หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 276
บทที่ 276
ฉือชั่นเอามือหนึ่งยันกับเท้าแขนเก้าอี้ กล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อย “ถิงเฉวียน ข้าไปด้วย”
นับแต่นี้ต่อไปเขาจะจับตาดูผักกาดขาวที่เก็บมาไม่ให้คลาดสายตา ใครกล้าแย่งกับเขา เขาจะแลกชีวิตกับคนผู้นั้น
“สือซี…” เซ่าหมิงยวนชักปวดหัว พาไปคนหนึ่งยังพอทำเนา นี่ยังจะให้พาไปเพิ่มอีกคน? ที่นั่นเป็นคุกหลวง นึกว่าไปเดินตลาดหรือไร
ฉือชั่นทำหน้าปึ่งชา “อะไรกัน ข้ามแม่น้ำได้ก็จะรื้อสะพานแล้วหรือ ข้ามาที่นี่แต่เช้าตรู่เพื่อใครกัน”
ที่น่าโมโหที่สุดคือเซ่าหมิงยวนอยากพาหลีเจาไป แต่ไม่อยากพาเขาไป เจ้าคนผู้นี้รู้หรือไม่ว่าตนเองสนิทกับใครมากกว่า
“ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้ไปด้วยกัน” เซ่าหมิงยวนรู้นิสัยสหายรักดี เขาจึงรับปากอย่างจนปัญญา จากนั้นมองไปทางหยางโฮ่วเฉิง
เขาโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องมองข้า ข้าไม่ไปหรอก”
เขาต่างจากสหายรักวัยเยาว์เหล่านี้ เขายังปกติดีอยู่!
เมื่อตกลงเรื่องไปเยี่ยมนักโทษวันพรุ่งนี้ได้เรียบร้อย ฉือชั่นถึงลุกขึ้นยืน “สมควรกลับกันได้แล้ว หลีซาน ข้าพาเจ้าไปส่ง”
เซ่าหมิงยวนอึ้งไป จากนั้นมองไปทางเฉียวเจา
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ไม่รบกวนพี่ฉือเจ้าค่ะ พวกเราคนละทางกัน พี่ฉือกับพี่หยางกลับไปด้วยกันเถอะ”
หยางโฮ่วเฉิงกะพริบตาปริบๆ เขายังมีเรื่องต้องพูดกับเซ่าหมิงยวน
“ข้าไม่รีบร้อนกลับวัง วนอ้อมไปได้” ฉือชั่นบอกเสียงราบเรียบ
นัยน์ตาของเซ่าหมิงยวนเผยรอยประหลาดใจอย่างชัดเจน
เฉียวเจาอดกุมขมับไม่ได้ นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลังฉือชั่นเจาะกระดาษกรุหน้าต่างชั้นนั้นขาดแล้ว จะเป็นพวกช่างตื๊อและเผด็จการเช่นนี้
“ไม่จำเป็นจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าพาสาวใช้กับสารถีมาด้วย”
ฉือชั่นสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ยื่นมือไปจับชายเสื้อของนางไว้ “เชื่อฟัง ไปกันเถอะ”
เซ่าหมิงยวนซึ่งมองดูอยู่เฉยๆ เข้าใจอะไรบางอย่างได้ทีละน้อย
ที่แท้สือซีชมชอบคุณหนูหลี
เขาน่าจะเดาได้แต่แรก แต่เพราะครั้งนั้นสือซีปากไม่ตรงกับใจถึงมองข้ามไป
แม่ทัพหนุ่มหลุบตาลง สายตาจับอยู่ที่นิ้วมือที่เห็นข้อกระดูกชัด เล็บของเขาเป็นสีขาวแกมเขียวจางๆ ภาพเข็มเงินที่แทงลงไปตรงนั้นราวกับปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา ทว่าคำปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กสาวทำให้เขาหวนนึกถึงความเจ็บปวดนั่นไม่ออกว่าเป็นอย่างไร จำได้เพียงเสียงพูดสงบนิ่งหากแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนอยู่ในที
เจ็บอยู่บ้าง อดทนสักนิด… ครั้งนี้ไม่เจ็บแล้ว…
เซ่าหมิงยวนคิดว่าชาตินี้เขาอาจจะไม่มีวันลืมเลือนสองประโยคนี้ได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดกับเขาเช่นนี้ และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
เฉียวเจายกมือดึงชายเสื้อคืนอย่างใจเย็น กล่าวกับฉือชั่นด้วยสีหน้าขึงขัง “พี่ฉือ ในแผ่นดินนี้ข้าเชื่อฟังคำพูดของบุรุษเพียงคนเดียวเจ้าค่ะ”
“ใคร” ฉือชั่นถาม
เซ่าหมิงยวนกับหยางโฮ่วเฉิงมองไปทางเฉียวเจาเช่นกัน
