หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 30
เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร หลีเจี่ยวอับอายจนหน้าแดงก่ำ
ไม่ว่าใครมีคู่หมั้นคู่หมายเช่นนี้ล้วนมิใช่เรื่องน่าเชิดหน้าชูตาอันใด
เฉียวเจาอดทอดถอนใจไม่ได้ นางรู้ได้อย่างไรน่ะหรือ มีมารดาแบบเหอซื่อ ไม่อยากรู้ก็ยากเหลือเกิน
ทุกคราที่เกิดเรื่องโชคร้ายกับพี่น้องคู่นี้ เหอซื่อจะมาบอกกับบุตรสาวของตนอย่างตื่นเต้นดีใจเป็นคนแรก เพื่อพยายามจะใกล้ชิดกับบุตรสาวผู้ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ กับตนทุกวิถีทางโดยไม่ย่อท้อ
นี่มันเหตุผลเหลวไหลอะไรของเจ้า พี่เจี่ยวถูกถอนหมั้น กลับต้องตีฆ้องร้องป่าวเฉลิมฉลองหรือไร
เฉียวเจาย้อนถามอย่างเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลดีแล้ว หลุดพ้นจากเศษมนุษย์ผู้หนึ่ง หรือว่าไม่สมควรตีฆ้องร้องป่าว
นางเบือนสายตาไปสบตากับหลีเจี่ยว ดวงตาที่ตาดำตาขาวตัดกันชัดเจนคล้ายฉายแววรู้เท่าทันอย่างไม่เปิดช่องให้บ่ายเบี่ยงได้
หลีเจี่ยวหลบตาอย่างอึดอัด นางจูงมือหลีฮุย น้องสาม พวกเราไปกันเถอะ
พี่เจี่ยว ท่านเป็นคนดีเช่นนี้อยู่เรื่อย
น้องสาม อย่าก่อความวุ่นวายอีกเลย น้องเจาพักผ่อนให้มากๆ นะ ข้ากลับเรือนก่อนล่ะ พี่สาวหมุนกายสาวเท้าเร็วรี่ออกไป หลีฮุยก็รีบไล่ตามไป
ม่านลูกปัดกวัดแกว่งกระทบกันไปมาเป็นเสียงไพเราะอ้อยอิ่งอยู่ริมหู
อาจูก้มตัวลงเก็บเม็ดหมากที่หล่นกระจัดกระจาย
ปิงลวี่ทำเสียงถ่มน้ำลายใส่ม่านลูกปัด คุณหนูไม่น่าบอกให้ยกน้ำชาให้พวกเขาเลยเจ้าค่ะ สองคนนั้นชอบกลั่นแกล้งแต่คุณหนูคนเดียว
พอแล้ว ช่วยอาจูเก็บเม็ดหมากขึ้นมา ข้ายังจะเดินต่อ
นี่จะเดินต่ออย่างไรเจ้าคะ ปิงลวี่ทำหน้างุนงง
รอกระทั่งอาจูเก็บเม็ดหมากขึ้นมาหมดแล้ว เฉียวเจาค่อยหยิบจากในโถมาวางบนกระดานทีละเม็ด
นางจัดเม็ดหมากตามตำแหน่งเดิมอย่างไม่เร็วไม่ช้า แต่ในหัวกลับคิดอีกเรื่องหนึ่ง
แน่นอนว่าเรื่องที่แม่นางน้อยหลีเจาถูกล่อลวงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น
ถึงแม้ในความทรงจำที่เหลืออยู่ของหลีเจาจะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เมื่อนางมองในฐานะคนนอกกลับเห็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย
ในวันงานเทศกาลกำเนิดบุปผา ตอนแรกหลีเจาไม่อยากออกไปข้างนอก แต่ได้ยินโดยบังเอิญว่าตู้เฟยหยางซื่อจื่อของจวนกู้ชางป๋อก็จะไปเที่ยวชม นางถึงได้เปลี่ยนใจ
จวนกู้ชางป๋อเป็นญาติฝ่ายมารดาของหลีเจี่ยว ส่วนตู้เฟยหยางเป็นญาติผู้พี่ของนางนั่นเอง
หลีเจาอยากพบหน้าซื่อจื่อผู้นั้น เป็นธรรมดาที่จะปัดความรู้สึกไม่พอใจต่อหลีเจี่ยวเป็นนิจทิ้งไปก่อน ขอติดหน้าตามหลังนางไปด้วย
