเป็นพายุหอบมาให้ ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง?”
แม่นางน้อยจอมล้างผลาญผู้นี้ เห็นอยู่ว่าอ่างน้ำแข็งถูกเปลี่ยนอ่างแล้วอ่างเล่าไม่ขาดสายยังไม่รู้จักเสียดาย?
ไหนบอกว่าสตรีล้วนดูแลเหย้าเรือนได้เก่งไม่ใช่หรือ นางเป็นเช่นนี้วันหน้าใครจะเลี้ยงดูไหว
ฉือชั่นทางหนึ่งโมโหทางหนึ่งคิดคำนึงในใจ บางทีควรจะหาตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่งเสียแล้ว
เฉียวเจาลุกขึ้นดูยาต้มได้ที่แล้ว สั่งให้เฉินกวงยกเข้าไปในห้อง นางผละจากเตาไฟไปนั่งไม่ไกลจากฉือชั่น
พอเห็นเขาทำหน้าบูดบึ้งอยู่ตลอด นางก็เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “พี่ฉือเสียดายเงินทองแทนแม่ทัพเซ่าหรือเจ้าคะ”
คนผู้นี้จะวุ่นวายเกินไปหรือไม่ ข้าซึ่งเคยเป็นภรรยาของเซ่าหมิงยวนยังไม่เสียดายเช่นนี้
อีกอย่างหนึ่งก็แค่อ่างน้ำแข็งไม่กี่อ่างเท่านั้น ข้าไม่ใช้ ใครจะรู้ว่าวันหน้าจะเป็นผู้ใดได้ใช้สบายๆ
“ข้าเสียดายอะไรกัน มิใช่เงินของข้าสักหน่อย”
เฉียวเจาหยักยิ้ม “ข้าคิดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ”
“…” เซ่าหมิงยวน เจ้ารีบกลับมาฟังดูว่าแม่นางน้อยผู้นี้ไร้ยางอายเพียงใด ถลุงเงินของเจ้าโดยไม่บันยะบันยังแล้ว
ขณะที่เขาคิดเช่นนี้อยู่ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากข้างหน้า
“ท่านแม่ทัพ…”
เฉียวเจาลุกพรวดขึ้น เห็นเซ่าหมิงยวนกับเฉียวโม่เดินเคียงคู่กันมา สายตาของนางจับไปที่ใบหน้าของเฉียวโม่ก่อน
สีหน้าเขาเคร่งขรึม จับความรู้สึกได้ไม่มากนัก
นางมองไปทางเซ่าหมิงยวนอีก
บนใบหน้าของเซ่าหมิงยวนไม่แสดงอารมณ์สักเท่าไรเฉกเดียวกัน
เฉียวเจาลอบกำมือเป็นหมัดแน่น ตกลงว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรกันแน่ ดูจากสีหน้าของพี่ใหญ่และเซ่าหมิงยวนแล้วเดาไม่ออกเลยสักนิด
ชายหนุ่มทั้งสองเดินมาถึงใกล้ๆ อย่างว่องไว
ครั้นเห็นฉือชั่นก็อยู่ด้วย เซ่าหมิงยวนจึงเผยรอยยิ้มออกมา “สือซี เจ้ามาแล้วหรือ”
“ใช่ รอเจ้าอยู่ตั้งนานสองนาน” ฉือชั่นชำเลืองมองเฉียวโม่
เฉียวโม่ค้อมศีรษะเล็กน้อยให้เขา ค่อยเลื่อนสายตาไปที่ตัวเฉียวเจา
นางเม้มปาก เมื่อวานพี่ใหญ่พูดอย่างนั้นแล้ว วันนี้เห็นนางมาอีก เขาจะต้องหวาดระแวงมากขึ้นเป็นแน่
ดังคาดเขาพยักหน้ากับนางเล็กน้อยเท่านั้นแล้วบอกกับเซ่าหมิงยวน “ข้ากลับห้องไปดื่มน้ำชาสักคำก่อน”
เฉียวเจาทำตาปริบๆ มองเฉียวโม่เดินห่างไปไกลโดยไม่เหลียวหลังสักครั้ง หัวใจทั้งดวงประหนึ่งโดนฟาดด้วยแส้แล้วราดน้ำเกลือซ้ำๆ มิต้องเอ่ยถึงว่าทุรนทุรายปานใด
ดีที่ประสบผ่านราตรีที่ข่มตานอนไม่หลับมา นางสามารถข่มความทุกข์ใจนี้ไว้ด้วยสีหน้าเป็นปกติ
นางช้อนตาขึ้นส่งยิ้มให้เซ่าหมิงยวน “แม่ทัพเซ่า ต้มยาเสร็จแล้ว ข้าไปยกมาให้นะเจ้าคะ”
“ขอบคุณคุณหนูหลีมาก”
เฉียวเจาหมุนกายเข้าห้องไปยกยา ตอนเดินออกมาก็ได้ยินฉือชั่นเอ่ยถาม
“ผลสืบคดีไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
ฝ่ามือของเด็กสาวชะงักนิ่ง นางกลั้นหายใจยืนถือชามยาหยุดอยู่กับที่
สายลมโบกโบยมา เฉียวเจากลับรู้สึกว่าอากาศรอบตัวนิ่งสนิทราวกับเวลาหยุดเดินในเสี้ยวขณะนี้
“จากการสืบสวน ต้นเพลิงมาจากห้องครัวในเรือนสกุลเฉียว จุดนั้นลุกไหม้รุนแรงที่สุด ผลสรุปในตอนนี้คือเป็นอุบัติเหตุ”
อุบัติเหตุ?!
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังได้ยินคำว่า ‘อุบัติเหตุ’ ในใจเฉียวเจาหาได้เป็นดั่งคำกล่าวว่า ‘ฝุ่นควันจางหาย เรื่องราวคลี่คลาย’ แต่อย่างใด ทว่ากลับบังเกิดความรู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
ไฉนถึงเป็นอุบัติเหตุ ครอบครัวของบิดามารดานางล้วนจากไปหมดเพียงเพราะอุบัติเหตุไฟไหม้ในเรือนครัวเช่นนี้หรือ
น้ำตาร่วงรินลงมาตอนใดก็สุดรู้ หยดลงในชามยาเกิดเป็นวงกระเพื่อมเล็กๆ
เซ่าหมิงยวนคล้ายรับรู้ได้ เขาเหลือบตาขึ้นมองมา
เฉียวเจาพยายามกลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นกลับลงไป เดินยกชามยาออกมาบอกอย่างสงบนิ่ง “แม่ทัพเซ่า ดื่มยาก่อนเถอะเจ้าค่ะ”