หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 285
บทที่ 285
เจียงซือหร่านกล่าวจบแล้วยิ่งคิดยิ่งโมโห ดึงแส้ที่รัดอยู่รอบเอวออกมาจะฟาดใส่เฉียวเจา แต่เจียงถังห้ามไว้
“หร่านราน อย่าเพิ่งใจร้อน พ่อจะระบายความแค้นให้เจ้าแน่”
ถึงอย่างไรนางยังกริ่งเกรงเจียงหย่วนเฉาซึ่งอยู่ในที่นี้ด้วย กลัวตนกระทำหยาบคายป่าเถื่อนเกินไปจะสร้างความไม่พอใจให้เขา เจียงซือหร่านถึงเก็บแส้ขึ้นแล้วกล่าวอย่างคับข้องใจ “อื้อ”
เจียงถังแค่นยิ้มมองเฉียวเจา “ถ้าคุณหนูหลีบอกเหตุผลออกมาไม่ได้ ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”
สีหน้าของเฉียวเจาไม่เปลี่ยนแปลงดุจเก่า “ท่านผู้บัญชาการใหญ่อยากรู้ว่าข้าอาศัยสิ่งใด จะขอสนทนาตามลำพังได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าไปฟังคำลวงไร้สาระของนาง เด็กสาวคนหนึ่งอย่างนางจะมีอะไรให้อาศัย นางไปเอาเกียรติมาจากที่ใดถึงสนทนากับท่านตามลำพังได้” ขณะนี้เจียงซือหร่านเห็นเฉียวเจาเป็นเหมือนหนามยอกอก หอกข้างแคร่ อยากกำจัดนางให้สิ้นซากแทบใจจะขาด
เจียงถังตบตัวบุตรสาวเป็นเชิงปลอบอารมณ์ เขาตวัดสายตามองเจียงหย่วนเฉา “สือซาน เจ้าคุยเป็นเพื่อนหร่านรานก่อน คุณหนูหลี เจ้าตามข้ามา”
เฉียวเจาเดินตามหลังเขาไปเงียบๆ ฝ่ายเจียงหย่วนเฉาทำท่าละล้าละลัง
เจียงซือหร่านกระทืบเท้า “พี่สือซาน ท่านยังจะมองนางอีก! ท่านชมชอบนางจริงๆ ใช่หรือไม่”
“เปล่า” เจียงหย่วนเฉากุมขมับ “หร่านราน พวกเราหมั้นหมายกันแล้ว วันหน้าอย่ากล่าววาจาเช่นนี้อีก ไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น”
“หมั้นหมายแล้วกับชมชอบคนอื่นหรือไม่เป็นคนละเรื่องกัน” เจียงซือหร่านน้ำตาคลอเบ้าด้วยความทุกข์ใจอย่างสุดแสน
นางแค่คิดถึงว่าพี่สือซานเหลียวมองหญิงอื่นซ้ำๆ ก็อยากจะจับคนผู้นั้นมาแล่เนื้อเถือหนังแล้วสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“สำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน” รอยยิ้มของชายหนุ่มแฝงรอยอ่อนล้าจางๆ “หร่านราน เลิกก่อกวนได้แล้ว ในเมื่อข้าหมั้นหมายกับเจ้า วันหน้าก็จะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต”
“จริงนะเจ้าคะ”
“จริงสิ”
เจียงซือหร่านถึงยิ้มออกทั้งน้ำตา
ในอีกห้องหนึ่ง เจียงถังนั่งลงแล้วชี้ที่เก้าอี้อีกตัว “นั่ง”
เฉียวเจานั่งลงโดยไม่รอช้า
“คุณหนูหลีบอกมาได้แล้ว ตกลงเจ้าอาศัยอะไรถึงทำให้เจ้านั่งอยู่เบื้องหน้าข้าได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีหลังจากตบตีบุตรสาวข้า”
หรือว่าที่ว่าการกององครักษ์จินหลินตกต่ำเป็นเพิงน้ำชาข้างถนนแล้วใช่หรือไม่ เด็กสาวนางหนึ่งอยากมาก็มาอยากไปก็ไป ซ้ำยังมีท่าทางใจเย็นเช่นนี้
เมื่อคิดไปอย่างนี้ เจียงถังยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่งถึงกล่าวไม่เร็วไม่ช้าด้วยน้ำเสียงแฝงรอยตักเตือนชัด “แม่นางน้อย ต่อให้วันนี้เจ้าเอ่ยอ้างถึงกวนจวินโหวก็เปล่าประโยชน์”
เฉียวเจายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่งเช่นกัน จากนั้นวางมันลงตามสบาย
ขมับของเจียงถังเต้นตุบๆ ทีแรกเขาโกรธจัด แต่พอเห็นแม่นางน้อยผู้นี้แล้ว ยิ่งนางสุขุม โทสะที่ลุกโชนของเขากลับถูกกดข่มไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หรือว่าผู้ไม่รู้ไม่หวาดกลัว ดังคำกล่าวลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ*
ถึงกระนั้นก็ตาม เด็กสาวอย่างนี้ทำให้เขาบังเกิดความชื่นชมอยู่หลายส่วนได้จริงๆ ทว่าวันนี้นางบังอาจตบตีบุตรสาวเขา ไม่ว่าอย่างไรต้องให้บทเรียนนางสักครั้ง!
