หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 273
บทที่ 273
“สือซี ไม่ต้อง” เซ่าหมิงยวนยื่นมือรั้งสหายไว้ “ข้าไปเอง”
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง “เจ้าไปสอบถามจากที่ใดได้เล่า”
สหายรักไม่ได้อยู่เมืองหลวงมานานหลายปี เรื่องต่างๆ ภายในเขตพระราชฐานเรียกได้ว่ามืดแปดด้าน อีกประการหนึ่งผู้มีศักดิ์ฐานะเฉกเซ่าหมิงยวนพบปะกับขุนนางในพระราชวัง ทันทีที่รู้ถึงพระเนตรพระกรรณ นั่นจะเป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่หลวงเลยทีเดียว
“พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปพบเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินสักหน่อย” เซ่าหมิงยวนกล่าวประโยคนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วเดินปราดๆ ออกไป
หยางโฮ่วเฉิงทอดถอนใจ “ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินมีแต่ถิงเฉวียนที่อยากพบก็ได้พบ แต่ว่าถิงเฉวียนคงไม่ได้ไปที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลินกระมัง”
ฉือชั่นนั่งลงยกน้ำชากรอกเข้าปากด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ “เขามิใช่คนโง่สักหน่อย”
ขืนฮ่องเต้รู้ว่าเจียงถังกับกวนจวินโหวพบปะกัน สองคนนี้ล้วนไม่ได้อยู่เป็นสุข ฉะนั้นเรื่องแรกที่ขุนนางต่างพระเนตรพระกรรณเหล่านี้ต้องทำก็คือปิดบังเรื่องนี้ให้มิดชิด
แน่นอนว่ามีข้อแม้คือเจียงถังยอมพบเซ่าหมิงยวน
เจียงถังจะพบกับเซ่าหมิงยวนหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจน เจียงถังมิใช่คนโง่เช่นกัน ต่อให้เขาภักดีต่อฮ่องเต้ปานใดก็ต้องใคร่ครวญถึงเรื่องในภายภาคหน้าแล้ว
ฉือชั่นยกมือนวดหว่างคิ้วแล้วลอบถอนใจ ฉะนั้นถึงบอกว่าเรื่องพวกนี้ยุ่งยากใจเป็นที่สุด
คุณชายฉือมองเห็นเด็กสาวนั่งตัวตรงอยู่ เขาย่นหัวคิ้วแทบชนกัน “ในเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว เจ้าก็กลับไปเถอะ”
นางเป็นสตรีผู้หนึ่งจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องสับสนวุ่นวายพวกนี้ไปด้วยเหตุใด
“ข้าอยากรอแม่ทัพเซ่ากลับมาเจ้าค่ะ”
“รอเซ่าหมิงยวน? เจ้ารอเขาด้วยเหตุใดกัน คงไม่ได้คิดจะให้เขาพาเจ้าไปส่งกระมัง” ฉือชั่นลุกขึ้นยืน บอกด้วยน้ำเสียงรำคาญ “ไปเถอะ ข้าไปส่งเจ้าเอง”
เขาไม่ได้อยากอยู่กับนางสองต่อสองหรอก แค่เพราะว่านางอยู่ที่นี่ก็เกะกะขวางทางแต่เพียงอย่างเดียว
“ข้าอยากรู้ว่าพี่เฉียวเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เฉียวเจาไม่ขยับตัวสักนิด
ฉือชั่นสืบเท้าเข้าไปก้มลงมองเด็กสาวตาเขม็ง เขาประหลาดใจที่พบว่าขวัญตรงกลางกระหม่อมนางดูน่ารักนักหนา แต่น้ำเสียงกลับแข็งกระด้างอยู่บ้าง “เฉียวโม่เป็นอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย เจ้าอย่าวุ่นวายใจโดยใช่เหตุ”
เพราะอะไรนางต้องห่วงใยคนอย่างไร้สาเหตุพวกนี้อยู่ร่ำไป ก่อนหน้าตกลงกันไว้ว่าจะทำเนื้อกวางแผ่นทอดให้เขา กลับไม่เคยจำใส่ใจ
เฉียวเจาลุกพรวดขึ้นยืน นางเบิกตากว้างพลางกัดริมฝีปาก “เกี่ยวข้องหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพี่ฉือเจ้าค่ะ”
เพียงเพราะเปลี่ยนเปลือกนอกร่างใหม่ อยากจะใกล้ชิดคนผู้หนึ่งก็ยากเย็นเช่นนี้หรือ
