หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 295
บทที่ 295
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก็ไม่รู้จะเอ่ยปากเช่นไรดี
เขาส่งคนไปสืบเรื่องคุณหนูหลีตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่ แม้ว่าไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก ทว่าผลลัพธ์จากการสืบในขั้นต้นกลับน่าฉงนสงสัยมาก คุณหนูตามคำบอกเล่าจากปากใครๆ คนนั้นกับคุณหนูหลีตรงหน้าแทบเหมือนจะเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังได้กระดาษปึกหนึ่งที่คุณหนูหลีใช้คัดตัวอักษรเมื่อปีที่แล้วมาด้วยซ้ำ ลายมือบนนั้น…
เซ่าหมิงยวนนึกถึงแวบแรกที่เห็นตัวอักษรพวกนั้น เป็นความรู้สึกที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำสั้นๆ ได้
หากบอกว่าก่อนหน้านั้นคุณหนูหลีคมในฝักมาโดยตลอด แต่นางซ่อนได้ดีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร อีกอย่างมีความจำเป็นอะไรที่ต้องเก็บงำประกายเช่นนี้
เท่าที่เขารับรู้มาจากทางอ้อม มาตรว่าจวนตะวันตกของสกุลหลีจะถูกจวนตะวันออกข่มรัศมีเป็นนิจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งประมุขเรือนเป็นหญิงชราที่มีเหตุผล ถึงมิใช่หลานสาวคนโปรด นางก็ไม่มีทางปฏิบัติด้วยอย่างใจจืดใจดำ หลานสาวไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้
“แม่ทัพเซ่า”
เซ่าหมิงยวนดึงความคิดคืนมา เขากระแอมกระไอเบาๆ “มีอะไรหรือ”
ไม่ว่าเรื่องที่เขาสืบมาได้จะน่าแปลกปานใด ขณะนี้เขาไม่มีสิทธิ์อันใดจะตั้งข้อแคลงใจในตัวคุณหนูหลี
“ข้านึกว่าแม่ทัพเซ่ามีเรื่องพูดกับข้า”
“เอ่อ ไม่มี” เซ่าหมิงยวนปฏิเสธ เขากล่าวจบแล้วรู้สึกไม่ค่อยเหมาะเลยพูดแก้สถานการณ์ “วันนี้อากาศไม่เลวเลย”
เฉียวเจาแอบกลอกตาขึ้น “แม่ทัพเซ่า ส่งข้าถึงตรงนี้ก็พอเจ้าค่ะ”
“คุณหนูหลีค่อยๆ เดิน”
เฉียวเจายอบกายเล็กน้อยแล้วยกชายกระโปรงเดินไปที่ข้างรถม้า นางส่งเสียงเรียกเฉินกวงก่อนก้มตัวเข้าไปข้างในโดยไม่เหลียวหลังเลย
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนก็หมุนกายเดินกลับเข้าจวนไปโดยไม่รั้งรอ
เฉินกวงเกาท้ายทอย เขาหวดแส้ในมือควบขับรถม้าจากไป
ยามราตรี ในห้องหนังสือของเซ่าหมิงยวนยังมีแสงเทียนสว่างอยู่
เขาหยิบสารจากภรรยาฉบับนั้นกับใบสั่งยาออกมาวางเรียงกันอีกแล้วนั่งพินิจดูอย่างละเอียดใต้แสงไฟ
ตั้งแต่จรดพู่กันขีดแรกจนเก็บปลายขีดสุดท้ายเหมือนกันทุกประการ เขาสุดปัญญาจะเชื่อได้ว่ามันเขียนด้วยมือคนสองคน ส่วนอีกแผ่นหนึ่ง…
เซ่าหมิงยวนหยิบกระดาษปึกหนึ่งขึ้นพลิกเปิดดูผ่านๆ แล้วได้แต่ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ตอนเขาเจ็ดขวบก็ลายมือสวยกว่าตัวหนังสือพวกนี้ตั้งมาก คุณหนูหลีเขียนออกมาได้อย่างไรกันแน่
เซ่าหมิงยวนเก็บของขึ้นเงียบๆ เป่าเทียนดับแล้วเอนกายลงนอนบนตั่งขาเตี้ยริมหน้าต่าง