เฉียวเจาเอ่ยปากขึ้นในที่สุด น้ำเสียงของนางสงบนิ่งมาก “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ข้ากำลังคิดว่าท่านให้เกียรติกวนจวินโหวเพียงนี้เป็นเพราะอะไรเจ้าคะ”
เจียงถังนิ่งขึงไปก่อนพูดด้วยสีหน้าขุ่นมัว “คุณหนูหลี เจ้าอายุยังน้อย เรื่องพวกนี้เจ้าไม่พึงถาม แล้วก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว”
“ไม่ใช่ ข้ามิได้อยากรู้อยากเห็น แค่เป็นการพินิจพิเคราะห์เรื่องนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน
เจียงถังยิ่งสนใจใคร่รู้มากขึ้นทุกที แต่แล้วเขาก็ลอบตกใจ
เมื่อก่อนเขาอยากรู้เรื่อยมาว่าเหตุใดกวนจวินโหวถึงให้ความสนใจต่อบุตรสาวในครอบครัวของอาลักษณ์เล็กๆ ผู้หนึ่งเป็นพิเศษ บัดนี้เขาค้นพบความไม่สามัญของแม่นางน้อยผู้นี้แล้ว
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น นางเป็นยอดฝีมือในการปลุกปั่นอารมณ์คน นี่เพิ่งเป็นเวลาพริบตาเดียว ตอนแรกเขาตั้งใจจะระบายความแค้นแทนบุตรสาวคนโปรดทันทีทันใด กลับยอมอดทนรอฟังนางกล่าววาจาเพราะอยากรู้อยากเห็น
เขาเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงเกียรติถึงกับโดนเด็กสาวผู้หนึ่งจูงจมูก แต่เขาหาได้ใส่ใจไม่
“ลองว่ามาสิ”
“ข้าคิดว่าการที่ท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติกวนจวินโหวเพื่อที่ว่าหนทางในวันข้างหน้าของคุณหนูเจียงจะเดินได้ง่ายดายมากขึ้นกระมัง เป็นต้นว่า…” เฉียวเจาเพ่งมองเขานิ่งๆ
“เป็นต้นว่าหากท่านต้องก้าวลงจากตำแหน่งนี้เพราะสุขภาพหรือว่าเหตุผลอื่น เวลาคุณหนูเจียงประสบปัญหา กวนจวินโหวจะได้ช่วยเหลือดูแลบ้าง”
“นี่แม่นางน้อยหมายความว่าอะไร” เจียงถังไม่นึกไม่ฝันว่านางจะกล่าวถึงเรื่องนี้ ดวงตาเขาทอประกายดุดันอำมหิตออกมากะทันหัน
ก้าวลงจากตำแหน่งนี้?
