หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 281
บทที่ 281
เฉียวโม่หลุดจากภวังค์ความทรงจำ ทอดสายตามองไปที่ยาลูกกลอนเม็ดสีเขียวในขวดกระเบื้องสีขาว
เขานิ่งเงียบชั่วครู่ ค่อยเทยาลูกกลอนเม็ดสีเขียวออกมาแล้วหยิบใส่ปาก
รสขมที่คุ้นเคยแผ่ซ่านในพริบตา ขมเสียจนควบคุมตัวไม่อยู่ น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาทางหางตา
“เจาเจา…” เฉียวโม่เปล่งเสียงพึมพำเป็นสองคำนี้
หากวาจาท่าทางและลายมือล้วนลอกเลียนกันได้ แล้วนี่มันคืออะไรกัน
ถ้าศัตรูล่วงรู้แม้กระทั่งเรื่องล้อเล่นเล็กๆ ระหว่างน้องสาวคนโตกับเขาตอนนางอายุเจ็ดแปดขวบอีก เช่นนั้นก็ออกจะน่ากลัวเกินไป
ไม่สิ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย
น้องสาวเขาอาศัยอยู่กับท่านปู่ที่จยาเฟิงตั้งแต่วัยเยาว์ และมาพักที่เมืองหลวงเป็นเวลาสั้นๆ ทุกปี ถ้าบอกว่าเรื่องพวกนี้มีผู้ไม่ประสงค์ดีจับตาดูมาแต่แรกก็ยากจะเชื่อได้ อีกอย่างท่านพ่อเพิ่งได้สมุดบัญชีเล่มนั้นมา คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้มีญาณหยั่งรู้อนาคตสักหน่อย
อย่างไรก็ดีต่อให้สกุลเฉียวในเมืองหลวงถูกคนเฝ้าดูมานานแล้ว เช่นนั้นยาลูกกลอนหลากสีนี้จะมีคำอธิบายใด
ปีนั้นเขากลับไปเยี่ยมท่านปู่ท่านย่าที่จยาเฟิง คาดไม่ถึงว่าจะล้มป่วยเพราะไม่คุ้นชินกับดินน้ำอากาศ น้องสาวคนโตถึงทำยาลูกกลอนพวกนี้ นอกจากเขากับนางแล้ว เว้นแต่ว่าเป็นเทวดาถึงจะรู้เรื่องนี้ได้
ถ้าอย่างนั้นคุณหนูหลีรู้ได้เช่นไร
เฉียวโม่หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง
‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’
เขาเอากระดาษสารวางทาบตรงกลางอกเบาๆ กล่าวเสียงงึมงำ “คุณหนูหลี เจ้าอยากพิสูจน์อะไรกันแน่”
พิสูจน์ว่า…เจ้าคือน้องสาวคนโตของข้าหรือ
เสียงคาดเดานี้ดังขึ้นในห้วงความคิดทันควัน แต่ยากนักที่เฉียวโม่จะทำใจเชื่อได้
ยืมศพคืนวิญญาณ? เรื่องเหลวไหลพรรค์นี้มีอยู่จริงหรือ
เขาสงสัย แต่ที่สำคัญกว่าคือเขาไม่กล้าเชื่อ
เขาไม่กล้าเชื่อว่ามีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่ เพราะทันทีที่ผิดหวัง นั่นจะกลายเป็นความเจ็บปวดที่หัวใจซึ่งชาด้านไปนานแล้วจะแบกรับไว้ได้ยากยิ่ง
เฉียวเจาถูกฉือชั่นพาตัวไปข้างนอก อากาศที่สดชื่นและแสงแดดแจ่มจ้าไม่เพียงไม่ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย นางกลับรู้สึกสลดหดหู่ยิ่งขึ้น
พี่ใหญ่ต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันพรรค์นี้…
