หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 280
บทที่ 280
เฉียวโม่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยปากพูด “ถ้อยคำที่ท่านโหวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ไม่จำเป็นต้องถือเป็นจริงเป็นจัง”
เซ่าหมิงยวนงงงันไปเล็กน้อย เห็นชัดว่ายังคิดตามไม่ทันว่าเฉียวโม่หมายถึงเรื่องใด
เฉียวโม่ยกยิ้ม “ท่านโหวเคยกล่าวว่าชั่วชีวิตนี้จะมีน้องเจาเป็นภรรยาผู้เดียว…”
เซ่าหมิงยวนแจ่มแจ้งในบัดดล เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
“ทำเช่นนี้ไปเพื่ออันใดกัน ข้ารู้แล้วว่าท่านโหวเป็นคนอย่างไร คนตายไปเหมือนดั่งตะเกียงดับ ท่านจะยึดติดกับสิ่งไร้ความหมายเหล่านี้แล้วใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่าไปไย”
เซ่าหมิงยวนหลุบตานิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนกล่าว “นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำเพื่อเฉียวเจาได้”
เขาไม่เคยปกป้องนาง ไม่เคยให้ความรักแก่นาง เขาเป็นสามีที่ย่ำแย่ที่สุดในใต้หล้า แล้วจะแต่งงานมีลูกมีเต้าอย่างสบายใจหลังสังหารนางเองกับมือได้เช่นไร
เขาไม่ได้ไถ่บาป เพราะไม่ว่าอย่างไรเฉียวเจาก็ไม่ฟื้นชีวิตคืนมา เขาแค่อยากอยู่ตัวคนเดียวไม่แปดเปื้อนมัวหมอง ภายภาคหน้าหากได้พบกันในปรโลก นางจะเป็นภรรยาคนเดียวของเขา ด้านข้างป้ายวิญญาณเขาในศาลบรรพชนก็ไม่ต้องเว้นที่ว่างให้คนอื่น
เฉียวโม่มองเซ่าหมิงยวนอย่างพินิจแล้วกล่าวทอดถอนใจ “ท่านโหวไม่รู้ว่าน้องสาวคนโตของข้าเป็นคนอย่างไร นางเป็นเด็กสาวที่เปิดเผยใจกว้างมาก ข้าเชื่อว่านางไม่เคยกล่าวโทษท่านเลย”
“ข้ารู้” เซ่าหมิงยวนกำมือเป็นหมัดแน่น เขารู้ว่าภรรยามิใช่สตรีสามัญ หาไม่แล้วไม่มีทางเขียนสารฉบับนั้นถึงเขาหลังจากเขาออกจากเมืองหลวงไปทำศึกในวันพิธีมงคล
“ฉะนั้นดวงวิญญาณของน้องเจาบนสวรรค์คงไม่หวังให้ท่านโหวทรมานตนเองเช่นนี้”
“พี่เฉียวโม่ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว” เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม
“อย่างนั้นถ้าเกิดท่านโหวพบกับหญิงสาวที่ทำให้จิตใจหวั่นไหวเล่า ท่านยังหนุ่มแน่นถึงเพียงนี้ ชีวิตแสนยาวไกลปานนั้น จะพันธนาการตนไว้เฉกนี้ไปไย”
“ไม่ใช่…”
เซ่าหมิงยวนจะบอกว่าไม่ใช่พันธนาการ เขายินยอมพร้อมใจเอง จะรู้สึกว่ามันเป็นพันธนาการได้อย่างไร
ทว่าเฉียวโม่ตัดบทเขา “ท่านโหวรับรองได้ว่าตนเองจะไม่มีวันเปลี่ยนใจหรือ”
