หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 28
ใบป้อเหอนุ่มบางส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจรวยรินออกมา มันขึ้นดกเป็นกอเช่นนี้ พอเข้าฤดูร้อนก็จะไล่แมลงได้
เขาเดินไปอีกทางก็เห็นเถาดอกจินอิ๋น** เลื้อยพันบนระแนง ตอนนี้ผลิบานแล้วเป็นสีเหลืองทองแกมขาวบริสุทธิ์ ออกดอกเป็นคู่เคียงข้างกันเป็นเงาตามตัว
ดอกจินอิ๋นมีอีกชื่อหนึ่งว่าเถายวนยาง
เซ่าหมิงยวนรู้สึกราวกับมองเห็นหญิงงามประหนึ่งดอกพุดตานขาวผู้นั้น
นางอยู่ในเรือนที่เงียบเชียบหลังนี้นานสองปี ปลูกต้นป้อเหอกลิ่นหอมเย็นไล่แมลงกับเถายวนยางแก้ร้อนในขับพิษด้วยสองมือเรียวยาวขาวกระจ่าง
ยามนางหยุดยืนมองเถายวนยางเถานี้เคยรู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่ นางเป็นคนอย่างไรนะ
เซ่าหมิงยวนยกมือขึ้นเอานิ้วลูบกลีบดอกไม้เบาๆ
ฝ่ามือเขาถือดาบถือทวนเป็นประจำ ผิวด้านแข็งเป็นแผ่นหนาและหยาบกร้านมาก ทำให้กลีบดอกไม้สีขาวสะอาดหลุดร่วงลงมา
ชายหนุ่มรีบดึงมือคืน หลุบตาลงมองกลีบดอกไม้ที่หล่นอยู่บนพื้น มุมปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มขื่นๆ
คนอย่างเขาเดิมก็ไม่สมควรตกแต่งภรรยา ทำร้ายทั้งคนอื่นทั้งตนเอง ยามนี้นับว่ากรรมตามสนองแล้ว
เซ่าหมิงยวนยืนพิงระแนงดอกไม้แล้วแหงนคอมองฟ้า
ยามนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งอัสดง แสงสนธยางามเจิดจ้าที่เริ่มหม่นสลัวไร้รัศมีกล่าวอำลาพสุธาอย่างปราศจากสุ้มเสียง
ทั้งสี่ด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงร้องแผ่วเบา ลมโชยผ่านหอบกลิ่นป้อเหอลอยมา
เซ่าหมิงยวนยืดตัวตรง ยกมือปัดกลีบดอกไม้บนหัวไหล่ออกแล้วย่างเท้าเดินไปข้างนอก
เวลานี้ พวกคุณหนูของจวนตะวันตกล้วนเลิกเรียนแล้ว เรื่องแรกที่ทำหลังกลับถึงจวนก็คือไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่เรือนชิงซง ส่งผลให้ข้างในหอครึกครื้นขึ้นมาโดยพลัน
วันนี้เรียนเขียนอักษรกระมัง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองหลานสาวสามคนอย่างยิ้มแย้ม
คนที่อายุมากที่สุดในบรรดาคุณหนูสามคนคือคุณหนูใหญ่หลีเจี่ยว นางเพิ่งอายุเต็มสิบหก ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโก่ง งามสง่าพริ้มเพราอย่างมาก และเป็นหลานสาวที่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโปรดปรานมากที่สุด