เด็กสาวไม่ได้ร้องไห้ต่อหน้าฉือชั่น ทว่าแววทุกข์ระทมในดวงตานางกระทบเข้ากลางใจเขาโดยตรง ในสายตาเขาความทุกข์ระทมเหล่านั้นล้วนกลายเป็นน้ำตาไปแล้ว
หัวใจชายหนุ่มพลันเจ็บแปลบ เขายื่นนิ้วมือออกไปจิ้มๆ ตรงหางตาเฉียวเจาอย่างห้ามใจไม่อยู่พลางพูดพึมพำ “เจ้าอยากร้องไห้หรือ”
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งอยู่ด้านข้างมองจนอ้าปากค้าง ไม่กระมัง เขายังหายใจอยู่นะ ฉือชั่นก็เห็นเขาเป็นฉากประดับห้อง ลงมือแทะโลมสาวน้อยอย่างโจ่งแจ้งแล้วหรือนี่
“แค่กๆๆ” หยางโฮ่วเฉิงส่งเสียงไอดังๆ เตือนสติคนบางคน
ในฐานะสหายที่เล่นกันมาตั้งแต่ยังเดินเตาะแตะจนเติบใหญ่ เขาจึงรู้จักนิสัยของสหายรักดี
เจ้าคนผู้นี้มิใช่คนที่ยอมถูกผูกมัดด้วยกรอบประเพณีเด็ดขาด ทันทีที่คิดจะทำอะไร เขาไม่คำนึงถึงว่าคนอื่นจะหัวใจวายหรือไม่
ยามปลายนิ้วอุ่นจัดแตะที่หางตา เฉียวเจาประหลาดใจเช่นเดียวกัน นางตั้งสติได้แล้วเบือนหน้าหลบ พลางกล่าวอย่างเย็นชา “พี่ฉือล้อเล่นแล้ว”
ถึงนางจะร้องไห้ก็ไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าเขาเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นคงต้องรอถูกเขาหัวเราะเยาะแน่
ฉือชั่นชายตามองหยางโฮ่วเฉิงแวบหนึ่ง จากนั้นไม่แยแสว่าเขาอยู่ด้วย ยื่นมือคว้าข้อมือเฉียวเจาพร้อมกับเอ่ยถามนาง “เจ้าทุกข์ใจอะไรอยู่”
เฉียวเจาจ้องมองมือที่จับข้อมือตนไว้แล้วขมวดคิ้ว “พี่ฉือ ชายหญิงไม่พึงแตะเนื้อต้องตัวกัน”
ฉือชั่นแค่นเสียงเยาะอย่างขุ่นใจ “หลีเจา เจ้ามาบอกข้าเอาตอนนี้ว่าชายหญิงไม่พึงแตะเนื้อต้องตัวกัน ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ ตอนนั้นใครกันที่จับแขนเสื้อข้าไม่ยอมปล่อย แล้วใครกันที่ขี่ม้าตัวเดียวกับข้า ตอนนี้เจ้าพูดว่าชายหญิงไม่พึงแตะเนื้อต้องตัวกันรึ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ สายไปแล้ว”
เขาสุดจะทนแล้วจริงๆ เพราะอาการป่วยของเซ่าหมิงยวนต้องไปๆ กลับๆ หลายรอบในวันเดียวก็แล้วกันไปเถอะ ตอนนี้ยังโศกเศร้าจะเป็นจะตายเพราะเฉียวโม่อีก แล้วเขาล่ะ ในใจนางเขานับเป็นอะไรกัน
ใช่หรือไม่ว่าในใจของคนที่เขาใส่ใจ มักมีคนหรือเรื่องที่สำคัญกว่าเขาเสมอ
ความคิดที่ผุดขึ้นในหัวนี้ทำให้ฉือชั่นปวดร้าวตรงกลางอก
เฉียวเจารู้ว่าสู้แรงชายหนุ่มไม่ได้ ดิ้นขัดขืนไปก็ดูไม่งาม นางไม่ขยับกาย เพียงถามเขาอย่างสงบนิ่ง “แล้วพี่ฉือคิดจะเอาอย่างไรเจ้าคะ”
น้ำใจยากชดใช้คืน นางสมควรรู้แจ้งในจุดนี้แต่แรก
“สือซี…” หยางโฮ่วเฉิงอดเอ่ยปากขึ้นไม่ได้
นั่นสิ ตกลงเจ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่ ลวนลามแม่นางน้อยต่อหน้าข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ
“หุบปากเสีย!” ฉือชั่นหันหน้าไปตะคอกใส่สหายรัก จากนั้นจ้องมองเฉียวเจาตาเขม็ง เขาออกแรงดึงนางมาใกล้ๆ กล่าวเน้นเสียงหนักทีละคำ “ข้าต้องการเจ้า”
หยางโฮ่วเฉิงล้มตึงกับพื้นพร้อมเก้าอี้ บังเกิดเสียงดังสนั่นทว่าไม่อาจดึงความสนใจจากคนสองคนที่ประจันหน้ากันอยู่แม้แต่น้อยนิด
เฉียวเจาตะลึงลานไปหมด ฉือชั่นพูดว่าอะไรนะ ที่เขาพูดต้องไม่ใช่ความหมายอย่างที่นางเข้าใจแน่ๆ!