สหายรักของเขารวมถึงตัวเขาเองประสบเคราะห์ร้ายมากเกินไป เขาไม่อยากให้เซ่าหมิงยวนเป็นเช่นเดียวกัน
ยามเฉียวโม่เอ่ยคำนี้ ในห้วงความคิดของเซ่าหมิงยวนมีเงาร่างเด็กสาวถือเข็มเงินข่มขู่เขาด้วยท่าทางจริงจังผุดขึ้นกะทันหัน
ชีวิตนี้หัวใจจะไม่หวั่นไหวไปกับหญิงอื่นหรือ บางทีอาจทำได้ยากมาก
เขาไม่ใช่ผู้ทรงศีล เป็นเพียงปุถุชนที่ยังมีกิเลส บางทีใจเขาอาจไหวเอนสั่นคลอนบ้างเป็นบางครั้ง
แต่ก็จะหยุดอยู่แค่นี้เท่านั้น
มันยากมากที่คนผู้หนึ่งจะควบคุมอารมณ์ที่สั่นไหวในชั่วพริบตา แต่สามารถควบคุมสติของตนเองไว้ได้
เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างปล่อยวาง “สิ่งที่พี่เฉียวโม่กล่าวข้าล้วนเข้าใจ กระนั้นข้าคิดว่าไม่ว่าจะแต่งงานมีลูกหรืออยู่ตัวคนเดียว ให้เป็นไปตามแต่ใจก็แล้วกัน”
เขาสุดปัญญาจะโน้มน้าวตนเองให้ก้าวข้ามปมในใจจากการฆ่าภรรยาเองกับมือไปแต่งงานมีลูกได้ เช่นนั้นต่อให้คนใต้หล้าต่างเห็นว่าอยู่ตัวคนเดียวเงียบเหงาโดดเดี่ยว สำหรับเขาแล้วกลับเป็นทางที่ดีที่สุด
“พี่เฉียวโม่ ก่อนหน้านี้ท่านแคลงใจว่าคุณหนูหลีมีพิรุธ ข้าสั่งให้คนลงมือสืบเรื่องต่างๆ ที่นางประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมา รอเมื่อรู้ผลลัพธ์…”
“ไม่ต้องแล้ว” เฉียวโม่ยิ้มเยาะตนเอง “บัดนี้เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญแล้ว”
สิ่งที่เขาปกปักรักษาไว้สุดชีวิตถูกมอบออกไปแล้ว ยามนี้เขาถูกขังอยู่ในคุกหลวง ใบหน้าก็เสียโฉม ยังจะมีสิ่งใดให้คนมุ่งหวังอีกเล่า
“สืบดูจะดีกว่า เช่นนี้จะได้สบายใจกัน”
ถึงแม้เขาเชื่อตามสัญชาตญาณว่าคุณหนูหลีไม่มีเป้าหมายแอบแฝง อีกทั้งจำต้องยอมรับว่าคุณหนูหลีมีพรสวรรค์ล้ำเลิศสามารถลอกเลียนลายมือผู้อื่นได้ แต่ว่าทุกคราตื่นจากฝันกลางดึกหวนนึกถึงสารจากภรรยาฉบับนั้น ลึกๆ ในใจเขาจะปราศจากข้อกังขาแม้สักกระผีกได้อย่างไรเล่า
ข้อกังขาอันน้อยนิดนั่นกลับทำให้เขาพลิกกายกระสับกระส่ายข่มตานอนไม่หลับทั้งคืน
ยามนี้เองพลันเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกระแอมกระไอ “ท่านโหว เป็นเวลาพอสมควรแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “พี่เฉียวโม่ ท่านทำใจให้สบายๆ ข้าจะคิดหาหนทางช่วยท่านออกไปโดยไวที่สุด อีกอย่างคุณหนูหลีมีวิชาแพทย์สูงส่ง ท่านอย่าลืมกินยาลูกกลอนที่นางมอบให้ด้วย”