งานเทศกาลกำเนิดบุปผาซึ่งจัดขึ้นปีละครั้งของแคว้นต้าเหลียงจะคึกคักพลุกพล่านเป็นพิเศษ พวกโจรค้าทาสล้วนจับจ้องวันเทศกาลเช่นนี้กันตาเป็นมัน ฝ่ายแม่นางน้อยหลีเจานั้นมีนิสัยหยิ่งยโสเกเรล้นเหลือ แต่กลับขาดสติปัญญาไหวพริบ บนถนนที่วุ่นวายจอแจสายนั้นนางไม่ทันระวังจนพลัดหลงกับคนอื่นและถูกทิ้งไว้คนเดียว ย่อมต้องตกเป็นเหยื่อของพวกโจรค้าทาส
บางครั้งอยากทำลายคนคนหนึ่งให้ย่อยยับช่างง่ายดายปานนั้น หลีเจี่ยวอารามร้อนใจเป็นห่วงยังป่าวร้องเรื่องที่คุณหนูสามสกุลหลีหลงทางหายตัวไปจนใครๆ รู้กันทั่ว ก็ตัดหนทางหวนคืนสู่เรือนของนางได้โดยสิ้นเชิงแล้ว
อย่างไรก็ดีถึงบัดนี้นางจะสวมร่างของหลีเจากลับมา แต่คุณหนูใหญ่สกุลหลีก็สบช่องปลดเปลื้องจากคู่หมั้นที่น่าหงุดหงิดใจนั่นได้ ยังเรียกความสงสารเห็นใจจากคนได้นับไม่ถ้วนอีก ไม่นับว่าสูญเปล่าอยู่ดี
เฉียวเจามิได้หยุดมือระหว่างที่ตรึกตรองเรื่องพวกนี้ นางรู้สึกเพียงว่าจวนแห่งนี้เต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบายชวนให้หนาวสะท้านจับใจจริงๆ
หลีเจี่ยวออกจากเรือนฝั่งซ้ายแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปข้างนอก จิตใจนางสับสนปั่นป่วนดุจคลื่นคลั่ง
นางอุปาทานไปเองใช่หรือไม่ เพราะเหตุใดถึงมีความรู้สึกว่าเด็กสาวผู้นั้นรู้ทันทุกสิ่งที่ตนคิดอ่านวางแผนไว้
นางคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าสตรีที่ถูกล่อลวงไปยังสามารถกลับมาในสภาพเดิมโดยไม่บุบสลาย แน่นอนว่าต่อให้กลับมาแล้วนางก็ไม่กลัว ซ้ำยังได้ฉวยโอกาสหลุดพ้นจากการหมั้นหมายกับจวนฉางชุนป๋อ ก็ควรค่าให้ยินดีเฉกเดียวกัน
บุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อเป็นพวกเสเพลอย่างนั้น แต่เพราะท่านแม่ตกลงรับหมั้นไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่ออยากถอนหมั้น แต่พอทางท่านตาไม่ยินยอม ท่านพ่อก็โอนอ่อนผ่อนตามแล้ว
นางวางแผนยิงทีเดียวได้นกสองตัวนี้อยู่ในใจมาเนิ่นนานแล้ว ทั้งที่รัดกุมไร้ช่องโหว่ เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ทำสายตาเหมือนอ่านทุกอย่างออกได้อย่างนั้น
นี่เป็นไปไม่ได้ พวกเบาปัญญาเฉกหลีซานจะคิดเรื่องพวกนี้ออกได้อย่างไร
หลีเจี่ยวไม่สนใจหลีฮุยที่ไล่ตามมาข้างหลัง เดินไปพลางครุ่นคิดในหัวไปพลางจนเกือบชนเข้ากับหลีกวงเหวิน
หลีกวงเหวินยื่นมือประคองนางไว้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ เจี่ยวเอ๋อร์ เป็นอะไรไปหรือ
หลีเจี่ยวดึงความคิดคืนมา เห็นสายตาห่วงใยของบิดาแล้วน้ำเสียงเจือสะอื้นโดยไม่รู้ตัว ท่านพ่อ…
นี่เกิดอะไรกันขึ้น
ข้า…ข้าไม่เป็นไร ข้ากลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ หลีเจี่ยวแสดงคำนับอย่างเร่งรีบแล้วเดินฉับๆ จากไป
