หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 3
บทที่ 3
เฉียวเจาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าบุรุษเฉกเช่นฉือชั่นนี้ ปกติต้องมีหญิงสาวแอบทอดสะพานให้เขาเป็นจำนวนไม่น้อย ถ้านางเรียกเขาไว้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี อาจถูกมองเป็นสตรีที่ไม่บริสุทธิ์ใจก็เป็นได้
อืม…เรียก ‘ท่านอา’ น่าจะทำให้เขาวางใจได้กระมัง
เฉียวเจาซึ่งทึกทักเอาเองว่าตนนึกถึงใจผู้อื่นเริ่มบอกเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวอย่างรัวเร็ว “ข้าเป็นบุตรสาวของท่านอาลักษณ์หลีในเมืองหลวง ตอนงานเทศกาลกำเนิดบุปผาถูกลักพาตัวมาที่นี่ ท่านอาได้โปรดช่วยข้าด้วย…”
ท่านอา…
สองคำนี้ทำให้มุมปากของฉือชั่นกระตุกไม่หยุด เสียงหลุดหัวเราะดังพรืดหลายทีลอยแว่วมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเป็นของสองสหายรัก
เขาอายุมากกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ไม่กี่ปีแท้ๆ ไฉนกลายเป็นท่านอาไปเสียแล้ว ต้องเรียกว่า ‘พี่ชาย’ จึงจะถูก
แต่ว่า…ถ้ามีหญิงสาวโผล่มาเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ ตอนกลางวันแสกๆ เกรงว่าท่าทีแรกของเขาก็คือไล่ตะเพิดนางไปกระมัง
เมื่อใคร่ครวญถึงจุดนี้ ดวงตาของฉือชั่นก็ทอแววลึกล้ำ เวลานี้เขาถึงกับเพ่งมองเฉียวเจาอย่างจริงจัง
เด็กสาวมีเรือนร่างผอมเล็ก ลักษณะท่าทางอ่อนแอผิวบางละม้ายดอกอวี้หลัน* แรกแย้มที่ต้านทานลมฝนไม่ไหว ชวนให้เอ็นดูทะนุถนอมเป็นพิเศษ หากแต่ไฝแดงตรงหว่างคิ้วกลับทำให้ดอกอวี้หลันดอกนี้ดูงามยวนใจขึ้นมา
นี่เป็นเด็กสาวที่ฉลาดเฉลียวนางหนึ่ง… ฉือชั่นคิดคำนึง
“นีนี** กลับมาเร็วเข้า อย่าชนถูกผู้สูงศักดิ์นะ” โจรค้าทาสสลัดเสี่ยวเอ้อร์หลุดไปได้ในที่สุดวิ่งตะบึงมาถึงแล้วยื่นมือมาจะฉุดเฉียวเจา
นางผลุบไปหลบหลังฉือชั่นเหมือนมัจฉาลื่นไหลปราดเปรียว
เขาคว้าได้แต่ลมก็ทั้งร้อนใจทั้งโมโห เอ่ยอธิบายขึ้น “คุณชาย นี่เป็นบุตรสาวข้า นางมีเรื่องขัดใจกับข้าเพราะไม่ยอมเชื่อฟัง ท่านอย่าเชื่อคำพูดเหลวไหลของเด็ก…”
“นี่ เจ้าเป็นบุตรสาวของเขาหรือ” ฉือชั่นเอี้ยวกายไปมองเฉียวเจายิ้มๆ
“ไม่ใช่” น้ำเสียงของเด็กสาวหนักแน่นเป็นพิเศษยามเปล่งวาจาออกมาสองคำอย่างเยือกเย็น ผิดแผกจากรูปโฉมภายนอกที่บอบบางอ่อนแอ
“พี่ชาย นางบอกว่าไม่ใช่นะ” ฉือชั่นมองไปทางโจรค้าทาส
เขาเห็นว่าสถานการณ์ชักไม่เข้าที จึงรีบปั้นหน้าซื่อๆ อย่างเจียมตนทันที พลางกล่าวทอดถอนใจ “มีบางอย่างที่คุณชายไม่ทราบ สองวันก่อน บุตรสาวข้าผู้นี้ถูกเจ้าหนุ่มตัวเหม็นผู้หนึ่งหลอกให้หนีตามกัน กว่าข้าจะตามกลับมาได้มิใช่ง่ายๆ ใครจะรู้ว่านางจะโกรธเคืองข้า ไม่เห็นข้าเป็นบิดาแล้ว บอกกับคนอื่นว่าข้าเป็นโจรค้าทาส เพื่อจะได้ไปหาเจ้าหนุ่มตัวเหม็นนั่น”
เขามั่นใจว่าแค่กล่าวคำนี้ออกมา คนอื่นก็จะเลิกยุ่งไม่เข้าเรื่อง คราวก่อนแม่นางน้อยตัวดีผู้นี้หนีไป เขาก็ใช้เหตุผลนี้เหมือนกัน
เขาอดมองเฉียวเจาด้วยสายตาแฝงคำเตือนปราดหนึ่งไม่ได้
นางเด็กตัวดี อีกประเดี๋ยวค่อยสั่งสอนเจ้า!
