หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 286
บทที่ 286
“หุบปาก!” เจียงถังตวาดเสียงห้วน สายตาข่มขวัญของเขาน่าพรั่นพรึงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนได้
เฉียวเจายังนั่งนิ่งด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน มิหนำซ้ำยังยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มอีกสองคำ
“แม่นางน้อย น้ำชาดื่มส่งเดชได้ แต่วาจากล่าวส่งเดชไม่ได้”
เฉียวเจาวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเลื่อนมันไปตรงหน้าเจียงถัง นางเอียงคอกล่าวยิ้มๆ “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ ยาดีย่อมขมปากแต่โรคหาย คำสัตย์จริงมักขัดหูแต่เป็นคุณ”
เจียงถังโน้มกายมาข้างหน้ากะทันหัน พารัศมีอำมหิตแผ่มาคุกคามเด็กสาวตรงหน้า
บรรยากาศตึงเครียดล่อแหลมในชั่วอึดใจ
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นสบตาเขาอย่างสงบนิ่ง
ผ่านไปเป็นนาน เจียงถังถึงนั่งตัวตรง อ้าปากพูดเสียงเนิบนาบ “แม่นางน้อย เรื่องอะไรข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย ขนาดหมอหลวงที่เก่งที่สุดก็ไม่มีทางบอกว่าถ้าข้าไม่ขับพิษโอสถทิพย์ในตัวออกจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสามปีพรรค์นี้เลย แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าปั้นน้ำเป็นตัวหรือไม่”
เฉียวเจาคลายยิ้ม “หมอหลวงที่เก่งที่สุดย่อมต้องไม่พูดแน่นอน”
เมื่อเห็นสายตาแฝงแววกังขารางๆ ของเจียงถัง เด็กสาวก็ขยิบตา แสดงอาการซุกซนสมกับวัยนี้ฉับพลัน “เพราะพวกเขาไม่กล้าน่ะสิเจ้าคะ”
ยาอายุวัฒนะมีผลเสียต่อคน หมอหลวงพวกนั้นมิใช่ไม่รู้จุดนี้ เพียงแต่โอรสสวรรค์เชื่อถือมันสนิทใจ ใครเล่าจะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่รู้จักที่ตาย
เจียงถังเงียบอึ้งไป
ทว่าเด็กสาวเบื้องหน้าเขาปั้นหน้าเคร่งขรึมอีกครา “แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญกว่าคือพวกเขาวินิจฉัยไม่ได้เจ้าค่ะ”
“หมอหลวงที่มีประสบการณ์สูงพวกนั้นวินิจฉัยไม่ได้ แต่เด็กสาวนางหนึ่งเช่นเจ้าวินิจฉัยได้?”
“ข้าทำได้เจ้าค่ะ”
“เพราะอะไร” เจียงถังรู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ นี่นางดูออกว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่เกินสามปีจริงๆ หรือว่าเพื่อหลบหนีปัญหาในตอนนี้เลยปั้นน้ำเป็นตัวกันแน่
หากเป็นประการหลัง เขาไม่มีทางยั้งมือไว้ไมตรีเพราะฝ่ายตรงข้ามอายุยังน้อยหรอก
“เพราะข้าเป็นศิษย์ของหมอเทวดาหลี่เจ้าค่ะ”
เจียงถังได้ยินคำกล่าวของนางแล้วเลิกคิ้วขึ้น เขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้างกะทันหัน กล่าวเสียงเรียบๆ “เจ้าไม่ใช่”
นางรอเจียงถังกล่าวต่อ
เขาหยักยิ้ม “แม่นางน้อย เจ้าบอกข้าสิว่าที่นี่คือสถานที่ใด”
“ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน”
“ข้าล่ะ”
“ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน”
“ในเมื่อแม่นางน้อยมิได้เลอะเลือน เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าว่าตั้งแต่ตอนที่เจ้ากับบุตรสาวข้าเกิดความขัดแย้งคราวก่อน ข้าส่งคนไปสืบความเป็นมาของเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตอย่างละเอียดลออหมดแล้ว ก่อนเจ้าถูกล่อลวงไป เจ้าไม่เคยข้องเกี่ยวพบปะวิสาสะกับหมอเทวดาเลยสักนิด” เจียงถังมองเฉียวเจาอย่างค้นหา
“แม่นางน้อย เจ้าอย่าบอกข้าว่าเจ้าร่ำเรียนวิชาแพทย์จากหมอเทวดาหลี่ระหว่างทางที่กลับมาจากแดนใต้ ถ้าวิชาแพทย์เรียนรู้ได้ง่ายดายเพียงนี้ ทั่วใต้หล้านี้คงมีหมอเทวดากลาดเกลื่อนไปนานแล้ว”