“บิดาข้า” แม่นางเฉียวตอบเสียงเรียบ จากนั้นย่อกายคารวะฉือชั่นแล้วก้าวขาเดินจากไป
ฉือชั่นยืนนิ่งอยู่กับที่เป็นนาน
หยางโฮ่วเฉิงอดผลักเขาไม่ได้ “สือซี เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
นี่สือซีโดนคุณหนูหลีปฏิเสธอีกครั้งหนึ่งแล้วกระมัง จะอาละวาดหรือไม่
ดวงตาของฉือชั่นทอประกายวูบหนึ่ง เขายกมือขึ้นลูบปลายคางพลางพูดงึมงำ “มีเหตุผลอยู่บ้าง” ว่าแล้วก็ไม่บอกลากับสหายทั้งสอง สาวเท้าเดินออกไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย พูดกับเซ่าหมิงยวนที่นิ่งเงียบอยู่ “สือซีคงไม่ได้โมโหจนสติสตังหลุดลอยไปแล้วกระมัง”
เซ่าหมิงยวนไม่เปล่งเสียงพูด
หยางโฮ่วเฉิงถอนหายใจ
วันนี้เกิดอะไรขึ้นถึงสติสตังหลุดลอยกันไปหมด?
“ถิงเฉวียน วันนี้สือซีโดนผีเข้าแล้ว”
“หือ?”
“เขาสารภาพรักกับคุณหนูหลีน่ะสิ มิหนำซ้ำยังทำต่อหน้าข้าด้วย”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเรียบเฉย “อย่างนั้นหรือ ในที่สุดสือซีก็ได้พบกับสตรีที่ชมชอบอย่างหาได้ยาก เป็นเรื่องดียิ่ง”
“เอ๊ะ? ไฉนมีแต่ข้าที่รู้สึกว่าคุณหนูหลียังเด็กเกินไป”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “นางย่อมจะเติบใหญ่ขึ้น”
แต่ไรมาเขาไม่เคยรู้สึกว่าคุณหนูหลีอายุยังน้อย ถึงขั้นรู้สึกว่าเทียบกับคุณหนูหลีแล้ว ฉือชั่นสหายรักต่างหากเป็นคนที่ทำตัวเหมือนเด็กอมมือ
“พวกเจ้าพูดแบบเดียวกันเลยจริงๆ” หยางโฮ่วเฉิงเดินโคลงศีรษะกลับไป
เซ่าหมิงยวนนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองต้นไม้ร่มรื่นด้านนอก เขารำพึงในใจอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ภายหลังว่า ดูเหมือนจะลืมถามหยางเอ้อร์ไปว่าคุณหนูหลีตอบรับหรือว่าปฏิเสธกันแน่
เขาเดินเลี้ยวเข้าห้องหนังสือ เอาใบสั่งยาที่เฉียวเจาเขียนให้ก่อนหน้านี้ออกมา ค่อยหยิบสารของภรรยาในหีบไม้แดงฉบับนั้นออกมาอย่างทะนุถนอม
ใบสั่งยากับสารของภรรยาวางเรียงกัน แผ่นหนึ่งคลับคล้ายยังได้กลิ่นหอมของหมึก ส่วนอีกแผ่นมีร่องรอยของกาลเวลา
เซ่าหมิงยวนเหยียดนิ้วมือเรียวยาวออกลูบผ่านตัวอักษรสละสลวยในสารอย่างเชื่องช้าไปหยุดอยู่ที่ใบสั่งยา
ต่อให้เป็นการลอกเลียน จะลอกเลียนได้เหมือนกันถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ
เขาฉุกคิดถึงตอนนั่งอยู่ใต้ระแนงเถาองุ่นที่เรือนหลังของหอชุนเฟิงในวันฟ้าใสแดดงาม เด็กสาวให้เขาหยิบกระดาษกับพู่กันมา นางมององครักษ์หน้าตาดาษดื่นเพียงปราดเดียวก็วาดภาพเหมือนขององครักษ์ออกมาได้ในเวลาชั่วประเดี๋ยวโดยไม่หยุดพัก
ตอนนั้นนางบอกว่า ‘เรื่องที่คนอื่นเห็นแล้วลืมจึงทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้’
คุณหนูหลีเห็นคนแวบหนึ่งก็วาดภาพคนผู้นั้นได้เหมือนตัวจริง เช่นนั้นเคยเห็นลายมือคนอื่นแล้วเขียนตามอย่างได้ราวกับถอดแบบก็ไม่ใช่เรื่องแปลกกระมัง
นางเป็นสตรีที่พิเศษผู้หนึ่งจริงๆ
รอยยิ้มตรงมุมปากเซ่าหมิงยวนพลันชะงักค้างอย่างตกใจ รู้สึกว่าตนเองให้ความสนใจเด็กสาวผู้นั้นมากเกินไป เขาเก็บสารของภรรยากับใบสั่งยาอย่างเงียบๆ แล้วลุกออกจากห้องหนังสือ
หลังฉือชั่นออกจากจวนกวนจวินโหวแล้วไม่ได้กลับไปที่วังองค์หญิงใหญ่ แต่เดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม
“คุณชาย เดินผิดทางแล้วกระมังขอรับ” เถาเซิงเด็กรับใช้เอ่ยเตือน
ฉือชั่นขึงตาใส่เขา “ปากมาก!”