เฉียวเจาแหงนคอมองท้องนภาสีครามพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง นางจะต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยพี่ใหญ่ออกมาให้เร็วที่สุด
“หลีซาน เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ามักยื่นไมตรีให้กับเฉียวโม่ฝ่ายเดียวอยู่ร่ำไป” ฉือชั่นเห็นสีหน้าอมทุกข์ของนางแล้วเอ่ยปากขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
ไฉนเฉียวโม่ติดคุก แต่แม่นางน้อยผู้นี้ดูทรมานใจยิ่งกว่าตัวนางเองติดคุก ถ้าคนที่อยู่ในคุกเปลี่ยนเป็นเขา นางจะเป็นเช่นนี้หรือไม่
ครั้นคิดไปเช่นนี้ หัวใจของฉือชั่นละม้ายแช่อยู่ในไหน้ำส้ม* กระนั้น ทั้งหึงหวงทั้งน้อยใจ
ที่แท้ชมชอบคนผู้หนึ่งเป็นความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ว่านางจะยิ้มแย้มหรือบึ้งตึงก็พาให้จิตใจฟุ้งซ่านกังวล
คุณชายฉือไม่ชอบความรู้สึกนี้เป็นอันมาก ฉะนั้นจะต้องให้หลีซานชมชอบเขาโดยเร็วเหมือนกัน ทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี
“พี่ฉือ ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากคุยเจ้าค่ะ” เฉียวเจาหมุนกายหันหลังให้เขา
“หลีซาน” ฉือชั่นเรียกชื่อนางทีละคำ
เวลานี้เองมีเสียงฝีเท้าดังลอยมา เฉียวเจาหมุนกายขวับ กลับพบว่าคนที่มาถึงไม่ใช่เซ่าหมิงยวน แต่เป็นคนรู้จักของตนอีกคน…เสนาบดีโค่วท่านตาของนาง
ในสายตาของเฉียวเจา ท่านตาชราภาพลงมากเมื่อเทียบกับตอนพบหน้ากันครั้งสุดท้าย ส่วนท่านลุงใหญ่ก็มีรอยย่นตรงหางตา
เสนาบดีโค่วเดินออกไปทางด้านนอกพร้อมกับโค่วป๋อไห่ สีหน้าของเขาเครียดขรึม
เฉียวเจาสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ท่านตากับท่านลุงใหญ่มาเยี่ยมพี่ใหญ่ใช่หรือไม่
เสนาบดีโค่วมองมาทางนี้แวบหนึ่ง สายตาของเขาตวัดผ่านใบหน้าของเฉียวเจาไปหยุดที่ใบหน้าของฉือชั่น
โค่วป๋อไห่กระซิบที่ข้างหูบิดา เสนาบดีโค่วฟังจบก็ก้าวเท้าเดินเข้ามา
เฉียวเจามองเสนาบดีโค่วที่เรือนผมเป็นสีดอกเลาอย่างไม่วางตา
“คุณชายฉือมาเยี่ยมเฉียวโม่หลานชายของข้าใช่หรือไม่”
“อื้อ” ในที่นี้เสนาบดีโค่วนับเป็นผู้อาวุโส ฉือชั่นจำต้องกล่าวตอบอย่างไม่สู้เต็มใจ
จู่ๆ เซ่าหมิงยวนก็รับตัวเฉียวโม่ออกมาจากจวนเสนาบดี แม้ว่าเขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่พอจะเดาออกได้ว่าที่นั่นต้องมิใช่สถานที่ดิบดีอันใด
หลานชายที่บ้านแตกสาแหรกขาดและอนาคตดับวูบมาขอพึ่งพากลับไม่มีที่ให้เขาได้พักพิง เช่นนี้ฉือชั่นจะรู้สึกดีๆ กับคนของจวนเสนาบดีได้อย่างไร
แต่ไรมากับคนที่ไม่ชมชอบ เขาคร้านจะวิสาสะด้วย มีแต่แม่นางน้อยผู้นี้ที่ไม่รู้ตัวว่าโชคดี!