หลีฮุยที่ไล่ตามมาทันถูกหลีกวงเหวินรั้งตัวไว้ พวกเจ้ามาจากเรือนฝั่งซ้ายหรือ พี่สาวเจ้าเป็นอะไรไป
สีหน้าของหลีฮุยบูดบึ้ง ยังมิใช่หลีเจาหรือขอรับ นางกลั่นแกล้งพี่เจี่ยวอีกแล้ว
สถานการณ์ทำนองนี้ต้องเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนเหลือเกินอย่างเห็นได้ชัด หลีกวงเหวินขมวดคิ้วตามความเคยชิน พลางเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ นางก่อเรื่องอีกแล้วหรือ
หลีฮุยแค่นเสียงฮึ
หลีกวงเหวินฉุกคิดขึ้นได้แล้วพิศดูบุตรชาย เจ้าเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาหลวงไม่ใช่หรือ ไฉนอยู่ในเรือนได้
ครอบครัวของนายท่านสองคนในจวนตะวันตก ทายาทรุ่นหลานทั้งหมดมีหลีฮุยเป็นหลานชายเพียงคนเดียว เป็นธรรมดาที่จะบ่มนิสัยให้เป็นคนหยิ่งทะนงถือใจตนเป็นใหญ่อยู่บ้าง เขากล่าวเสียงฮึดฮัด ได้ยินว่าหลีเจาเป็นต้นเหตุให้พี่เจี่ยวถูกถอนหมั้นไม่ใช่หรือขอรับ ข้าเป็นห่วงพี่เจี่ยวถึงได้รีบกลับมา
เอ่อ… หลีกวงเหวินชะงักไปเล็กน้อยก่อนพูดกำชับ พวกเจ้าสองพี่น้องสนิทสนมกันตั้งแต่เล็ก เจ้าไปปลอบใจพี่สาวเจ้าเสีย บอกนางว่าไม่จำเป็นต้องเสียใจเกินไป ดังคำกล่าวว่าไซ่เวิงเสียม้า รู้ได้อย่างไรว่ามิใช่โชคดี*
คู่หมั้นของบุตรสาวคนโตไม่น่าพึงใจจริงๆ ตอนนี้ถอนหมั้นกันแล้ว แม้ชื่อเสียงจะเสียหายไปบ้าง แต่มองการณ์ไกลใช่ว่าจะไม่เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
ถ้ามิใช่ทางจวนกู้ชางป๋อทัดทานไว้ เขาอยากยกเลิกมานานแล้ว
บางทีอาจเพราะคิดอย่างนี้ บุตรสาวคนรองสร้างปัญหาร้ายแรงถึงเพียงนี้แท้ๆ หลีกวงเหวินกลับไม่รู้สึกโมโหโทโสปานนั้นอย่างเหนือคาด
หลีฮุยดูท่าทางก็รับรู้ถึงจุดนี้เช่นกัน เขากล่าวอย่างไม่พอใจว่า ท่านพ่อ ทางน้องเจานั่นจะให้แล้วกันไปเท่านี้หรือขอรับ ขืนนางไม่แก้นิสัยตนเองบ้าง ไม่แน่ว่าวันหน้าจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีกมากเท่าไรก็เป็นได้
หลีกวงเหวินทำหน้าเคร่ง อื้อ พ่อจะไปอบรมสั่งสอนนางให้ดีๆ เอง
ฝากความหวังไว้กับเหอซื่อ คงน่าขันสิ้นดี
เวลานี้หลีฮุยถึงบรรเทาอารมณ์โกรธลงบ้าง เขาแสดงคารวะพร้อมกล่าว ท่านพ่อ อย่างนั้นข้าไปปลอบใจพี่เจี่ยวนะขอรับ
อื้อ ไปเถอะ หลีกวงเหวินพยักหน้าและก้าวขาเดินเข้าเรือนฝั่งซ้าย
ต้นทับทิมในลานเรือนผลิใบอ่อนสีเขียวแน่นขนัดขึ้น ต้นกล้วยข้างหน้าต่างก็เขียวชอุ่มชุ่มชื่น ทั่วบริเวณเรือนหลังน้อยสุขสงบงดงาม ได้ยินแต่เสียงวางเม็ดหมากดังกังวานใส
หลีกวงเหวินเดินหน้าตึงเข้าไป เห็นเด็กสาวนั่งขัดสมาธิกำลังเดินหมากอยู่ มือหนึ่งถือหมากขาว มือหนึ่งถือหมากดำ
เดินหมากกับตนเอง?