คุณหนูอีกสองคนล้วนเป็นสายเลือดของนายหญิงรองหลิวซื่อ คนที่สวมชุดสีเหลืองคือคุณหนูสี่หลีเยียน อายุเท่ากับหลีเจา ส่วนคนที่สวมชุดสีชมพูมีวัยแค่สิบขวบเศษ คือคุณหนูหกหลีฉาน
พอฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไต่ถาม หลีฉานซึ่งอ่อนวัยที่สุดก็อ้าปากตอบ ใช่เจ้าค่ะ เพิ่งเปลี่ยนอาจารย์สอนเขียนอักษรคนใหม่ เข้มงวดน่าดูเลยเจ้าค่ะ วันนี้ยังตีมือข้าด้วย
นางยื่นมือขาวๆ นุ่มๆ ไปให้ท่านย่าดู ตรงฝ่ามือมีรอยแดงจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้น แสดงว่าหลานฉานยังพยายามไม่มากพอ อาจารย์คนใหม่เป็นท่านเซียงจวินเชิญมาด้วยตนเอง พวกเจ้าตั้งใจร่ำเรียนกับเขา การประชันฝีมือในวันประสูติของพุทธองค์ปีนี้จะได้แสดงฝีมือสักครา
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเลื่อมใสลัทธิเต๋า แต่ไทเฮาฝักใฝ่ในพุทธะ เป็นเหตุให้วัดวาอารามในเมืองหลวงล้วนรุ่งเรืองมาก
วันประสูติของพุทธองค์ทุกปี สตรีจากจวนต่างๆ จะนำเงินเติมตะเกียงน้ำมันติดตัวเต็มที่ รวมถึงคัมภีร์พระธรรมที่คัดลอกเสร็จแล้วไปร่วมงานสรงน้ำพระที่วัดต้าฝู
คัมภีร์พระธรรมเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นสตรีที่คัดลอกด้วยตนเอง แต่ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่มันกลายเป็นโอกาสอวดลายมือของสตรีจากจวนต่างๆ ไปเสียแล้ว
เหตุผลมิใช่อื่นใด บนยอดเขาแห่งหนึ่งบริเวณเดียวกับวัดต้าฝูยังมีอารามซูอิ่งอีกแห่งหนึ่ง เป็นที่พำนักของอดีตพระราชธิดาองค์โตซึ่งตัดขาดจากทางโลกแล้ว นับตามลำดับศักดิ์ฮ่องเต้พระองค์นี้ยังต้องเรียกขานนางว่าเสด็จอาด้วยซ้ำไป วันประสูติของพุทธองค์ทุกปี ภิกษุในวัดต้าฝูจะคัดเลือกคัมภีร์พระธรรมที่ลายมือโดดเด่นส่งไปที่นั่น
ทุกๆ ปีคัมภีร์พระธรรมที่คัดลอกโดยสตรีเรือนใดเข้าตาภิกษุวัดต้าฝูและถูกส่งไปถึงเบื้องหน้าองค์หญิงใหญ่พระองค์นั้น นั่นจะเป็นการเชิดหน้าชูตาครั้งยิ่งใหญ่
วันประสูติของพุทธองค์ใกล้จะถึงเต็มที กอดบาทพระเมื่อจวนตัว* ก็สายเกินไปแล้วเจ้าค่ะ หลีฉานเบ้ปาก
คุณหนูสี่หลีเยียนยื่นมือไปหยิกแก้มนางทีหนึ่ง เวลาปกติใครใช้ให้เจ้าขี้เกียจเองเล่า
หลีฉานเบี่ยงหลบพร้อมหัวร่อคิกคัก ถึงอย่างไรเพิ่มข้าอีกคนก็ไม่มากขึ้น ขาดข้าไปคนก็ไม่น้อยลง ยังมีพี่เจี่ยวกับพี่เจียวมิใช่หรือเจ้าคะ
‘พี่เจี่ยว’ ที่หลีฉานเรียกขานหมายถึงคุณหนูใหญ่หลีเจี่ยว ส่วน ‘พี่เจียว’ ก็คือคุณหนูรองหลีเจียวของจวนตะวันออก
