หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 292
บทที่ 292
ในเรือนของเฉียวโม่ เฉียวหว่านกำลังคล้องแขนกับพี่ชายพลางพูดคุยกันอยู่ “พี่ใหญ่ หลายวันมานี้ท่านไปที่ใดมาเจ้าคะ”
“ท่านโหวไม่ได้บอกเจ้าหรือ” เฉียวโม่ไม่รู้ว่าเซ่าหมิงยวนพูดกับน้องสาวคนเล็กว่าอย่างไร เขาเลยตะล่อมถามกลับ
ดรุณีน้อยบอกออกมาเองตามคาด “บอกว่ามีหมอเทวดาคนหนึ่งมาที่เมืองหลวง ท่านไปหาหมอเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ไปหาหมอมา”
เฉียวหว่านมองสำรวจซีกหน้าด้านซ้ายของเฉียวโม่แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “แต่ดูไปแล้วไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เลยเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” เขาถามอย่างหม่นหมอง
ดรุณีน้อยเห็นพี่ชายเสียใจ นางจึงรีบปิดปากพลางสั่นศีรษะ “พี่ใหญ่ ข้าดูผิดเองเจ้าค่ะ อันที่จริงดีขึ้นตั้งมากแล้ว”
เฉียวโม่ยื่นมือไปยีศีรษะนาง “จริงหรือ”
เฉียวเจามองเห็นภาพนี้ตอนเดินตามเซ่าหมิงยวนเข้ามา
ใต้ต้นไม้สูงตระหง่านแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่นในลานเรือน บุรุษชุดสีขาวลูบศีรษะดรุณีในอาภรณ์สีเรียบอย่างอ่อนโยน ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู เด็กหญิงตัวน้อยแหงนคอมองพี่ชายด้วยแววตาอาวรณ์ผูกพันอย่างเปี่ยมล้นเฉกเดียวกัน
ฝีเท้าของเฉียวเจาชะงักไปเล็กน้อย
เซ่าหมิงยวนอดชายตามองนางไม่ได้ จากนั้นเปล่งเสียงบอก “พี่เฉียวโม่ คุณหนูหลีมาแล้ว”
รอยยิ้มมุมปากของเฉียวโม่นิ่งค้างไป
เฉียวหว่านเหลียวหน้ามาทันที นางเห็นเซ่าหมิงยวนก็รีบวิ่งเข้าไปจับแขนเสื้อของเขาพลางเรียกขาน “พี่เขย”
เขาตบตัวนางเบาๆ อย่างยิ้มแย้ม “เจอพี่ใหญ่แล้วดีใจหรือไม่”
“ดีใจเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านพยักหน้า นางกวาดตามองเฉียวเจาที่ยืนอยู่ข้างเซ่าหมิงยวนแล้วกล่าวทักทายอย่างไม่เต็มใจ “พี่หลี”
ไฉนคนผู้นี้มาอีกแล้ว พอเห็นอีกฝ่ายมา นางก็เริ่มไม่ชอบใจ
“น้องเฉียวหว่าน” เฉียวเจาส่งยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร ก้มหน้าถามว่า “ได้รับลูกม้าแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวหว่านเชิดคางขึ้น “ได้รับแล้วเจ้าค่ะ ได้เร็วมาก เรื่องที่พี่เขยรับปากไว้ไม่เคยผิดคำพูด”
เฉียวเจาไม่กล้ามองสีหน้าในเวลานี้ของพี่ชาย นางรู้สึกประหม่าเลยชวนเฉียวหว่านพูดคุย “ดูท่าว่ามีพี่เขยเป็นเรื่องดียิ่ง”
“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านพูดจบแล้วเผยสีหน้าระแวงระวัง นางว่าแล้วเชียว คุณหนูหลีหมายตาพี่เขยอยู่ คงอิจฉาตาร้อนที่เห็นพี่เขยดีต่อนางเป็นแน่
ดรุณีน้อยจับมือเซ่าหมิงยวนไว้คล้ายประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก็ไม่ปาน
แม้นในใจเฉียวเจาเป็นทุกข์อยู่บ้าง แต่ย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้หนึ่ง นางจึงทำหน้ายิ้มๆ
“คุณหนูหลี…”
เสียงคุ้นหูดังลอยมาทางด้านข้าง เฉียวเจาแข็งเกร็งไปทั้งร่างทันใด เป็นนานก็ไม่หันหน้าไป
เฉียวโม่ซึ่งยืนห่างไปหนึ่งจั้งไม่ปริปากอีก
มาตรว่าเฉียวหว่านยังอายุน้อยก็รู้สึกได้ว่าผิดปกติอยู่บ้าง นางมองเฉียวโม่แล้วค่อยมองเฉียวเจาอีกที สุดท้ายเขย่ามือของเซ่าหมิงยวนไปมาพลางถาม “พี่เขย พี่ใหญ่กับพี่หลีเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“เอ่อ…” เซ่าหมิงยวนอ้าปากแต่ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี
เขาก็อยากรู้ว่าสองคนนี้เป็นอะไรไป เหตุใดบรรยากาศระหว่างคนคู่นี้ถึงแปลกชอบกลอย่างนั้น
เซ่าหมิงยวนย่อตัวลงเสียเลย “หว่านวาน พี่เขยพาเจ้าไปเลือกลูกม้าอีกสักตัว ดีหรือไม่”
เฉียวหว่านตาเป็นประกาย “ดีเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนยืดตัวขึ้นยืนตรงแล้วเอ่ยกับเฉียวโม่ “พี่เฉียวโม่ ข้าพาหว่านวานออกไปก่อน ถ้าท่านมีธุระกับคุณหนูหลีก็คุยกันตามสบาย”
เฉียวโม่ถึงดึงสติคืนมาในเวลานี้ เขาพยักหน้าเบาๆ
ไม่นานนักในลานเรือนเหลือแต่เฉียวเจากับเฉียวโม่สองคน
หลังจากความเงียบอันยาวนาน เฉียวเจาแย้มปากออกเป็นรอยยิ้ม “พี่เฉียว…”
“ท่านตามข้ามา” เฉียวโม่มองนางอย่างพินิจปราดหนึ่งก่อนหมุนกายออกเดินไป
สุขภาพของเขาไม่ดีอยู่แต่เดิม ครั้นสายตาของเฉียวเจาปะทะเข้ากับแผ่นหลังของบุรุษที่ดูผ่ายผอมซูบซีดลง ใจนางก็ปวดร้าวระลอกหนึ่ง
พี่ชายในอดีตผู้โดดเด่นเพียบพร้อมและงามสง่าผ่าเผย เคยอยู่ในสภาพอับจนปานนี้เมื่อไรกัน
นางก้าวขาตามไปเงียบๆ
เฉียวโม่หยุดยืนตรงบริเวณโล่งกว้างแห่งหนึ่ง การสนทนาในสถานที่เช่นนี้กลับปลอดภัยกว่า ไม่ต้องกลัวจะมีคนประสงค์ร้ายแอบฟังอยู่ในมุมลับ
เฉียวเจายืนอยู่ข้างหลังเขา
เฉียวโม่หมุนกายช้าๆ ยื่นมือมา กลางฝ่ามือคือถุงผ้าปักที่นางมอบให้เขาตอนไปที่คุกหลวงใบนั้นนั่นเอง
เฉียวเจาเม้มปาก รอกระทั่งเขาอ้าปากพูดในที่สุด
“นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง ข้าไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ คุณหนูหลีไขความกระจ่างให้ข้าได้หรือไม่”
น้ำเสียงของเฉียวโม่สงบนิ่งมาก ทำให้นางอ่านความคิดเขาไม่ออกสักนิด
ทว่าเฉียวเจาหมดทางถอยแล้ว นางเปล่งเสียงพูด “ประโยคนี้เป็นที่มาของนามข้าเจ้าค่ะ”
“ไม่รู้ว่านามของคุณหนูหลีเป็นผู้อาวุโสคนใดตั้งให้หรือ”
“ท่านปู่เจ้าค่ะ เพราะท่านอยากให้ข้ากลายเป็นคนเช่นนี้” สุ้มเสียงของนางเริ่มสั่นเครือ
เฉียวโม่มองนางอย่างค้นหา “แล้วอาชูเล่า”
เฉียวเจาหลับตาลง กล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านย่าเจ้าค่ะ เพราะท่านย่าจะล้อเลียนท่านปู่ จงใจพูดว่าตัวอักษร ‘เจา’ ในชื่อข้าควรจะตีความหมายตามถ้อยคำว่า ‘แสงตะวันจันทราแจ่มกระจ่าง’ ถึงตั้งชื่อแรกเกิดให้ข้าว่า ‘อาชู’ ที่หมายถึงแรกรุ่ง”
“คุณหนูหลี ยาลูกกลอนสีเขียวขมมาก” เฉียวโม่กล่าวเนิบๆ
ขอบตาของเฉียวเจาร้อนผ่าว แต่นางฝืนกลั้นน้ำตาไว้ เผยรอยยิ้มซุกซนพร้อมกับพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พี่เฉียวดวงไม่ดีจริงๆ เม็ดสีเขียวใส่หวงเหลียนเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงนาง เฉียวโม่สืบเท้าขึ้นหน้าครึ่งก้าว จ้องมองนางจนตาไม่กะพริบ
ในใจเฉียวเจาตื่นเต้นถึงขีดสุด
พี่ใหญ่ความจำดีเหมือนนาง เขาต้องไม่ลืมเลือนคำสนทนาระหว่างสองพี่น้องเมื่อสิบกว่าปีก่อนนี้แน่นอน
ถ้าถึงเพียงนี้แล้วพี่ใหญ่ยังคงไม่เชื่อ นางก็หมดปัญญาแล้วจริงๆ
พอเห็นเฉียวโม่ไม่พูดไม่จาเสียที เฉียวเจาฮึดขึ้นมา เป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่ชวนให้อึดอัดเอง “ข้าทำยาลูกกลอนเป็นสีรุ้ง ยังนึกว่าพี่เฉียวไม่กล้ากินเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่มองนางนิ่งๆ เสียงพูดเบาหวิวดุจเสียงกระซิบลอยมากระทบหูเฉียวเจาในที่สุด “คนอื่นไม่กล้ากิน พี่ใหญ่กล้ากิน ขอเพียงน้องสาวของพี่เป็นคนทำ”
ตรงกลางอกของเฉียวเจาสั่นสะท้านวูบหนึ่ง นางเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวอย่างห้ามใจไม่อยู่ “พี่ใหญ่?”