หลีกวงเหวินบังเกิดความสนใจ พาให้ลืมเลือนจุดประสงค์ที่มาไปชั่วขณะ เขาสั่นศีรษะกับสาวใช้สองคนเป็นเชิงบอกว่าอย่าส่งเสียงดังแล้วย่างเท้าเข้าไป
เฉียวเจากำลังเพลิดเพลินกับอรรถรสของการเดินหมาก นางใคร่ครวญเป็นนานกว่าจะวางหมากลงเม็ดหนึ่งก็ได้ยินเสียงร้องเบาๆ เยี่ยม
นางช้อนตาขึ้นเห็นบิดาที่เคารพยืนอยู่ด้านข้าง จ้องกระดานหมากเขม็งด้วยสายตาเปล่งประกายเป็นพิเศษ ทั้งที่มีอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่สีหน้าแววตายังคงกระจ่างสดใสละม้ายเด็กหนุ่ม
จิตใจบริสุทธิ์ดุจหยกใส…
ท่านพ่อ…
นางตั้งท่าจะลุกขึ้นคำนับ แต่หลีกวงเหวินห้ามไว้ มา เดินต่อ
เขาหย่อนบั้นท้ายลงนั่งฝั่งตรงข้ามเฉียวเจา หยิบเม็ดหมากขึ้นแล้วนิ่งตรึกตรอง
เวลาล่วงผ่านไปทีละน้อยทีละนิด เมื่อเดินจบหนึ่งกระดานแล้ว หลีกวงเหวินลุกขึ้นหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน
หนำใจ ช่างหนำใจจริงๆ
เขารู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว อมยิ้มเดินเอ้อระเหยออกไป ทิ้งเฉียวเจาที่ทำสีหน้างุนงงชอบกลไว้ที่เดิม
ท่านพ่อมาที่นี่ทำอะไรกันแน่
หลีกวงเหวินเดินเกือบถึงห้องหนังสือค่อยชะงักฝีเท้ากึก ตบหน้าผากอย่างขุ่นเคืองตนเอง รู้สึกไม่วายว่าลืมเรื่องสำคัญมากไปเรื่องหนึ่ง ในที่สุดก็นึกออกแล้ว เขายังไม่ได้เทศนาบุตรสาวที่ชอบก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวันเลย
* ไซ่เวิงเสียม้า รู้ได้อย่างไรว่ามิใช่โชคดี หมายถึงการเสียเปรียบหรือพบอุปสรรคบางครั้งเหตุการณ์อาจพลิกผันกลายเป็นโชคดีก็ได้ โดยในตำนานเล่าว่ามีชายแก่คนหนึ่งอาศัยอยู่แถบชายแดน ผู้คนเรียกว่าไซ่เวิง วันหนึ่งม้าของเขาหายไป ชาวบ้านต่างพากันปลอบใจ แต่ชายแก่กลับบอกว่าเรื่องนี้อาจเป็นโชคดีก็ได้ ต่อมาม้าที่หายไปก็พาม้ากลับมาด้วยตัวหนึ่ง