หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 299
บทที่ 299
มาตรว่าใบหน้าของสตรีจะเปื้อนเลือด แต่ดูออกว่าไม่มีบาดแผลภายนอกที่เห็นได้ชัด เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปอังใต้จมูกนาง ดวงหน้าเฉยเมยก็เผยสีหน้าปีติยินดีอย่างหาได้ยาก
ยังมีชีวิตอยู่หรือนี่!
เขาไม่รู้ว่าบนตัวสตรีผู้นี้มีบาดแผลตรงที่ใดหรือไม่ จึงไม่กล้าออกแรงมากเกินไป เขาอุ้มนางขึ้นแล้วขยับตัวออกไปข้างนอกทีละนิดๆ อย่างระมัดระวัง
นางขมวดคิ้วคราหนึ่งแล้วลืมตาพรึบ
“เจ้าเป็นใคร…” นางจ้องเซ่าหมิงยวนนิ่งๆ เอ่ยถามอย่างตะลึงงัน
ไม่รอให้เซ่าหมิงยวนกล่าวตอบ ดวงตานางทอประกายวูบ แววงุนงงในนั้นเลือนหายไป “ข้านึกออกแล้ว เจ้าคือกวนจวินโหว… วันนั้น…วันนั้นฝนตกหนัก…”
วันที่ฝนตกหนักวันนั้น กวนจวินโหวก็อยู่ด้วย เขายังเอาอาภรณ์ของเขาให้นางพันแผล…
“องค์หญิงอย่าเพิ่งตรัสอะไร กระหม่อมจะพาพระองค์ออกไปพ่ะย่ะค่ะ” เซ่าหมิงยวนใช้มือหนึ่งอุ้มองค์หญิงเจินเจิน มือหนึ่งยันพื้นดินคลานไปด้านนอกอย่างเชื่องช้า
องค์หญิงเจินเจินไม่เปล่งเสียงพูดอีก ดวงตาคู่งามจ้องเขม็งที่เสี้ยวหน้าด้านข้างเกลี้ยงเกลาดุจหยกของชายหนุ่ม ราวกับจะประทับภาพของคนผู้นี้ลงกลางใจ
“องค์หญิงอย่าขยับพระวรกายไปมาเป็นอันขาด” เมื่อใกล้จะคลานไปถึงจุดที่แคบที่สุด เซ่าหมิงยวนเอ่ยกำชับขึ้น
ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก องค์หญิงเจินเจินถึงกับได้กลิ่นเย็นๆ สะอาดสดชื่นจากตัวเขาจางๆ
“ได้”
ทว่าถึงองค์หญิงจะรับคำเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีสูงศักดิ์บอบบาง ตอนขาของนางครูดกับแง่งหินที่ยื่นออกมาจนผิวถลอก นางหดขาตามสัญชาตญาณจนไปกระทบโดนผนังโพรงที่อ่อนแอ มีเศษหินร่วงพรูลงมาดุจห่าฝนระลอกหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนพลิกกายบังเศษหินพวกนั้นให้นาง
“ท่านโหว…” เห็นคนที่บังอยู่เหนือร่างตนไม่ขยับเขยื้อนเป็นนาน องค์หญิงเจินเจินอุทานขึ้นเสียงหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นนางเห็นคราบเลือดตรงมุมปากของชายหนุ่ม
นางร้อนใจยกใหญ่ จึงยกมือขึ้นจะแตะริมฝีปากเขา “ท่านได้รับบาดเจ็บแล้วหรือ”
เซ่าหมิงยวนรีบเบี่ยงหลบ กล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก “ไม่เป็นอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงอย่าทรงขยับยุกยิกจะดีกว่า”
“ได้ๆ ข้าไม่ขยับแล้ว” ได้ยินน้ำเสียงเรียบเฉยถึงขั้นแฝงความหงุดหงิดอยู่บ้างเช่นนี้ของอีกฝ่าย ไม่รู้เพราะเหตุใดองค์หญิงเจินเจินกลับไม่รู้สึกโมโหแต่อย่างใด
รอกระทั่งผนังโพรงหยุดสั่นสะเทือนไม่มีเศษหินร่วงหล่นลงมาอีก เซ่าหมิงยวนถึงพาองค์หญิงเจินเจินคลานไปข้างหน้าต่อ
เมื่อมาถึงปากโพรงในที่สุด มีองครักษ์ก้มลงมารับตัวองค์หญิงเจินเจิน แต่นางร้องตวาดขึ้น “หยุดมือ!”