เมื่อมองไปทางนอกหน้าต่างจะเห็นกอไผ่ดกดื่นกับท้องฟ้าประดับดาวอันเวิ้งว้าง ในฤดูร้อนนอนในห้องหนังสือเช่นนี้ยังคงสบายเนื้อตัวมากเช่นเคย
กระนั้นเซ่าหมิงยวนกลับนอนไม่หลับอีกแล้ว
เขาพลิกกายกระสับกระส่าย ค่อยๆ รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่คุ้นเคย แต่หนนี้บรรเทาลงกว่าที่ผ่านมาไม่น้อย
“พรุ่งนี้อากาศเปลี่ยนหรือ” เซ่าหมิงยวนพึมพำกับตนเอง
เช้าตรู่วันถัดมา เซ่าหมิงยวนลืมตาขึ้น เขาพลิกกายลงจากเตียงล้างหน้าด้วยน้ำจากบ่อแล้วลอบตกใจอย่างสุดระงับ
คุณหนูหลีฝังเข็มถอนพิษให้เขาได้ผลดีเช่นนี้เชียวหรือ ในกาลก่อนทุกคราที่พบกับวันอากาศเปลี่ยน เขามักนอนไม่หลับแม้แต่เค่อเดียว กว่าจะทนไปถึงรุ่งเช้าก็หลั่งเหงื่อกาฬท่วมตัวจนเสื้อตัวในเปียกชุ่มหมด
แม้นครั้งนี้จะไม่มีเหงื่อออกมากนัก แต่เซ่าหมิงยวนยังชำระกายตามความเคยชิน จากนั้นสั่งกำชับองครักษ์ “ไปจวนสกุลหลีบอกเฉินกวงว่าวันนี้ออกไปข้างนอกอย่าลืมพกร่มติดตัว แล้วก็บอกให้เขาสงบปากสงบคำด้วย”
เฉินกวงยืนพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อยขณะรอคอยเฉียวเจาออกจากเรือน เขาได้รับคำบอกกล่าวแล้วรีบวิ่งเข้าไปหยิบของกันฝนเช่นร่มและเสื้อฟางมาวางในช่องลับข้างประตูรถม้า จากนั้นถึงฉุกใจขึ้นได้ภายหลัง “ไม่ถูกต้องสิ ท่านแม่ทัพตั้งใจส่งคนมาบอกแค่เรื่องเล็กๆ เท่านี้หรือ”
ถึงรถม้าคันนี้จะดูธรรมดาๆ แท้จริงแล้วต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยเป็นค่าจ้างประกอบขึ้นจึงทั้งมั่นคงทั้งแข็งแรง ไม่มีทางเกิดเรื่องคานรถม้าหักพังเช่นในวันฝนตกหนักครั้งนั้นอีก ต่อให้วันนี้ฝนตก ถึงเวลาคุณหนูหลบอยู่บนรถม้าก็ไม่เปียกฝน
เขาคิดถึงตรงนี้แล้วตบศีรษะตนเองอย่างตื่นเต้น
ในที่สุดท่านแม่ทัพก็คิดได้ รู้จักห่วงใยสตรีเป็นแล้วหรือนี่!
เฉินกวงยิ่งคิดยิ่งลิงโลดใจ เขาเริ่มผิวปากอย่างห้ามไม่อยู่
ปิงลวี่เดินออกมาเป็นเพื่อนเฉียวเจาอดค้อนเขาวงหนึ่งไม่ได้ “มีเรื่องน่าดีใจอะไรนักหนา ดูสิยิ้มเสียหน้าบานเห็นฟันเต็มปากแล้ว”
เฉินกวงกำลังสำราญใจก็คร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่าย เขายิ้มย่องพลางกล่าวขึ้น “เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะ ใครบ้างมีฟันไม่เต็มปาก พวกที่ไม่มีฟันนั่นเป็นยายเฒ่ากับเด็กทารก”
“เจ้า…” ปิงลวี่ถลึงตาใส่เขา ตั้งท่าจะพูดต่อทว่าเฉียวเจาห้ามไว้
“เวลาไม่เช้าแล้ว ขึ้นรถม้าเถอะ”
เฉินกวงร้องเพลงตลอดทาง เฉียวเจากับสาวใช้ต้องทนฟังเสียงผีเปรตหลอนหูไปตลอดทาง
หลังจากลงรถม้า ปิงลวี่กุมอกอาเจียนลมทีหนึ่ง
เขาถามอย่างงุนงง “ปิงลวี่ เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเจ้าเมารถม้า เมื่อเช้ากินของผิดสำแดงหรือ”
“ไม่ใช่” ปิงลวี่ใบหน้าซีดขาวส่ายศีรษะอย่างอ่อนระโหย พูดเสียงลอดไรฟันว่า “ข้าไม่ได้เมารถม้า เมาเสียงเพลงเจ้าต่างหาก!”