เฉียวโม่กางแขนออก “เจาเจา”
ณ เสี้ยวขณะนี้ความวิตกกังวลและทุกข์ทนทรมานทั้งหลายแหล่หาที่ระบายออกได้แล้ว หญิงสาวโผเข้าสู่อ้อมอกพี่ชายกอดเขาไว้เต็มแรง นางร่ำไห้สุดเสียงอย่างเศร้าโศกเสียใจ
เฉียวโม่กอดน้องสาวราวกับโอบอุ้มสมบัติล้ำค่าที่หายไปแล้วได้คืนมาอย่างทะนุถนอม ปล่อยให้นางร้องไห้ให้สาแก่ใจ
“พี่ใหญ่ ข้านึกว่าท่านยังคงไม่เชื่อข้า…”
“เด็กโง่ เจ้าเด็กโง่คนนี้” เฉียวโม่ลูบผมน้องสาวเบาๆ ทีแล้วทีเล่า พูดแทบไม่เป็นภาษา
น้องสาวคนโตร้องไห้โฮๆ อย่างควบคุมตัวไม่อยู่ ส่วนจิตใจของเขาจะไม่สับสนยุ่งเหยิงได้หรือ
เขามีเรื่องมากมายอยากถามนาง แล้วก็มีเรื่องมากมายอยากบอกนาง แต่ตอนนี้นอกจากเรียกนางว่า ‘เด็กโง่’ แล้ว กลับเอื้อนเอ่ยคำใดออกจากปากไม่ได้เลย
สองพี่น้องสวมกอดกันเนิ่นนาน เฉียวเจาถึงขืนตัวออกจากอ้อมแขนของพี่ชายอย่างเก้อเขิน เห็นสายตาของเขาทั้งอ่อนโยนและเอ็นดูเต็มที่ก็อดนึกไปถึงวาจาถากถางก่อนหน้านี้พวกนั้นไม่ได้ นางกล่าวอย่างน้อยใจ “พี่ใหญ่ไม่ช่างสังเกตเท่าท่านปู่หลี่เลย ท่านปู่หลี่จำข้าได้ตั้งนานแล้ว”
นางรู้ว่าไม่ควรต่อว่าต่อขาน แต่กลับทนไม่ไหว ใครใช้ให้เขาเป็นพี่ชายนางเล่า
“พี่ใหญ่โง่เขลาเอง เพิ่งจำน้องสาวได้ตอนนี้” ขณะนี้เฉียวโม่มีเพียงความปีติยินดีเต็มหัวใจ ไหนเลยจะใส่ใจกับคำพูดตัดพ้อเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้
สองพี่น้องต่างมองอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตา สุดท้ายก็หัวเราะให้กันอย่างขบขัน
ผ่านไปนานพักหนึ่ง ทั้งคู่อ้าปากพูดพร้อมกัน
“เรื่องไฟไหม้ในเรือนมันเป็นอย่างไรกันแน่เจ้าคะ”/ “เจ้ากลายเป็นเช่นนี้ได้เช่นไร”
เขากับนางชะงักไป จากนั้นกล่าวประสานเสียงกันอีก
“ท่านพูดก่อน”/ “เจ้าพูดก่อน”
เฉียวเจาเพียงรู้สึกว่านับแต่ฟื้นคืนชีพเป็นต้นมาไม่เคยเบิกบานใจเท่านี้มาก่อน นางกลั้นยิ้มไม่อยู่ “เช่นนั้นข้าเป็นคนพูดก่อนเจ้าค่ะ”
นางเล่าเหตุการณ์ตอนถูกเซ่าหมิงยวนยิงธนูปลิดชีพแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งก็กลายเป็นแม่นางน้อยหลีเจาอย่างละเอียดยิบ
ผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้ เฉียวเจาเล่าจบในที่สุด เฉียวโม่ยื่นมือไปลูบผมนางอย่างอดใจไม่อยู่ “ดีที่สวรรค์มีตา…”
ในยามนี้เองเสียงอุทานของดรุณีน้อยลอยมาจากไกลๆ “พี่ใหญ่!”