เฉียวเจาฟังเจียงถังพูดจนจบด้วยสีหน้านิ่งสนิทถึงพูดเอื่อยๆ “ก่อนหมอเทวดาหลี่ออกจากเมืองหลวงหนนี้ ได้ทิ้งตำราแพทย์ที่จดบันทึกสิ่งที่เขาศึกษามาทั้งชีวิตไว้ให้ข้าหมด”
เจียงถังแค่นหัวร่อ “หมอเทวดาหลี่เพิ่งไปจากเมืองหลวงนานเท่าใดเอง ตำราแพทย์ที่จดบันทึกสิ่งที่เขาศึกษามาทั้งชีวิตเกรงว่ากระทั่งเปิดดูรอบหนึ่งยังยากลำบากกระมัง”
“คนอื่นมิใช่ข้า อีกอย่างคนอื่นก็ไม่มีทางถ่อมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าท่านผู้บัญชาการใหญ่ด้วย ท่านคงไม่ได้คิดว่าข้ามาวันนี้เพียงเพื่อทะเลาะกับบุตรสาวท่านหรอกกระมัง”
“ตกลงเจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่”
“เพื่อมาตกลงแลกเปลี่ยนกับท่านผู้บัญชาการใหญ่เจ้าค่ะ”
“แลกเปลี่ยนอะไร”
“ข้ามอบยาถอนพิษโอสถทิพย์ให้ท่าน ส่วนท่านคิดหาหนทางช่วยคุณชายเฉียวออกมา”
“คุณชายเฉียว?”
“ใช่ เฉียวโม่ บุตรชายของอดีตข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” เจียงถังผุดลุกขึ้นโดยพลัน สีหน้าเขาถมึงทึง “แม่นางน้อย หากเจ้าเบื่อชีวิตนัก ข้าจะส่งเสริมเจ้าประเดี๋ยวนี้เลย”
เฉียวเจากล่าวอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน “สามปี”
เจียงถังเอือมระอาถึงขีดสุด เขากล่าวอย่างฉุนเฉียว “แม่นางน้อยเลิกหลอกลวงข้าเหมือนเป็นคนโง่งมได้แล้ว เจ้าพูดตามใจชอบว่าสามปีก็เป็นความจริงรึ จะพิสูจน์อย่างไร”
“ใช่หรือไม่ว่าทุกวันตอนยามเหม่า* ตรงท่านผู้บัญชาการใหญ่จะรู้สึกเจ็บแปลบๆ ตรงจุดที่ต่ำจากหัวใจสามชุ่น ถึงขั้นที่ลมหายใจติดขัดจนไม่อาจทำกิจวัตรประจำวันตามปกติได้”
เจียงถังนิ่งขึงไป ที่ผ่านมาเขาตื่นขึ้นมาฝึกวรยุทธ์ตอนยามเหม่าจนเป็นนิสัย แต่พักนี้ความเคยชินที่ทำมานานหลายสิบปีนี้ต้องหยุดไปเพราะทันทีที่เริ่มออกกำลังก็จะหายใจลำบากและเจ็บหน้าอกเหมือนหัวใจโดนบีบรัด
แม่นางน้อยผู้นี้บอกได้อย่างแม่นยำเชียวหรือนี่
เจียงถังหรี่ตาลงมองเฉียวเจาอย่างจริงจังขึ้น เขาไม่คิดว่าเด็กสาวผู้หนึ่งจะมีโอกาสได้รู้สภาพร่างกายของเขา ยิ่งกว่านั้นเขาไม่เคยบอกเรื่องอาการนี้กับบุตรสาวด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับคนอื่น
เฉียวเจาประสานสายตากับเขาพลางกล่าวเสริมขึ้น “ทุกวันยามจื่อ** ตรง ขาทั้งสองข้างของท่านผู้บัญชาการใหญ่จะชักกระตุกต่อเนื่องเป็นเวลาราวหนึ่งเค่อ กินยารักษาก็ไม่หาย”
“เจ้า!” เจียงถังลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว เขาเขม้นตามองเฉียวเจานิ่งๆ ในอกพลุ่งพล่านปั่นป่วนไปหมด
หากพูดว่าการเลิกฝึกวรยุทธ์ตอนเช้าตรู่ทุกวันถูกผู้มีจุดประสงค์แอบแฝงสืบรู้ได้ง่าย เช่นนั้นขาสองขาที่ชักกระตุกในตอนกลางคืนจะแพร่งพรายออกไปได้อย่างไร
มันเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
หากแม้แต่เรื่องเช่นนี้ยังปล่อยให้คนนอกล่วงรู้ เขาคงไม่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินแต่แรก
ในใจเจียงถังเคลือบแคลงไม่แน่ใจ เขาไม่เอื้อนเอ่ยวาจาเป็นนาน เฉียวเจาจึงกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น “ไยท่านผู้บัญชาการใหญ่ต้องคิดให้ซับซ้อนเกินไป กลับไม่ยอมเชื่อเหตุผลที่ง่ายดายที่สุด”
“เหตุผลที่ง่ายดายที่สุด?” เจียงถังพูดพึมพำ
“ใช่เจ้าค่ะ เหตุผลที่ง่ายดายที่สุด เพราะว่าข้ารู้วิชาแพทย์และได้รับการถ่ายทอดความรู้จากหมอเทวดาหลี่” ว่าแล้วเฉียวเจาก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง “แน่นอนว่าหากท่านยังคงไม่เชื่อ ยังต้องการให้ข้าพิสูจน์ ข้าก็หมดปัญญาแล้ว คงได้แต่รอสามปีให้หลัง”
เจียงถังฟังแล้วทั้งฉิวทั้งขัน เขาตบโต๊ะทีหนึ่งกล่าวว่า “แม่นางน้อย เจ้าช่างใจกล้านักนะ!”