เฉียวเจาสบตาเขาอย่างใจเย็นแล้วคลายยิ้มฉับพลัน
วันนี้ต่างจากวันวานแล้ว…
สาวน้อยหลีเจานั้นขอความช่วยเหลือจากพวกคนที่มุงดูอยู่ แม้นคนจะมาก แต่แท้จริงแล้วขอเพียงคนผู้นี้บอกเหตุผลที่พอฟังขึ้นสักข้อ คนเหล่านี้จะเห็นว่ามิใช่กงการอันใดของตนแล้วแยกย้ายกันไป
แต่นางขอความช่วยเหลือจากคนที่เจาะจงเลือกไว้ คนผู้นั้นย่อมบังเกิดความรู้สึกรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีกโดยไม่รู้ตัว จึงไม่ฟังความข้างเดียวจากบุรุษผู้นั้น
เหนือสิ่งอื่นใดเขาคือฉือชั่น หากเขาไม่มีกระทั่งความสามารถแยกแยะเรื่องแค่นี้ ไหนเลยจะคบค้าวิสาสะกับพวกเชื้อพระวงศ์และขุนนางสูงศักดิ์ที่มีจิตใจคดเคี้ยวเลี้ยวลดได้
“แม่นางน้อย เจ้าหนีตามคนอื่นไปจริงหรือ” ฉือชั่นโน้มกายน้อยๆ ทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เห็นชัดว่ากำลังตลกขบขันเฉียวเจาอยู่
นางไต่ถามด้วยสีหน้าขึงขัง “ท่านอา ถ้าบุตรสาวท่านหนีตามคนอื่นไป ท่านจะป่าวร้องออกมาโดยไม่นำพาชื่อเสียงหน้าตาของนางแม้แต่น้อยนิดหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่มีทางอยู่แล้วแน่นอน!
ฉือชั่นจะพูดตอบโดยไม่ทันคิด เขาต้องรีบยั้งปากไว้แทบไม่ทัน
ล้อเล่นอะไรกัน เขามีบุตรสาวโตถึงเพียงนี้ที่ใด ต้องเป็นเพราะได้ยินแม่นางน้อยผู้นี้เรียกท่านอาๆ มากเกินไปเป็นแน่
ฉือชั่นยืนห่างออกมาหนึ่งก้าวเงียบๆ เหลือบเห็นฝูงชนที่ค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาทางหางตาแล้วไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้ต่อไป เขาเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “เจ้าทั้งคู่ล้วนกล่าวมีเหตุผล…”
“คุณชายเชื่อคำพูดเหลวไหลของเด็กได้อย่างไรเล่า อีกอย่างนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกข้าสองพ่อลูก…”
ฉือชั่นยิ้มกับโจรค้าทาส ด้วยเขารูปงามเหลือเกิน เพียงรอยยิ้มนี้ก็ทำให้ฤดูใบไม้ผลิยังต้องหมดสีสัน “พี่ชายท่านนี้วางใจได้ ข้ามิใช่พวกที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นแน่นอน”
โจรค้าทาสลอบถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก เขาฉีกยิ้มกว้าง พลันก็ได้ยินบุรุษผู้หล่อเหลาไม่เป็นสองรองใครนั่นพูดอย่างเนิบนาบ “ดังนั้นไปพบเจ้าหน้าที่ของทางการกันดีกว่า ให้ผู้ว่าการเมืองเป่าหลิงเป็นคนตัดสินว่าใครถูกใครผิด”
พอบุรุษตรงหน้าทำท่าอ้าปากค้าง เขาก็กล่าวปลอบเสียงนุ่ม “พวกข้าสามสหายจะพาพวกท่านไปส่งที่ที่ว่าการแล้วจะไม่ยุ่มย่ามเด็ดขาด”
“เจ้า…เจ้า…” เจอกับคนประหลาดผิดชาวบ้านพรรค์นี้ โจรค้าทาสถึงกับหมดคำพูดจะโต้กลับไปชั่วขณะ
