หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 296
บทที่ 296
นางพักรักษาบาดแผลที่ขามานานพักหนึ่งเพิ่งหายสนิทก่อนหน้านี้ไม่นาน ทีแรกจะมาตั้งแต่สองสามวันก่อนก็ได้ แต่นางคำนวณเวลาแล้วว่าวันนี้เป็นวันที่หลีซานจะมาอารามซูอิ่งถึงเลือกออกมาวันนี้
ไม่มีเหตุผลอื่นใดก็แค่จะกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายสักคำ
นางมิใช่พวกไม่รู้คุณคน
กระนั้นในใจนาง หลีซานเป็นสตรีที่เป็นตัวของตนเองอย่างยิ่งคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงฝีมือรักษาอาการบาดเจ็บหรือว่าท่าทางไม่โอหังไม่เจียมตนในวันฝนตกหนักครั้งนั้น ล้วนทำให้นางรู้สึกว่าคนผู้นี้มิใช่ชั้นสามัญ
แต่คนที่ทำให้นางรู้สึกว่าไม่สามัญอย่างหาได้ยากผู้หนึ่งกลับไม่สวมกำไลหยกโลหิตงดงามปานนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะต้องเห็นว่ามันมีราคาเกินไปจึงหักใจสวมไม่ได้และเอามันเก็บรักษาไว้ในหีบดุจของล้ำค่า
ตามความคิดของนาง สิ่งของจะราคาแพงปานใด มีเพียงนำมาใช้ถึงมีคุณค่า หากเก็บไว้เป็นสมบัติก้นหีบ นั่นก็คือการเหยียบย่ำทำลายของดีๆ เหมือนเป็นหินก้อนหนึ่ง
เฉียวเจานั้นเดาความคิดที่สลับซับซ้อนของสตรีพรรค์นี้ไม่ออก ในความรู้สึกของนางมันเป็นกำไลวงหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกำไลหยกโลหิตหรือว่ากำไลไม้ ยามนางไม่จำเป็นต้องใช้ก็หาได้แตกต่างอันใดไม่ ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “สวมกำไลเขียนหนังสือไม่สะดวกเพคะ”
องค์หญิงฟังถ้อยคำนี้แล้ว บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอีกครา “สวมแขนซ้ายก็ได้นี่นา”
“บางทีหม่อมฉันก็เขียนด้วยมือซ้ายเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินนิ่งอึ้งไปก่อนกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพิ่งพบว่าคุณหนูหลีเป็นคนน่าสนใจผู้หนึ่ง”
ไม่เสียทีที่นางตั้งใจรอวันนี้เพื่อพูดขอบคุณซึ่งหน้า
“องค์หญิงตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ”
“แต่ไรมาข้าไม่ชมใครส่งเดช น่าสนใจก็คือน่าสนใจ น่าเบื่อก็คือน่าเบื่อ”
เฉียวเจาผลิยิ้ม “ปกติการพูดเช่นนี้จะแลดูอ่อนน้อมถ่อมตัวกว่าเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินเปล่งเสียงหัวร่อ จากนั้นมองเหลียวหลัง “ดูเหมือนคุณหนูหลีจะเปลี่ยนสารถีแล้ว”
เฉินกวงที่ติดตามอยู่ข้างหลังเฉียวเจาจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาเป็นแค่สารถีผู้หนึ่ง เพราะอะไรถึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาขององค์หญิงกับคุณหนูสามได้
สารถีน้อยลอบกระตุกแขนเสื้อปิงลวี่
“เจ้าดึงข้าด้วยเหตุใด” ปิงลวี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เฉียวเจากับองค์หญิงเจินเจินหันมามองเฉินกวงพร้อมกัน
เฉินกวงพูดอะไรไม่ออก “…”
องค์หญิงเจินเจินหัวเราะเบาๆ “สารถีผู้นี้ดูท่าทางแข็งแรงกว่าคนเก่าอยู่มาก”
“หม่อมฉันก็รู้สึกเช่นเดียวกันเพคะ” เฉียวเจาอมยิ้มน้อยๆ
องค์หญิงเจินเจินรอครู่หนึ่งไม่เห็นเฉียวเจาเอ่ยปากถาม นางอดกล่าวขึ้นไม่ได้ “เจ้ามิได้สังเกตหรือว่าคนที่ข้าพามาก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“คล้ายว่าจะพาคนมามากกว่าเก่าเพคะ” เฉียวเจาพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติ
นางย่อมสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าหนนี้หลงอิ่งองครักษ์ประจำตัวองค์หญิงผู้นี้มิได้มาด้วย ตามหลักแล้วองค์หญิงออกมาข้างนอก องครักษ์อย่างหลงอิ่งต้องตามติดเป็นเงาตามตัวจึงจะถูก ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าเป็นเพราะโดนลงโทษจากเรื่องที่องค์หญิงบาดเจ็บคราวก่อน
ดูจากพฤติกรรมขององค์หญิงเจินเจิน นางปฏิบัติต่อบ่าวไพร่ด้วยน้ำใสใจจริงอยู่หลายส่วน หากตนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน จะมิเป็นการจี้ใจดำหรอกหรือ
ในเวลาที่ไม่อาจไม่จี้ใจดำได้ ถึงแม่นางเฉียวจะไม่เกรงใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่ถ้าไม่จำเป็นนางย่อมไม่อยากเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของผู้อื่นเปล่าๆ ปลี้ๆ แน่นอน
“หลงอิ่งไม่ได้ตามมาด้วย” องค์หญิงเจินเจินเป็นฝ่ายบอกเอง
เฉียวเจาเลิกคิ้วสูง นางเดาความคิดขององค์หญิงเจินเจินได้เลาๆ แล้ว
หลงอิ่งต้องมีบาดแผลที่ร่างกายเพราะโดนลงทัณฑ์ หรือไม่ก็ไม่สบายตรงใดเป็นแน่เลยจะมาขอยาจากนาง
สมดังคาด ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นในหัวเฉียวเจา องค์หญิงเจินเจินก็เอ่ยขึ้นว่า “หลงอิ่งโดนลงโทษเพราะคุ้มครองข้าบกพร่อง ไม่รู้ว่าคุณหนูหลียังมียาลูกกลอนที่กินเข้าไปแล้วรู้สึกอุ่นไปทั้งตัวแบบที่ให้ข้าเมื่อคราวก่อนอีกหรือไม่”
“องค์หญิงตรัสถึงยาขับไอเย็นหรือเพคะ”
“ใช่ ยาขับไอเย็นนั่นล่ะ”
“ข้าพกติดกายไว้ขวดหนึ่ง มีเพียงไม่กี่เม็ด ธรรมดาถ้าไอเย็นแทรกเข้าร่างให้กินวันละหนึ่งเม็ด เมื่อกินในขวดนี้หมดก็เกือบจะหายดีแล้วเพคะ” เฉียวเจาหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งในถุงผ้าปักออกมายื่นส่งให้
องค์หญิงเจินเจินรับมาเปิดฝาจุกออกดู นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หวังว่ากินหมดแล้วจะหายดีได้ ทุกครั้งที่ข้าออกมาข้างนอกล้วนพาหลงอิ่งมาด้วย คนอื่นยังเรียกใช้ไม่คุ้นเคยเลย”
ระหว่างที่พวกนางพูดกัน จู่ๆ มีลมเย็นพัดมาระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยสายฝนโปรยปรายลงมาทันที
“ไฉนฝนตกอีกแล้ว!” องค์หญิงเจินเจินยังผวากลัวฝนตกไม่หาย นางหมดแก่ใจจะพูดคุยต่อ
นางกำนัลที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางรีบกุลีกุจอกางร่มไม้ไผ่ที่พกติดตัวมา
ปิงลวี่กล่าวอย่างร้อนใจ “แย่แล้ว ไม่ได้เอาร่มมา คุณหนูมิต้องตากฝนหรือไร”
“ผู้ใดบอก” เฉินกวงเปิดถุงผ้าสะพายหลังออก หยิบของกันฝนออกมา
ปิงลวี่รีบหยิบร่มมากางแล้วถือบังเหนือศีรษะเฉียวเจาพร้อมกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “คุณหนู เฉินกวงเตรียมของกันฝนมาด้วยเชียวนะเจ้าคะ”
เฉียวเจาหันศีรษะไปมองเฉินกวง
เฉินกวงเกาศีรษะยิ้มๆ “เผื่อไว้ไม่เสียหายขอรับ”
เผื่อไว้ไม่เสียหาย?
เฉียวเจาหัวเราะเบาๆ ต่อให้เป็นการเตรียมเผื่อไว้ ทำได้ถึงจุดนี้ก็ไม่มีทางเป็นเฉินกวงไปได้
เงาร่างของคนผู้หนึ่งวาบเข้าในห้วงความคิดกะทันหัน
บรรดาคนที่นางรู้จัก คนที่สามารถบอกเวลาฝนตกได้อย่างแม่นยำจะเป็นใครมิได้นอกจากคนผู้นั้น
ที่แท้เซ่าหมิงยวนเอาอกเอาใจเด็กสาวเก่งอย่างนี้เองสินะ!
ในใจเฉียวเจาปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลากเป็นพิเศษ พาให้เท้าลื่นไถลโดยไม่ทันระวัง
“คุณหนู ระวังหน่อยเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ลุกลนประคองนางไว้
องค์หญิงเจินเจินเอียงคอมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเอื่อยๆ “ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่เคยเกิดปัญหาเช่นนี้เสียอีก”
สีหน้าของแม่นางเฉียวเรียบเฉย “องค์หญิงตรัสล้อเล่นแล้ว ข้ายังเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเพคะ”
บางคราในใจนางก็สับสนว่าควรเป็นเฉียวเจาหรือว่าหลีเจา จึงพาให้รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่เหมือนกัน
ก่อนที่ฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เฉียวเจากับองค์หญิงเจินเจินก็รุดมาถึงอารามซูอิ่งในที่สุด
เพราะว่าฝนตก องครักษ์ขององค์หญิงเจินเจินกับเฉินกวงล้วนต้องอยู่ที่วัดต้าฝู ขณะที่ปิงลวี่กับนางกำนัลขององค์หญิงเจินเจินได้รับอนุญาตให้เข้าไปหลบฝนในอารามซูอิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ
ในวันอากาศร้อนจัด สายฝนยังเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่นานนักก็กลายสภาพเป็นฝนฟ้าคะนองกรรโชกแรง
ตำแหน่งที่ตั้งของอารามซูอิ่งอยู่สูงกว่าวัดต้าฝู สถานที่อยู่ใกล้ชิดแผ่นฟ้าแห่งนี้ยิ่งรับรู้ได้ถึงอานุภาพของพายุฝน
ฝนตกไม่ขาดสายนานนับหนึ่งชั่วยามเศษถึงค่อยๆ ขาดเม็ด ผืนนภาเริ่มกลับมาสดใส
อู๋เหมยซือไท่สั่งให้ภิกษุณีนามจิ้งซีรั้งตัวพวกนางไว้อีกพักหนึ่ง “เมื่อครู่ฝนตกหนัก ลงเขาลำบาก สีกาทั้งสองรออีกสักหน่อยให้ทางเดินบนภูเขาไม่ลื่นเฉอะแฉะอย่างนั้นจะปลอดภัยกว่า”
ถึงกระนั้นก็ตามที รอจนถึงยามเซิน* องค์หญิงเจินเจินยังคงรอไม่ไหวแล้ว นางเอ่ยกับจิ้งซีว่า “ซือฟู่ หากยังไม่กลับ ประตูวังจะลงกลอนแล้ว ถึงเวลานั้นรบกวนพวกผู้อาวุโสให้ตกใจจะไม่เป็นการดี ข้าต้องไปแล้ว”
เฉียวเจาก็กล่าวอำลาด้วย
ยามนี้ไม่เช้าแล้วจริงๆ ประเดี๋ยวลงเขาไปกว่าจะกลับถึงในเมืองอย่างน้อยต้องหนึ่งชั่วยามเศษ นางยังต้องไปที่จวนกวนจวินโหวฝังเข็มให้เซ่าหมิงยวน การถอนพิษเพิ่งเริ่มต้นไม่กี่วันเป็นช่วงสำคัญที่สุด ทันทีที่ขาดตอนก็จะยุ่งยากแล้ว
ฝนตกหนักในฤดูร้อนเป็นเรื่องปกติ หลังแดดออกมาราวหนึ่งถึงสองชั่วยาม ถนนหนทางเริ่มแห้งแล้ว ขืนพวกนางสองคนรอคอยต่อไป ระหว่างทางกลับคงจะฟ้ามืด ถึงตอนนั้นจะไม่สะดวกยิ่งขึ้น จิ้งซีย่อมไม่เหนี่ยวรั้งพวกนางไว้อีก
ภูเขาหลังฝนโล่งโปร่ง กระไอชุ่มชื้นของต้นไม้ใบหญ้าลอยมาปะทะใบหน้าเจือกลิ่นหอมชวนดม องค์หญิงเจินเจินกลับอารมณ์หม่นหมองเพราะหวนประหวัดถึงความเคราะห์ร้ายในวันฝนตกหนักคราวก่อน
ฝ่ายเฉียวเจาชอบใจที่ได้อยู่สงบๆ นางเดินไปตามถนนบนเขาอย่างระมัดระวัง
* ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น.