เถาเซิงรีบปิดปากสั่นศีรษะ
“เรื่องในวันนี้ห้ามพูดกับคนอื่นแม้แต่คำเดียว”
“คุณชายวางใจได้ ข้าน้อยปิดปากแน่นสนิทแน่นอน ตีให้ตายก็ไม่พูดขอรับ”
สวรรค์ คุณชายของข้ามีความรักเป็นครั้งแรก แต่กลับบอกใครไม่ได้ ข้าต้องอึดอัดใจตายแน่!
ฉือชั่นหยุดฝีเท้า
เถาเซิงเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดพึมพำ “สำนักราชบัณฑิต?”
เขามองคุณชายของตนอย่างหลากใจพลางลอบคิดคำนึง ไฉนคุณชายถึงมาสถานที่เช่นนี้
ฉือชั่นยกเท้าเตะเถาเซิงทีหนึ่ง “ไปสิ ถามดูว่าพวกใต้เท้าของสำนักราชบัณฑิตล้วนเลิกงานกันเมื่อไร”
“ขอรับ” เถาเซิงกุลีกุจอวิ่งเข้าไปสอบถามกับคนเฝ้าประตู ไม่นานนักก็วิ่งกลับมา “คุณชาย ถามได้เรื่องแล้วขอรับ”
“เมื่อไร”
เถาเซิงวิ่งอย่างรีบเร่งจนต้องปาดเหงื่อออก “เอ่อ…คนเฝ้าประตูบอกว่าใต้เท้าเหล่านั้นอยากเลิกงานเมื่อไรก็เมื่อนั้นขอรับ”
ฉือชั่นหน้าบึ้งทันที เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ
“ช่างเถอะ เจ้าไปถามตรงๆ เลยว่าอาลักษณ์หลีที่มีเรือนอยู่ที่ตรอกซิ่งจื่อมักเลิกงานยามเท่าไร”
เถาเซิงยืนนิ่งไม่ขยับ
“มีอะไร” เรียวคิ้วได้รูปของฉือชั่นกระดกขึ้นน้อยๆ
“คุณชาย เช่น…เช่นนี้ไม่ดีกระมังขอรับ” ท่านชอบพอบุตรสาว ก็มาหาบิดาของนางอย่างนี้ ไม่กลัวโดนตีขาหักหรือ
“ให้เจ้าไปก็ไปสิ ขืนพูดพล่ามอีกจะหักขาเจ้าทิ้งแล้วขายทิ้งไปเสีย!”
เถาเซิงได้ยินแล้วรีบวิ่งไปถาม เขาย้อนกลับมาอย่างรวดเร็วมาก “ได้คำตอบแล้วขอรับ อาลักษณ์หลีเลิกงานแล้ว ตอนนี้กำลังดื่มชาอยู่ในร้านน้ำชาอู่เว่ย”
“…” ท่านว่าที่พ่อตาเป็นขุนนางที่ทำตามอำเภอใจเหลือเกิน
“ไปกัน ไปที่ร้านน้ำชาอู่เว่ย”
ยามอากาศร้อนตามร้านน้ำชามักเนืองแน่นวุ่นวายไปด้วยผู้คน พอฉือชั่นก้าวเข้าไป โถงร้านก็ตกอยู่ในความเงียบทันใด
เขาบอกกับผู้รับใช้ที่เข้ามาต้อนรับด้วยท่าทางเยือกเย็นเป็นปกติ “พาข้าไปห้องส่วนตัวชั้นบน” ตอนขึ้นบันไดไปแล้ว เขายัดก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งให้ผู้รับใช้ “บอกข้ามาสิว่าอาลักษณ์หลีอยู่ห้องใด”