ฉือชั่นย่นหัวคิ้วกะทันหัน หันหน้าไปเอ่ยกับบุรุษชุดสีน้ำเงิน “จื่อเจ๋อ ข้าจำได้ว่าสามปีก่อนผู้ว่าการเมืองเป่าหลิงผู้นี้เคยปฏิบัติหน้าที่ในอำเภอจยาเฟิงกระมัง”
เฉียวเจาสบช่องลอบพิศดูบุรุษชุดสีน้ำเงินแวบหนึ่ง
ท่านปู่มีสหายรักรู้ใจผู้หนึ่ง เป็นหมอเทวดาแห่งยุค ตอนท่านปู่ล้มป่วยในปีที่นางอายุแปดขวบ ท่านพาท่านย่ากับนางกลับไปพำนักที่จยาเฟิงตามคำแนะนำของหมอเทวดาหลี่ท่านนั้น
ในกาลก่อนทุกปีหมอเทวดาหลี่จะมาพักที่จยาเฟิงชั่วระยะสั้นๆ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้ท่านปู่ ปกตินางศึกษาตำราแพทย์อย่างหลากหลายกว้างขวางอยู่แล้ว ทุกครายามหมอเทวดามาเยือน นางจะฉวยจังหวะขอคำชี้แนะวิชาแพทย์จากเขา พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าปี นางก็นับว่าเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวของหมอเทวดาหลี่แล้ว ภายหลังสุขภาพของท่านปู่ก็ได้อาศัยนางเป็นคนฟื้นฟูให้เรื่อยมา
นางถ่วงเวลามาจนอายุสิบแปดถึงถูกท่านปู่ที่ป่วยหนักบังคับให้กลับเมืองหลวงออกเรือนไปกับบุตรชายคนรองของจิ้งอันโหว
สามีที่เพิ่งแต่งงานกับนางยังมิทันได้เปิดผ้าแดงคลุมหน้าเจ้าสาวก็รับคำสั่งไปออกศึกในวันงานพิธีมงคล ต่อมาไม่นานท่านปู่ก็ล่วงลับ ด้วยเหตุนี้ตลอดช่วงที่อยู่ในจวนจิ้งอันโหวนั้น นางพบปะคนภายนอกน้อยครั้งมาก ส่วนสามคนเบื้องหน้านี้ นางรู้จักแค่ฉือชั่นผู้เดียว มิหนำซ้ำสถานที่ที่ได้รู้จักกันยังเป็นที่จยาเฟิง
บุรุษชุดสีน้ำเงินไม่สังเกตเห็นว่าเฉียวเจาพินิจดูตนอยู่ เขาเอ่ยปากพูด “ที่นี่หาใช่เมืองหลวงไม่ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ว่าการเป็นผู้ใด สือซี หากข้าจำได้ไม่ผิด สามปีที่แล้วเจ้าเคยมาที่จยาเฟิงกระมัง”
ฉือชั่นพยักหน้า “อื้อ ตอนนั้นยังได้ดื่มน้ำชากับนายอำเภอจยาเฟิง มาหนนี้ข้าได้ข่าวแว่วๆ ว่าเขาย้ายมารับตำแหน่งที่เป่าหลิงแล้ว”
โจรค้าทาสได้ยินว่าฉือชั่นรู้จักกับผู้ว่าการ มีหรือจะกล้าราวีหาเรื่องอีก ฉวยโอกาสคนอื่นพูดคุยกันก้าวขาจะออกวิ่งหนีไป
บุรุษชุดสีเขียวซึ่งไม่ปริปากพูดมาโดยตลอดเงื้อเท้าถีบเขาจนหงายหลังล้มลงกับพื้น พลางกล่าวเสียงเย็น “ดูท่าว่าเจ้าคนผู้นี้จะเป็นโจรค้าทาสจริงๆ”
เฉียวเจาพูดเสียงดัง “ละเว้นเขาไม่ได้! เจ้าโจรค้าทาสผู้นี้ปั้นหน้าซื่อไร้พิษสงล่อลวงสตรีและบุตรสาวดีๆ ของชาวบ้านไปตั้งมากมายเท่าไรก็สุดรู้ ข้าโชคดีถึงได้ท่านอาช่วยเอาไว้ เกรงว่าหญิงสาวคนอื่นคงจะ…”
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ได้ยินคำกล่าวของนางต่างเดือดดาลไม่หยุดทันใด พากันเอ่ยขึ้น “พวกโจรค้าทาสน่าชิงชังที่สุด ตีเขา ตีเขาให้ตาย!”