จวนตะวันออกมีคุณหนูสองคน หลีเจียวเป็นสายเลือดภรรยาเอก ได้รับความโปรดปรานจากท่านเซียงจวินฮูหยินผู้เฒ่าเจียงมากที่สุด พูดได้ว่าพวกคุณหนูของจวนตะวันตกไปที่สำนักศึกษาหญิงที่จวนตะวันออกตั้งขึ้นล้วนเปรียบได้ดั่งสหายเล่าเรียนขององค์รัชทายาท
สำหรับคุณหนูห้าหลีซูซึ่งเป็นสายเลือดอนุนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงมากนัก
น้องฉานล้อข้าเล่นอีกแล้ว หลีเจี่ยวหยักยิ้มกล่าวอย่างอ่อนหวาน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้าปากพูดขึ้นท่ามกลางเสียงสนทนาอย่างชื่นมื่นกลมเกลียวกัน หลานเจากลับมาแล้วนะ
ภายในห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตก
คุณหนูสี่หลีเยียนกับคุณหนูหกหลีฉานอดหันไปมองหลีเจี่ยวไม่ได้
น้องเจากลับมาแล้วหรือเจ้าคะ หลังจากหายตกตะลึงในทีแรก หลีเจี่ยวก็ทำหน้าตื่นเต้นยินดี ทว่ามือของนางที่ซุกไว้ใต้แขนเสื้อสีม่วงอ่อนกำเข้าหากันแน่น
มีคนพานางมาส่ง
ดีเหลือเกิน ข้ายังนึกว่า… หลีเจี่ยวกล่าวไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็ขบริมฝีปาก น้ำเสียงสั่นเครือ
หลีเยียนกับหลีฉานสบตากันแล้วต่างไม่เปล่งเสียงพูด
เอาล่ะ พวกเจ้าสามคนกลับไปพักเถอะ
พอออกจากเรือนชิงซง หลีเจี่ยวก็เอ่ยถามหลีเยียนกับน้องสาว น้องเยียนกับน้องฉานจะไปเยี่ยมน้องเจาพร้อมกับข้าหรือไม่
หลีเยียนรู้สึกปลายคางแข็งเกร็ง พวกข้าต้องกลับเรือนจินหรงไปคารวะท่านแม่ก่อนเจ้าค่ะ
นั่นสิ ใครจะอยากไปเยี่ยมกัน ถูกล่อลวงไปแล้วยังกลับมาอีก น่าขายหน้า…
น้องฉาน! หลีเยียนขึงตาปรามน้องสาว
เมื่อสองสาวพี่น้องเดินมาถึงทางแยกแล้วก็กล่าวลาหลีเจี่ยว
หลีเจี่ยวมองตามแผ่นหลังของพวกนางที่ห่างไปไกลแล้วเหยียดมุมปาก นางกลับถึงเรือนหยาเหอแล้วไปคารวะเหอซื่อก่อน จากนั้นเอ่ยว่าจะไปเยี่ยมหลีเจา
เหอซื่อย่อมต้องห้ามนางไว้ ไม่ต้อง เจาเจาเข้านอนไปแล้ว
เช่นนั้นพรุ่งนี้ลูกค่อยไปเยี่ยมอีกทีนะเจ้าคะ
หลีเจี่ยวกลับถึงเรือนฝั่งขวาเข้าห้องไปแล้ว สีหน้านางถึงบึ้งตึงลง
คุณหนูของข้า ไยถึงหัวเสียแล้วล่ะเจ้าคะ หญิงกลางคนวัยราวสามสิบเศษนางหนึ่งโอบกอดหลีเจี่ยว
นางมุ่นมวยผมเรียบตึงเป็นมัน เสียบปิ่นหยกเขียวมรกตแบบสองขาตรึงไว้ ดูหมดจดเรียบร้อยสบายตา
แม่นม ข้าเพิ่งกลับจากเรือนท่านย่า ได้ยินท่านบอกว่าคุณหนูสามกลับมาแล้ว เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียดที
เรื่องใหญ่อย่างนี้แม่นมย่อมให้ความสนใจเป็นธรรมดา นางเล่าให้หลีเจี่ยวฟังโดยไม่ตกหล่น