หลังเซ่าหมิงยวนออกไป เฉียวโม่หัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
ยังพูดว่าไม่มีวันหวั่นไหวไปกับหญิงอื่น หรือเจ้าหนุ่มโง่งมผู้นั้นไม่รู้ว่าตนให้ความเชื่อถือต่อคุณหนูหลีเป็นพิเศษแล้ว
เฉียวโม่คิดคำนึงเช่นนี้พลางหยิบถุงผ้าปักที่เฉียวเจายัดเยียดให้เขารับไว้ออกมา
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของถุงผ้าปักแล้วไม่อาจเบนออกไปทางอื่นได้อีกฉับพลัน
ตรงมุมนั้นปักลายลูกเป็ดเหมือนจริงมากตัวหนึ่ง เป็ดตาสีเขียวมองตรงมาคล้ายกำลังสบตากับคนอยู่
ถุงผ้าปักใบนี้…
มือของเฉียวโม่สั่นกระตุก เขาเปิดมันออกอย่างว่องไว นอกจากข้างในจะใส่ขวดกระเบื้องใบเล็กไว้ ยังมีกระดาษสีเรียบพับทบกันอย่างเรียบร้อยแผ่นหนึ่ง
ชายหนุ่มคลี่แผ่นกระดาษออกด้วยมือที่แทบจะสั่นเทา บนนั้นมีอักษรตัวเล็กบรรทัดเดียวว่า
‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง
อาชู’
นี่เป็นลายมือของเฉียวเจาน้องสาวคนโต แล้วก็เป็นลายมือของคุณหนูหลีเจา
ทว่าอาชูเป็นชื่อเรียกแรกเกิดของน้องสาวเขา…
เฉียวโม่ลุกพรวดขึ้นถลันไปหน้าซี่กรงเหล็ก ตะเบ็งเสียงเรียก “ท่านโหว!”
ผู้คุมเดินมาด้วยท่าทางไม่นับว่าสุภาพนัก “คุณชายเฉียวนั่งกลับลงไปจะดีกว่า กวนจวินโหวเดินไปไกลแต่แรกแล้ว ไหนเลยจะได้ยิน”
“ไม่ทราบว่ากวนจวินโหวเอ่ยหรือไม่ว่าจะมาอีกครั้งเมื่อไร” เฉียวโม่นึกเสียใจภายหลังอย่างสุดแสนที่เมื่อครู่ไม่ได้เอ่ยถามคำนี้
ผู้คุมไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี “คุณชายเฉียว ท่านนึกว่าที่แห่งนี้เป็นร้านน้ำชา อยากมาก็มาได้หรือ ที่นี่คือคุกหลวง กวนจวินโหวมาเยี่ยมท่านได้ล้วนอาศัยเส้นสายสัมพันธ์ ข้าบอกท่านตามตรงเถอะ หลังกวนจวินโหวออกไป เสนาบดีโค่วก็มาเหมือนกัน แต่ยังเข้ามาเยี่ยมท่านไม่ได้เลย”
เฉียวโม่กลับไปนั่งตามเดิมด้วยสีหน้าเลื่อนลอย เขากำถุงผ้าปักในมือแน่นสุดแรงไม่พูดไม่จาอยู่เป็นนาน ทว่าในอกปั่นป่วนพลุ่งพล่านดุจคลื่นคลั่ง
คุณหนูหลีเขียนถ้อยความนี้ถึงเขาหมายความว่าอะไร
ประโยคนั้นเป็นที่มาของชื่อน้องเจา ส่วน ‘อาชู’ เป็นชื่อเรียกแรกเกิดของนาง คุณหนูหลีอยากจะบอกอะไรเป็นนัย
ยังมีถุงผ้าปักใบนั้น การปักลายลูกเป็ดตาสีเขียวไว้มุมถุงก็เป็นนิสัยเฉพาะตัวของน้องเจา
เฉียวโม่รู้สึกแต่เพียงว่าหัวใจเต้นรัวแรง ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัว แต่เขาปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องพิสดารพันลึกเช่นนี้!