ใช่ มิหนำซ้ำยังอยู่ต่อหน้าพี่หยาง คนผู้นี้จะเป็นคนนอกคอกปานใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดจาเหลวไหลเช่นนี้
เฉียวเจากัดปลายลิ้นเบาๆ ทีหนึ่ง “พี่ฉือต้องการให้ข้าทำอะไรเจ้าคะ อ๋อ เนื้อกวางแผ่นทอดที่ตกลงกันไว้คราวก่อนใช่หรือไม่”
มีอะไรก็รีบๆ พูดให้จบสิ พูดครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้มันน่าตกใจเกินไปแล้วนะ
ฉือชั่นมองเฉียวเจานิ่งๆ เมื่อพูดออกจากปากไปแล้วก็ราวกับหินก้อนใหญ่ที่กดทับตรงหน้าอกเพราะหลีกหนีความจริงมาโดยตลอดถูกยกออกไป ใจเขากลับเยือกเย็นลง
จริงสิ เขามัวยุ่งยากใจอะไรอยู่
ในเมืองเล็กๆ ทางทิศใต้ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิครานั้น มีเด็กสาวนางหนึ่งวิ่งมาตรงหน้าคว้าชายเสื้อเขาไว้ กล่าวว่า ‘ท่านอา ช่วยข้าด้วย’
เขาเคยเห็นนางเดินหมาก เคยเห็นนางวาดภาพ เคยเห็นนางคาดการณ์อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมประหนึ่งมีญาณหยั่งรู้ เคยเห็นนางในลักษณาการต่างๆ ที่สตรีอื่นไม่มี
แม้นางยังอายุไม่ถึงสิบสี่ แต่นั่นหาใช่เขาบังเกิดความคิดอกุศลโสมมต่อเด็กสาวจากจิตใจที่บิดเบี้ยว หากบังเอิญว่าที่เขาชมชอบคือนาง ไม่ว่านางจะอายุสิบสามหรือว่าสามสิบ เขาได้พบกับคนที่ดีที่สุดแล้ว เช่นนั้นยังมีอะไรน่าหลีกหนีอีกเล่า
จะนอกคอกผิดประเพณีหรือปั่นป่วนวุ่นวายดุจพลิกฟ้าคว่ำดินอันใดก็ช่าง คนที่เขาต้องการก็คือนาง
ฉือชั่นแย้มริมฝีปาก “หลีซาน”
“อื้อ”
เขากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าฟังให้ดี ข้าไม่ใช่ต้องการให้เจ้าทำอะไร ที่ข้าต้องการคือเจ้า ข้าชมชอบเจ้า”
หยางโฮ่วเฉิงที่หล่นลงไปนั่งกับพื้นแล้วลืมตะกายตัวลุกขึ้นยกมือปิดหน้า
สวรรค์! คนที่สารภาพรักกับสตรีต่อหน้าคนอื่น ใต้หล้านี้นอกจากสือซีแล้วเกรงว่าคงหาไม่พบเป็นคนที่สอง
ยางอายเล่า เจ้าคนผู้นี้จะมียางอายสักนิดได้หรือไม่
ฉือชั่นคิดในใจ “…” จะมียางอายไปด้วยเหตุใด เขาอยากมีหลีซานต่างหาก
เฉียวเจาลืมแสดงท่าทีใดๆ ไปชั่วขณะ
ข้าชมชอบเจ้า…
คลับคล้ายว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนเคยพูดประโยคนี้ ใช่แล้ว เป็นท่านสิบสามแห่งกององครักษ์จินหลิน เจียงหย่วนเฉา
ตอนเป็นเฉียวเจา นางออกเรือนแล้วและมีชีวิตอยู่ถึงอายุยี่สิบเอ็ดปี ยังไม่เคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน บัดนี้พอกลายเป็นหลีเจาที่ยังมีวัยไม่ถึงสิบสี่ กลับได้ยินถึงสองครั้งสองครา
แม่นางเฉียวคิดคำนึงในใจ มีบุรุษรุมตอมเช่นนี้ ข้าหาได้ต้องการไม่