“ข้าแค่พูดตามสัตย์จริงเจ้าค่ะ”
“ตกลง ข้าจะเชื่อเจ้าเป็นการชั่วคราว”
คนเราล้วนกลัวตาย โดยเฉพาะผู้ที่ก้าวขึ้นมาในตำแหน่งฐานะอย่างเจียงถังจะกลัวเป็นพิเศษ
เขายังนับว่าอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงส่ง แม้แต่เสนาบดีแห่งกรมทั้งหกพบเขายังต้องให้ความเกรงใจ ชีวิตที่ดีเช่นนี้กลับอยู่ได้อีกราวสามปี ใครทำใจรับได้ อย่าว่าแต่แม่นางน้อยผู้นี้แจกแจงได้เป็นฉากๆ ต่อให้นางบอกเหตุผลออกมาเป็นข้อๆ ไม่ได้ เขาก็ต้องหาข้อพิสูจน์อย่างละเอียดอยู่ดี
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ยอมเชื่อ นั่นคือความรับผิดชอบต่อตนเองและคนในครอบครัวเจ้าค่ะ”
เจียงถังโคลงศีรษะ แม่นางน้อยผู้นี้ช่างไร้ความเกรงใจจริงๆ เป็นพวกได้คืบเอาศอกโดยแท้
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่เจ้าบอกให้ข้าช่วยเฉียวโม่ออกมา เรื่องนี้ทำได้ยากมาก”
เจียงถังพูดพลางชายตามองเฉียวเจาอย่างมีนัยลึกซึ้ง “อย่างน้อยก็ไม่ดีเท่าอีกวิธีหนึ่ง”
“วิธีใดหรือเจ้าคะ” ความนัยที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของเขามิได้ทำให้สีหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนแปลง นางเอ่ยถามเรื่องนี้ต่อไป
เจียงถังพลันตวัดข้อมือคราหนึ่ง ในมือเขาก็ปรากฏมีดสั้นเป็นประกายวาววับ เขาเอามันจ่อคอเฉียวเจาในขณะที่นางยังไม่ทันตั้งตัวติด
มีดสั้นคมกริบชนิดที่ขนนกปลิวผ่านยังขาดทันทีแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบจางๆ หากคนที่ถือมีดสั้นไว้ยังเลือดเย็นกว่า กระนั้นเด็กสาวที่โดนมีดสั้นจ่อคอกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี นางมองเจียงถังอย่างสงบนิ่ง
“ท่านผู้บัญชาการใหญ่หมายความว่าอะไรเจ้าคะ”
เจียงถังหัวเราะเบาๆ “แม่นางน้อยยังไร้เดียงสาเกินไป ไยข้าต้องไปกระทำเรื่องยุ่งยากดังเช่นช่วยคุณชายเฉียวออกมาด้วยเล่า ในเมื่อเจ้ามีวิชาแพทย์ติดตัว ส่วนข้ามีเจ้าอยู่ในมือก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ”
“ท่านจะเอาชีวิตข้ามาข่มขู่ให้ข้าถอนพิษให้ท่านหรือ” เฉียวเจาถามเสียงเรียบเฉย
“มีอันใดไม่ได้รึ” เจียงถังย้อนถาม
เฉียวเจาเอนตัวมาข้างหน้ากะทันหัน ทำให้เจียงถังต้องรีบขยับมีดสั้นออก แต่คมมีดบาดผิวนางเป็นรอยแผลแล้ว
ลำคอยาวระหงขาวผ่องของเด็กสาวมีโลหิตไหลออกมาทันใด
* ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 น. ถึง 07.00 น.
** ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.