ฉือชั่นเลิกแยแสเสนาบดีโค่วกับบุตรชายไปเลย เขาหันไปมองเฉียวเจา
เวลานี้เองเสนาบดีโค่วถึงมองนางซ้ำอีกครา จากนั้นกระแอมกระไอเสียงหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “คุณชายฉือ ไม่ทราบว่าท่านกับกวนจวินโหวมาด้วยกันใช่หรือไม่”
“เปล่า” ฉือชั่นปฏิเสธอย่างฉับไว เขาดึงตัวเฉียวเจา “เสนาบดีโค่ว พวกข้าเพิ่งออกมา ขอตัวกลับก่อน”
พอเห็นฉือชั่นฉุดเฉียวเจาออกเดินไป เสนาบดีโค่วหยิ่งในฐานะตนมิได้พูดมากความ จึงพาบุตรชายออกไปเงียบๆ
ฉือชั่นปล่อยมือเฉียวเจาแล้วแค่นหัวเราะ “คงคิดจะพึ่งบารมีของถิงเฉวียนเข้าไปเยี่ยมเฉียวโม่เป็นแน่”
องครักษ์จินหลินพวกนั้นให้เกียรติกวนจวินโหว แต่ไม่มีทางให้เกียรติคนพวกนี้
อย่าเห็นว่าโค่วสิงเจ๋อเป็นหนึ่งในผู้ปกครองกรมทั้งหก เขาพบกับองครักษ์จินหลินก็ต้องเกรงอกเกรงใจเหมือนคนอื่นๆ
เฉียวเจาไม่ได้พูดอะไร ตั้งแต่สืบพบว่าป้าสะใภ้ใหญ่เหมาซื่อวางยาพิษพี่ใหญ่ แล้วเบื้องหลังมีคนยุยงส่งเสริมหรือไม่ก็ยังไม่ล่วงรู้ เป็นเหตุให้นางมีใจระแวงระวังครอบครัวท่านตาที่แต่เดิมสมควรใกล้ชิดกัน
ไม่ว่าพวกท่านตาคิดอย่างไรกับพี่ใหญ่ ยามนี้ข้องแวะกันให้น้อยลงเป็นการดี
“ไฉนไม่พูดไม่จา” ฉือชั่นถาม
“แม่ทัพเซ่าออกมาแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเดินออกไป
เซ่าหมิงยวนมองคนทั้งสอง บอกด้วยสีหน้านิ่งสนิท “กลับไปค่อยพูดกันเถอะ”
เมื่อทั้งสามกลับถึงจวนกวนจวินโหว เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้าพลางเอ่ย “คุณหนูหลี ท่านผลัดอาภรณ์กลับเป็นชุดสตรีเถอะ ข้าจะส่งท่านกลับเรือน”
เฉียวเจาไม่ขยับ นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะช่วยพี่เฉียวออกมาเจ้าค่ะ”
“เรื่องเช่นนี้จะยุ่งเกี่ยวไปด้วยเหตุใด” ฉือชั่นขมวดคิ้ว
นางไม่สนใจเขา มองเซ่าหมิงยวนตรงๆ “แม่ทัพเซ่าน่าจะจดจำคำพูดของข้าก่อนหน้านี้ได้ ก่อนท่านปู่หลี่ออกจากเมืองหลวง ฝากฝังให้ดูพี่เฉียวโดยเฉพาะ ข้าต้องทำตามที่ได้รับไหว้วานสุดความสามารถ บัดนี้พี่เฉียวพบเรื่องเดือดร้อน ข้าไม่อาจนั่งนิ่งดูดายได้”
“แต่…”
“ได้ เข้าไปคุยกันเถอะ” เซ่าหมิงยวนหมุนกายเดินเข้าข้างใน
ฉือชั่นกลอกตาขึ้น
เซ่าหมิงยวนถึงกับปล่อยให้แม่นางน้อยนี่ทำตัวเหลวไหล เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
ทั้งสามเข้าเรือนแล้วต่างนั่งลง เซ่าหมิงยวนเอ่ยขึ้นตามตรง “ก่อนหน้านี้สือซีบอกว่าฮ่องเต้ทรงประสงค์ให้ราชสำนักสงบมั่นคง ขอแค่สิงอู่หยางไม่ก่อการกบฏ พระองค์ล้วนไม่ทรงถือสาหาความ”
“ใช่” ฉือชั่นพยักหน้า “ดังนั้นเฉียวโม่ถึงโดนคุมขังในคุกหลวง ในเมื่อแตะต้องสิงอู่หยางไม่ได้ เช่นนั้นได้แต่เป็นเฉียวโม่ที่ ‘ใส่ความ’ แล้ว”
“ถ้าสิงอู่หยางมีตัวตายตัวแทนได้เล่า” เซ่าหมิงยวนโพล่งคำนี้ขึ้น
สมองของฉือชั่นแล่นได้เร็วมากในเรื่องเชิงนี้ เขาได้ยินแล้วตกใจทันใด “เจ้าคิดจะไปสู้ศึกกับชาววอโค่วแทนสิงอู่หยางหรือ”
* น้ำส้ม เป็นคำสแลงจีน หมายถึงหึงหวง อิจฉาริษยา