“รับองค์หญิงไป” เซ่าหมิงยวนบอกเสียงเรียบ
องครักษ์ได้ยินคำสั่งของผู้บังคับบัญชาแล้วอุ้มองค์หญิงออกมาโดยปราศจากความลังเล
“เจ้าทำอะไร” องค์หญิงเจินเจินเหลียวไปมองเห็นเซ่าหมิงยวนยังกลับเข้าไปอีก นางเอ่ยถามขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่
เซ่าหมิงยวนมิได้ตอบคำถามของนาง เขาย้อนกลับไปตามทางเดิมช้าๆ ไม่นานนักก็นำศพบุรุษออกมาปรากฏตัวเบื้องหน้าทุกคนอีกครา
เขาคลานออกมายืนตัวตรง ไม่เสียเวลาปัดเศษดินโคลนเต็มตัวออก ก็เดินไปที่ข้างรถม้าขององค์หญิงเจินเจิน “องค์หญิง กระหม่อมอยากทูลถามพระองค์เรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือ” องค์หญิงเจินเจินเอนกายอยู่บนรถม้า เวลานี้นางเพิ่งรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์กายไม่มีเรี่ยวแรงสักนิด ความรู้สึกวิงเวียนโถมเข้าใส่เป็นระลอก ทว่าพอได้ยินเสียงของคนผู้นั้น นางยังคงเลิกม่านหน้าต่างขึ้น
“องค์หญิงได้เสด็จร่วมทางกับคุณหนูหลีหรือไม่”
“คุณหนูหลี?” องค์หญิงเจินเจินมีความรู้สึกเฉียบไวและฉลาดเฉลียว ถึงแม้แม่ทัพหนุ่มตรงหน้ามิได้แสดงสีหน้าใดๆ เลย แต่ดวงตาลุ่มลึกของเขากลับทำให้นางสะดุดใจวูบและเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถาม “ใช่แล้วมีอันใดรึ”
เซ่าหมิงยวนเพียงรู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางอก
เขาเชื่อว่าถ้าคุณหนูหลีถูกฝังอยู่ข้างใต้นี้ เฉินกวงจะต้องปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ด้อยกว่าองครักษ์ที่อารักขาองค์หญิงผู้นั้นเป็นแน่ ไม่แน่ว่าคนทั้งคู่ล้วนยังมีชีวิตอยู่…
“ไม่ทราบว่าตอนนั้นคุณหนูหลีเดินอยู่จุดใดของพระองค์ เป็นข้างหน้าหรือข้างหลัง ด้านซ้ายหรือด้านขวาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อรู้จุดที่องค์หญิงเจินเจินโดนฝังอยู่ เขาก็จะคาดเดาตำแหน่งที่อยู่ของเฉินกวงกับหลีเจาได้คร่าวๆ อย่างรวดเร็ว
“ตอนนั้นต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกัน ข้าจะไปสนใจอะไรมากมายได้ที่ใดกัน”
“เช่นนั้นกระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซ่าหมิงยวนไม่ถามต่อ เขาหมุนกายเดินไปทางกองหิน
“หยุดนะ!” นางร้อนใจชั่ววูบก็เผยความเจ้าอารมณ์ตามประสาองค์หญิงออกมา แม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนระโหย แต่แฝงไว้ด้วยบารมีอย่างเปี่ยมล้น น่าเสียดายที่บุรุษผู้นั้นไม่หยุดชะงักสักอึดใจเดียว
“นางหล่นลงไปจากตรงนั้นแล้ว” องค์หญิงเจินเจินชี้ไปทางด้านบนของเส้นทางขึ้นลงเขาที่โดนปิดตายอยู่อย่างโกรธเคือง
เซ่าหมิงยวนหันมามองไปตามทิศทางที่นางชี้บอกก็เห็นเป็นแนวผาตัดสูงชัน
เดิมทีฟากที่เป็นถนนมีการสร้างราวกั้นไว้เพื่อความปลอดภัยของคนที่ขึ้นลงเขา ทว่ายามนี้ถูกหินที่ถล่มลงมาทับพังราบคาบ
ชายหนุ่มดึงสายตาคืน กล่าวอย่างเยือกเย็น “ไม่มีทางพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเป็นคนฝึกฝนเฉินกวงมาเองกับมือ ต่อให้ขณะนั้นเกิดดินถล่มอย่างกะทันหันจนไม่มีเวลาตั้งตัว ตามสัญชาตญาณแล้วเฉินกวงไม่มีวันวิ่งไปหาทางตันฝั่งตรงข้าม