เฉินกวงหน้าแดงด้วยความอาย “พูดเหยียดหยามกันเช่นนี้ไม่ได้นะ”
“เจ้าไม่เชื่อก็ถามคุณหนูดูสิ”
“คุณหนูสามไม่คิดแบบเจ้าหรอก ใช่หรือไม่ขอรับคุณหนูสาม”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “เฉินกวง ข้ามีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ”
“คุณหนูสามเชิญกล่าวขอรับ”
“อืม วันหน้าเวลาเจ้าอารมณ์ดี จะลองกินอะไรดูก็ได้”
เฉินกวงทำหน้าสลดทันใด เขาบ่นอุบอิบ “แต่ก่อนท่านแม่ทัพไม่เห็นเคยรังเกียจรังงอนเลย”
เฉียวเจาไม่กล่าววาจาต่อ นางเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดครึ้มลงกะทันหันแล้วพูดกับปิงลวี่ “ขึ้นเขาเถอะ”
สาวใช้น้อยไม่ขยับตัว นางดึงแขนเสื้อเฉียวเจาพลางกระซิบบอก “คุณหนู ท่านดูทางนั้นสิ”
เฉียวเจามองตามไป เห็นรถม้าคันใหญ่หรูหราวิ่งตะบึงมาทางนี้ มีบุรุษหนุ่มแต่งกายแบบเดียวกันถึงเจ็ดแปดคนติดตามอยู่ทั้งสองข้าง
“จุๆ ขบวนใหญ่โตเหลือเกิน ไม่รู้ว่าในรถม้าเป็นผู้ใดนะเจ้าคะ” ปิงลวี่พึมพำเบาๆ
เฉินกวงสืบเท้าขึ้นหน้าเอาตัวบังเฉียวเจาไว้ข้างหลัง เขาเพ่งมองรถม้าที่แล่นผ่านมาอย่างไม่วางตา เอ่ยเสียงค่อยๆ ว่า “คนพวกนั้นไม่เหมือนองครักษ์ทั่วไปขอรับ” รอกระทั่งรถม้าเข้ามาใกล้ๆ เขาอุทานในลำคอคำหนึ่ง
“สังเกตเห็นอะไรหรือ” เฉียวเจาถามเขา
“สัญลักษณ์บนรถม้าคันนั้นเป็นดอกยวนเหว่ยขอรับ”
“องค์หญิงเจินเจิน” ได้ยินเฉินกวงเอ่ยถึงดอกยวนเหว่ย เฉียวเจารู้ฐานะของคนบนรถม้าทันที
ตั้งแต่องค์หญิงเจินเจินได้รับบาดเจ็บที่ขาในวันฝนตกหนัก นับวันดูเป็นเวลาไม่สั้นแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เจอกันหลังจากคราวนั้น ไม่รู้ว่าพักก่อนคลาดกันโดยบังเอิญหรือว่าขาขององค์หญิงเจินเจินเพิ่งหายดีถึงออกจากวัง
พริบตาเดียวรถม้าก็มาหยุดจอดเบื้องหน้าเฉียวเจาฉับพลัน ม่านประตูถูกเลิกขึ้น นางกำนัลผู้หนึ่งประคององค์หญิงเจินเจินลงมา
“ถวายคำนับองค์หญิงเพคะ” พวกเฉียวเจาแสดงคารวะ
“ลุกขึ้นเถอะ” สายตาขององค์หญิงเจินเจินมองไปที่ตัวเฉียวเจาผู้เดียว จู่ๆ นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ข้ารู้ชื่อแซ่ของเจ้าแล้ว เจ้าแซ่หลีเป็นบุตรสาวในลำดับที่สาม”
เฉียวเจามองไปที่นาง
“เอาล่ะ ขึ้นเขาไปคุยไปเถอะ” องค์หญิงเจินเจินกล่าว
ทั้งสองย่ำเท้าขึ้นไปตามทางเดินบนภูเขาช้าๆ ต่างฝ่ายต่างมีองครักษ์กับสาวใช้ติดตามอยู่ข้างหลัง
“คุณหนูหลี เรื่องคราวก่อนต้องขอบคุณเจ้ามาก”
“มิบังอาจรับคำขอบคุณขององค์หญิง พระวรกายแข็งแรงเป็นปกติดี ข้าก็วางใจได้แล้วเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินเลื่อนสายตาลงไปมองที่ข้อมือนาง “กำไลหยกโลหิตที่เสด็จแม่ข้าประทานให้ล่ะ เหตุใดเจ้าไม่สวมไว้เล่า”
นางกล่าวถามคำนี้อย่างไม่ใคร่สบอารมณ์นัก