หลีเจี่ยวฟังจบแล้วหลุบตาลงไม่พูดไม่จา
แม่นมพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางเด็กร้ายกาจผู้นั้น ไฉนไม่ตายอยู่ข้างนอกไปเสียเลย นางกลับมาเช่นนี้ ยังมิใช่เป็นการให้ร้ายคุณหนูหรือเจ้าคะ
หลีเจี่ยวพลันคลายยิ้ม แม่นม ไม่เป็นไร นางกลับมาก็ดีเหมือนกัน
วันถัดมาอรุณรุ่งทอแสงรำไร เซ่าหมิงยวนพาองครักษ์ประจำตัวกองหนึ่งออกจากเมืองไปเงียบๆ
ยามดวงตะวันสาดแสงแผ่ไออุ่นเต็มที่ไปทั่วเมืองหลวง ข่าวน่าตะลึงพรึงเพริดข่าวหนึ่งก็แพร่ออกไปอย่างอึกทึกครึกโครม
ครอบครัวของใต้เท้าเฉียวอดีตข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายที่กลับเรือนเดิมไปไว้ทุกข์ประสบกับเหตุไฟไหม้ มีแค่คุณชายเฉียวที่ออกไปเยี่ยมสหายเคราะห์ดีรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องเสียโฉมจากการช่วยน้องสาวคนเล็กออกมา ขณะนี้เขามาขออาศัยอยู่ในจวนเสนาบดีโค่วซึ่งเป็นญาติฝ่ายมารดา
มาตรว่าใต้เท้าเฉียวต้องลาจากแวดวงชาวเมืองหลวงชั่วคราวเพื่อไว้อาลัยให้บุพการีตามธรรมเนียมผู้เป็นขุนนาง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขุนนางใหญ่ลำดับหลักขั้นสองผู้ทรงเกียรติ มิพักเอ่ยถึงว่ายังเป็นบุตรชายของอาจารย์เฉียวผู้โด่งดังทั่วหล้า ครั้นคนทั้งตระกูลต้องพบกับบทลงเอยเฉกนี้ สร้างความสะทกสะท้อนใจให้แก่ผู้คนในเมืองหลวงไม่รู้ตั้งมากมายเท่าใด
หากที่น่าสะเทือนใจยิ่งกว่าคือหีบศพบุตรสาวโทนของใต้เท้าเฉียวซึ่งเป็นภรรยาของกวนจวินโหวยังอยู่ระหว่างทางนำกลับเมืองหลวงพร้อมกับของเหล่าทหารพลีชีพ
สกุลเฉียวช่างแสนเคราะห์ร้ายโดยแท้ คนนับไม่ถ้วนล้วนคิดอย่างนี้
ใต้เท้าโค่วเสนาบดีกรมอาญากราบทูลขอพระราชานุญาตสืบสวนเหตุไฟไหม้จวนสกุลเฉียวให้ถึงที่สุด ฮ่องเต้หมิงคังตอบตกลงและมีบัญชาแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ไปสืบหาความจริงให้กระจ่างที่อำเภอจยาเฟิง
ในระหว่างที่เรื่องของสกุลเฉียวกำลังเป็นที่สนใจของผู้คน คนจากจวนฉางชุนป๋อลอบไปเยือนถึงจวนสกุลหลี ยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างบุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อกับคุณหนูใหญ่สกุลหลี
** ดอกจินอิ๋น หมายถึงดอกสายน้ำผึ้ง
* กอดบาทพระเมื่อจวนตัว มาจากสำนวน ‘ยามปกติไม่จุดธูปไหว้ ยามจวนตัวไซร้ค่อยกอดบาทพระ’ หมายถึงไม่เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อเรื่องมาถึงตัวแล้วถึงเพิ่งจะมาคิดหาหนทางแก้ไข