ยิ่งกว่านั้นเฉินกวงยังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือแล้ว ยืนยันได้ว่าเวลานั้นเขายังมีชีวิตอยู่ และถ้าคุณหนูหลีพลัดตกหน้าผาจริงๆ เฉินกวงต้องเลือกที่จะกระโดดลงไปพร้อมกับนางอย่างแน่นอน
เฉินกวงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เขามอบหมายให้เฉินกวงดูแลความปลอดภัยของคุณหนูหลี ถ้าอย่างนั้นเฉินกวงจะไม่บกพร่องหย่อนยานในหน้าที่เป็นอันขาด
เซ่าหมิงยวนไม่มององค์หญิงเจินเจินอีก ใช้หลังฝ่ามือเช็ดคราบเลือดที่มุมปากออกลวกๆ ก่อนจะปีนขึ้นไปบนกองดินเริ่มขุดด้วยมือเปล่า
องค์หญิงเจินเจินเค้นแรงยันตัวขึ้นยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง สายตาของนางหยุดอยู่ที่สองมือเปื้อนเลือดเกรอะกรังของชายหนุ่ม สีหน้าของนางดูสับสนปรวนแปรเป็นพิเศษ
เจียงเฉิงหัวหน้ากำลังพลระวังเมืองฝั่งตะวันตกสาวเท้าเข้ามา “องค์หญิง กระหม่อมส่งพระองค์กลับวังก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเจินเจินดึงสายตากลับ ย่นหัวคิ้วเข้าหากันตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่ง
แม้นนางไม่อยากไป แต่ก็ทำตามแต่ใจทุกอย่างไม่ได้ นางจำต้องฝืนพยักหน้า ก่อนจะเบนสายตาไปที่ตัวเซ่าหมิงยวนอีกคำรบหนึ่ง
“ท่านโหว ตอนนั้นสารถีของคุณหนูหลีพานางวิ่งขึ้นไหล่เขาทางนั้น ส่วนว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรกับนางหรือไม่ ข้าไม่รู้แล้ว”
“ขอบพระทัยที่ตรัสบอกพ่ะย่ะค่ะ” เซ่าหมิงยวนพยักหน้าแสดงความขอบคุณต่อนาง จากนั้นกระโจนกายจากพื้นโผนทะยานขึ้นไปบนชะง่อนผาจุดหนึ่งดุจพญาอินทรีโผบิน
ถึงแม้หลังฝนตกทำให้หน้าผาเปียกลื่นกว่าปกติ เขากลับจับเถาวัลย์เส้นหนึ่งไว้ได้อย่างมั่นคง ใช้ปลายเท้าแตะผนังหินเพื่ออาศัยแรงดีดไต่สูงขึ้นไปได้อีกจั้งเศษ ไม่นานนักก็หายลับตาทุกคนไป
แม้ว่าพวกองครักษ์มีใจอยากติดตามไป แต่ก็จนปัญญาด้วยรู้ว่าไม่มีฝีมือเทียบเท่าท่านแม่ทัพ ได้แต่ขุดดินยกหินออกกันอย่างขยันขันแข็งมากขึ้น
ในดวงตาขององค์หญิงเจินเจินทอประกายผิดแผกไปวูบหนึ่ง นางปล่อยม่านหน้าต่างลงอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็หน้ามืดตัวอ่อนระทวยล้มพับลง
เซ่าหมิงยวนอ้อมผ่านถนนช่วงที่ถูกดินและหินกลบทับไว้แล้วย้อนกลับไปยังเส้นทางสู่วัดต้าฝู เขาไต่บันไดขึ้นไป
เขาหยุดฝีเท้าที่จุดหนึ่ง ก้มตัวลงสำรวจตรวจตราชั่วครู่ก่อนจะเลี้ยวออกจากถนนไปทางไหล่เขาด้านข้าง
เพราะฝนเพิ่งหยุดตก มีรอยเท้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นกระจัดกระจายตามแนวไหล่เขา เมื่อเขาพินิจดูอย่างละเอียด สีหน้าที่ตึงเครียดถึงผ่อนคลายลง
บนพื้นมีรอยเท้าของคนสองคนทิ้งไว้เป็นทาง แถวหนึ่งในนั้นเล็กกว่า เห็นชัดว่าเป็นของสตรี อีกแถวเป็นรอยเท้าบุรุษ
เซ่าหมิงยวนแน่ใจได้ว่ารอยเท้าบุรุษเป็นของเฉินกวง
เขาเดินไปตามรอยเท้าบนพื้น ขณะใกล้จะไปถึงยอดเขา พบรอยเท้าสตรีเพิ่มอีกแถวหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่ารอยเท้าสตรีก่อนหน้านี้
เฉินกวง ปิงลวี่ แล้วก็…คุณหนูหลี
เซ่าหมิงยวนระบายลมหายใจเฮือกแล้วแกะรอยตามหาตัวพวกเขาต่อ ทว่าเดินไปถึงข้างเนินเขาชันแห่งหนึ่ง เขาก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างสุดระงับ