ลายมือเลียนแบบกันได้ ตัวอักษรรวมถึงนิสัยใจคอของน้องเจามีคนรู้คนเห็นได้เหมือนกัน แม้แต่เวลาตกฟากของนางก็เคยส่งไปให้จวนจิ้งอันโหวในครั้งนั้น หากถูกคนเอาไปจึงไม่น่าแปลกอันใด
ใต้หล้านี้ขอเพียงตั้งใจจริง ความลับมากมายล้วนไม่นับเป็นความลับแล้ว
ชายหนุ่มเอนหลังพิงกำแพงที่เย็นเยือกชื้นแฉะของเรือนจำแล้วใช้เหตุผลโน้มน้าวตนเอง แต่มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจอย่างควบคุมไม่ได้
เฉียวโม่ บัดนี้เจ้าสิ้นไร้ไม้ตอกและเข้าตาจนแล้ว หลีเจายังมุ่งหวังอะไรจากเจ้าอีกเล่า
เขาแบมือออกเพ่งมองเงียบๆ
หรือจะบอกว่าคนร้ายเบื้องหลังที่วางเพลิงเผาเรือนเขาวอดวายนึกว่าเขายังมีอะไรอยู่ในมืออีก
ถ้าจะบอกว่ามี ก็คือสมุดบัญชีเล่มนั้น
ไม่ผิด ถึงแม้จะถวายมันให้แก่ฮ่องเต้ไปแล้ว แต่อาศัยความสามารถในการอ่านผ่านตาไม่ลืม เขาจดจำทุกๆ ตัวอักษรในสมุดบัญชีไว้ในหัวสมองแต่แรก
กระนั้นทำเช่นนี้ไปยังมีความหมายใดอีก กระทั่งโอรสสวรรค์ยังไม่สนใจมันสักนิด คนอื่นยังไม่ยอมรามืออีกหรือ
เฉียวโม่ลูบไล้ขวดกระเบื้องสีขาวเนื้อเนียนเรียบลื่น เขานิ่งเงียบไปเป็นนานถึงเปิดออกในที่สุด ในนั้นเป็นยาลูกกลอนหลายเม็ด มีทั้งหมดเจ็ดเม็ดเจ็ดสีพอดิบพอดีไม่มากไม่น้อย
เฉียวโม่ใจกระตุกวูบ เสียงเล็กใสของดรุณีน้อยดังขึ้นข้างหู
‘พี่ใหญ่ ข้าฝึกปรุงยากับท่านปู่หลี่เป็นเล้ว แต่ข้าทำยาลูกกลอนเป็นสีรุ้งเลยโดนท่านปู่หลี่ดุว่าคนอื่นจะตกใจจนไม่กล้ากินเจ้าค่ะ’
เขาพูดว่า ‘ไม่เป็นไร คนอื่นไม่กล้ากิน พี่ใหญ่กล้ากิน ขอเพียงน้องสาวของพี่เป็นคนทำ’
‘พี่ใหญ่ ท่านโดนความเย็น ยาลูกกลอนที่ข้าทำใช้รักษาอาการได้พอดี แต่แม้ว่ายาพวกนี้จะมีสรรพคุณเดียวกัน แต่รสชาติที่เคลือบอยู่ชั้นนอกกลับต่างกันเจ้าค่ะ’
‘อย่างนั้นหรือ แล้วมีรสชาติอะไรบ้าง’
ดรุณีน้อยเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จนเห็นฟันหน้าหลอ ‘พี่ใหญ่ลองชิมดูก็รู้เอง กินได้เม็ดเดียวนะเจ้าคะ จะเจอรสใดขึ้นอยู่กับดวงของพี่ใหญ่’
‘เช่นนั้นข้าจะลองกินดู’ เขาหยิบยาลูกกลอนเม็ดสีเขียวใส่ปาก รสขมฝาดแผ่ซ่านในโพรงปากทันใด
ดรุณีน้อยหัวเราะเสียงดัง ‘พี่ใหญ่ดวงไม่ดีจริงๆ เม็ดสีเขียวใส่หวงเหลียน* เจ้าค่ะ’
‘ซุกซน!’ เฉียวโม่ยื่นมือไปบีบจมูกนาง แต่เขากลืนยาลูกกลอนลงไปแต่โดยดี
* หวงเหลียน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน ต้นสูงประมาณหนึ่งฟุต ดอกเล็กสีขาว รากมีรสขม ใช้เป็นยาช่วยเจริญอาหารและแก้อักเสบ