ไม่ผิด ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ของเขามาทุกยุคทุกสมัยล้วนเป็นคนสนิทของโอรสสวรรค์ ถ้าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ย่อมเป็นเรื่องแน่นอนที่เขาต้องถูกเปลี่ยนตัวออก แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยู่ในวัยหนุ่มแน่น กว่าจะถึงวันที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ยังไม่รู้ว่าเป็นเดือนใดปีใด เขาผูกไมตรีกับกวนจวินโหวไว้ก็แค่เตรียมการไว้ล่วงหน้า
แต่คำกล่าวที่ว่า ‘ก้าวลงจากตำแหน่งเพราะสุขภาพ’ นั่นของนางหมายถึงอะไร
เจียงถังยิ่งขบคิดประโยคนี้ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก
พักนี้เขาค่อยๆ มอบหมายงานในมือให้สือซานจัดการสะสาง ใครๆ ล้วนคิดว่าเพื่อบ่มเพาะว่าที่ลูกเขย แท้จริงแล้วมันมีเหตุผลอยู่ข้อหนึ่งจริงๆ
กระนั้นเหตุผลที่สำคัญกว่าแต่ไม่อาจบอกต่อคนภายนอกได้คือสุขภาพของเขานับวันยิ่งแย่ลง
แล้วเด็กสาวผู้หนึ่งล่วงรู้เหตุผลข้อนี้ได้เช่นไร
เจียงถังนั่งตัวตรง สีหน้าเริ่มเคร่งขรึมขึ้น “คุณหนูหลีมีอะไรก็บอกมาตามตรงดีกว่า”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ข้าเห็นว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่ให้ผู้ใดดูแลคุณหนูเจียงล้วนมิสู้ดูแลด้วยตนเองจะดีที่สุด ดังนั้นท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดีจึงจะถูกเจ้าค่ะ”
ในเมื่อเจียงถังให้ความสำคัญกับบุตรสาวมากที่สุด เช่นนั้นนางก็ใช้สิ่งสำคัญที่สุดของเขามาชักจูงใจเขา
เวลานี้ในสายตาของเจียงถังไม่เห็นแม่นางน้อยเบื้องหน้าเป็นเด็กสาวธรรมดาทั่วไปอีก เขาแค่นเสียงกล่าวว่า “หากคุณหนูหลีเพียงเอ่ยเตือนข้าเรื่องนี้ ข้าก็หมดความสนใจจะพูดคุยกับเจ้าต่อแล้ว”
เฉียวเจาหลุบตาลงยิ้มๆ พลางลูบถุงผ้าปักที่เหน็บอยู่ตรงเอว “ถ้าอย่างนั้น พิษโอสถทิพย์เล่า”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” เจียงถังลุกพรวดขึ้นยืนจ้องนางตาเขม็ง
เด็กสาวเยือกเย็นดุจเก่า ทั้งมิได้ลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่รู้เรื่องพิษโอสถทิพย์หรือไม่เจ้าคะ”
โอรสสวรรค์พระองค์นี้ใฝ่ฝันถึงชีวิตอมตะจนถึงขั้นหลงใหลคลั่งไคล้ เขาระดมเหล่านักพรตมีชื่อทั่วแผ่นดินมาสกัดยาอายุวัฒนะในวังหลวงมานานยี่สิบปีแล้ว แต่โอสถทิพย์ยาวิเศษในสายตาคนทั่วหล้าพวกนั้นกลับมีความเป็นพิษ
นางไม่เคยมีโอกาสพบเห็นฮ่องเต้หมิงคังจึงไม่อาจรู้ได้ ส่วนเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินนั้นนางเคยเจอโดยบังเอิญตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเฉียวเจา
ตอนนั้นเป็นในงานพิธีมงคลของนาง ทางวังหลวงส่งคนมาถ่ายทอดพระราชโองการให้เซ่าหมิงยวนเดินทางไปออกศึกทันที ขณะที่ทุกคนล้วนพุ่งความสนใจไปยังพระราชโองการที่มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว นางแอบเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้นมุมหนึ่ง เห็นแผ่นหลังของเซ่าหมิงยวนที่รับพระราชโองการแล้วเดินตามขันทีไป
ยามนั้นคนทั่วทั้งโถงเงียบงันไป คนที่รั้งอยู่ต่อเพื่อพูดคลี่คลายบรรยากาศตามมารยาทก็คือเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินนั่นเอง
เจียงถังในเวลานั้นมีพิษโอสถทิพย์อยู่ในกายแล้ว บัดนี้อาการรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม คราวก่อนที่ท่านย่าทวงความเป็นธรรมให้นาง เดิมทีนางตั้งใจอาศัยเรื่องนี้มาแก้ไขสะสาง ผลปรากฏว่าเพราะเซ่าหมิงยวนยื่นมือเข้ามาเลยไม่ได้ใช้ประโยชน์
“แม่นางน้อย เจ้าใจกล้าเกินไปแล้ว!” เจียงถังกล่าวเสียงเย็นๆ
ทุกคราที่พวกนักพรตในวังสกัดยาอายุวัฒนะออกมา ฮ่องเต้จะพระราชทานให้เขาเป็นการแสดงพระเมตตาเสมอ เด็กสาวผู้นี้บังอาจเอ่ยถึงพิษโอสถทิพย์อะไรกัน
เฉียวเจาไม่สะทกสะท้านสักนิด นางเหยียดนิ้วมือขาวกระจ่างขึ้นสามนิ้ว “สามปี หากท่านผู้บัญชาการใหญ่ไม่ขับพิษโอสถทิพย์ในกายออก จะมีชีวิตอยู่ไม่เกินสามปีเจ้าค่ะ”
* ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ เป็นสำนวน หมายถึงคนหนุ่มสาวที่ยังผ่านโลกมาไม่มาก ไม่รู้ถึงความหนักเบาของเหตุการณ์ จึงกล้าคิดกล้าทำ พร้อมจะถาโถมเข้าใส่ทุกสิ่ง เปรียบเหมือนลูกวัวแรกเกิดที่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของเสือจึงไม่รู้จักกลัว