พวกฉือชั่นสามคนพาเฉียวเจาหลบไปอยู่ด้านข้างเปิดทางให้กลุ่มคนผู้โกรธแค้นอย่างหัวไวยิ่ง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเหมือนสุกรถูกเชือดของโจรค้าทาสดังลอยมา
พวกฉือชั่นเลี้ยวเข้าถนนที่ผู้คนบางตาสายหนึ่ง เห็นเด็กสาวเดินตามหลังมาต้อยๆ ก็มองหน้ากันไปมา
นี่จะทำอย่างไรกันดี
บุรุษชุดสีน้ำเงินกับบุรุษชุดสีเขียวส่งสายตากันแล้วมองไปทางฉือชั่นพร้อมกัน
คนใดก่อปัญหา คนนั้นสะสางเอง
ฉือชั่นเลิกคิ้วสูง อ้าปากพูด “น้อง…”
เขาคิดจะเรียกว่า ‘น้องสาว’ แต่พอนึกถึงว่าอีกฝ่ายเรียกเขาว่า ‘ท่านอา’ ไม่หยุดปาก จึงพาให้ลิ้นพันกันไปชั่วขณะ
เฉียวเจาเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นพิเศษ นางรีบเอ่ยบอก “ท่านอาเรียกข้าว่าหลีซานก็ได้เจ้าค่ะ”
“หลีซาน…” มุมปากของฉือชั่นกระตุกริกอีกแล้ว เขาพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “ความจริงเจ้าเรียกข้าว่าพี่ฉือก็ได้นะ”
“พี่ฉือ” เฉียวเจาคล้อยตามอย่างหัวไว
ขอเพียงพานางกลับเมืองหลวง ให้เรียก ‘นายท่านฉือ’ ก็ยังได้
“อืม” ฉือชั่นไม่รู้สึกแสลงหูอีก เขาฉีกยิ้มกว้างพลางถามไถ่ “เรือนเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงหรือ”
เขาเห็นนางพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าพลางพูด “เช่นนั้นก็ไม่ถูกจังหวะเลย พวกข้ายังต้องไปที่จยาเฟิง ไม่สะดวกจะพาเจ้าไปด้วย มิสู้เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าไปจ้างรถม้าคันหนึ่งส่งเจ้ากลับเมืองหลวง”
จยาเฟิง?
เฉียวเจาใจเต้นรัวแรง
เรือนของหลีเจาอยู่ในเมืองหลวง แต่เรือนของนางเฉียวเจาอยู่ที่จยาเฟิงเสมอมา
นางยังไม่เคยไปโขกศีรษะหน้าหลุมศพท่านปู่ ทั้งไม่รู้ว่ายามนี้พวกท่านย่าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว
“ท่านอา เอ๊ย…ไม่ใช่…พี่ฉือ ข้าอยากไปกับพวกท่านเจ้าค่ะ” ไม่รอให้ทั้งสามเอ่ยปากพูด เฉียวเจาก็อธิบายต่ออย่างฉับไว “พี่ฉือจิตใจดีถึงจ้างรถม้าส่งข้ากลับเมืองหลวง แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ถ้าเกิดสารถีผู้นั้นคิดมิดีมิร้ายกับข้ากลางทางจะทำประการใดดีล่ะเจ้าคะ”
นางเข้าหาฉือชั่นตั้งแต่เริ่มแรก ขณะนี้ย่อมต้องดูว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่
พอเห็นเขายังสองจิตสองใจอยู่ เฉียวเจาก็ทำตาปริบๆ กล่าวว่า “บุญคุณที่พี่ฉือช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน…”
ฉือชั่นระแวงระวังขึ้นมาทันที
เด็กสาวผู้นี้คงจะไม่พูดต่อว่ามีเพียงพลีกายมอบใจให้กระมัง
ว่าแล้วเชียว ช่วยคนก็เสี่ยงเช่นเดียวกัน!
“แต่พอพี่ฉือส่งข้ากลับถึงเรือน ท่านพ่อท่านแม่ข้าต้องตกรางวัลก้อนโตเป็นการขอบคุณแน่เจ้าค่ะ”
ตกรางวัลก้อนโต? ฉือชั่นแทบสำลัก
ครั้นไม่เหมือนกับที่คิดไว้ เขาก็พลันรู้สึกคับใจอย่างมาก
บุรุษชุดสีน้ำเงินกับบุรุษชุดสีเขียวหัวเราะดังลั่นพร้อมกัน
* ดอกอวี้หลัน หมายถึงดอกแม็กโนเลีย
** นีนี เป็นคำเรียกเด็กสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู