หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 303
บทที่ 303
เวลาไหลเลื่อนไปอย่างเชื่องช้า เสียงฟันกระทบกันดังขึ้นกลางความมืดกะทันหัน
เฉียวเจาตกใจ นางยื่นมือไปจับเซ่าหมิงยวน พบว่าเขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
นี่เป็นช่วงสำคัญที่สุด หากผ่านพ้นไปแล้วก็จะทนไปถึงวันพรุ่งนี้ได้ แต่ถ้าผ่านไปไม่ได้…
เฉียวเจาไม่กล้าคิดต่อ นางถูมือไปมาจนฝ่ามือร้อนแล้ววางทาบกลางอกเซ่าหมิงยวน ถ่ายทอดไออุ่นให้แก่เขา
จู่ๆ มีกระแสพลังระลอกหนึ่งพุ่งมาดึงนางไปทั้งตัว ฟางแห้งที่คลุมตัวเขาไว้ลอยกระเด็นไปทั้งสี่ทิศในความมืด บางส่วนยังร่วงหล่นลงบนร่างเปลือยเปล่าของนางชวนให้ระคายเคืองผิวอยู่บ้าง
“เซ่าหมิงยวน!” เฉียวเจาตวาดเรียกเสียงเบาๆ
สิ้นเสียงนางไม่ทันไร เขาก็พลิกกายทับนางไว้ใต้ตัว
เฉียวเจาแข็งทื่อไปทั้งร่าง “เจ้าคนบ้าๆ ไฉนถึง…”
เฉียวเจาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว
“หนาว…” เขาส่งเสียงครางอยู่ข้างหูนาง จากนั้นกอดแน่นขึ้นทุกทีคล้ายได้พบกับสิ่งที่แผ่ไอร้อนให้
ในความมืดเฉียวเจาพลันนึกไปถึงดวงหน้าคมคายเคร่งขรึม แผงอกบึกบึนล่ำสัน ตลอดจนกล้ามหน้าท้องเป็นมัดๆ ชัดเจนของเขา
หัวสมองของนางอึงอลไปหมด นางผลักไสเขาพลางพูด “เซ่าหมิงยวน ท่านทับข้าจนหายใจไม่ออกแล้ว”
แรงผลักดูเหมือนจะบังเกิดผล บุรุษบนตัวพลิกกายไปด้านข้าง ทว่าเฉียวเจายังไม่ทันโล่งอก เขาก็ดึงนางไปห่มกายคล้ายเป็นผ้าห่มกระนั้น
“…” เฉียวเจาฟุบอยู่บนตัวเขาครู่ใหญ่ รู้สึกถึงอาการสั่นเทาเหมือนชักกระตุกได้อย่างชัดเจน สุดท้ายนางถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
ช่างเถิด ข้าไม่อยากตาย แล้วก็ไม่อยากให้เขาตาย เดิมทีชาตินี้ข้าก็ไม่คิดจะออกเรือนอยู่แล้ว จะเรียกว่าทำผิดต่อบุรุษอื่นไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้เป็นอย่างนี้ไปเถอะ
เฉียวเจาจึงวาดมือโอบเอวเขาไว้
อาการสั่นของชายหนุ่มลดลงทีละน้อย ละม้ายลูกหมาป่าที่ได้รับการปลอบโยน เขาเอาปลายคางที่มีไรหนวดเขียวครึ้มถูไถกับซอกไหล่ของเด็กสาว
ยามลำแสงสาดส่องเข้ามาในถ้ำทีละน้อย เฉียวเจาลืมตาขึ้นมองเห็นดวงหน้าของอีกฝ่ายได้ถนัดตา
เมื่อไร้ม่านความมืดบดบังไว้ชั้นหนึ่ง หญิงสาวรู้สึกกระอักกระอ่วนเหลือหลาย จึงค่อยๆ ดึงตนเองให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขาอย่างเบาไม้เบามือ ด้วยหวาดหวั่นสุดใจว่าจะปลุกคนที่ยังหลับใหลอยู่ให้ตื่นขึ้น
ตอนนี้นางถึงพบว่าข้อเท้าขวาบวมเป่ง นี่เป็นผลลัพธ์จากที่ข้อเท้าพลิกเมื่อวานแล้วไม่ได้รักษาอย่างทันท่วงที
ทว่าในเวลาเช่นนี้หญิงสาวไม่มีแก่ใจคำนึงถึงมัน นางเดินกะเผลกๆ ไปตรงที่ผึ่งเสื้อผ้าไว้
ผ่านไปคืนหนึ่ง อาภรณ์ของทั้งคู่แห้งสนิท เฉียวเจาแต่งกายเสร็จอย่างว่องไว ถึงหอบชุดของเซ่าหมิงยวนย้อนกลับไป
อาจเพราะขาดที่ให้ไออุ่น ชายหนุ่มจึงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะขดตัวเข้าหากันน้อยๆ
เฉียวเจาไม่กล้ามองส่งเดช นางเอาเสื้อผ้าคลุมตัวเขาไว้ จากนั้นนั่งลงนวดคลึงข้อเท้าที่บวมเป็นซาลาเปาเบาๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เซ่าหมิงยวนค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งที่มองเห็นแวบแรกก็คือเด็กสาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ผมเผ้าของนางรุ่ยร่ายอยู่บ้าง ถึงขั้นมีเศษฟางติดอยู่ตามผมไม่น้อย เรียวคิ้วงามย่นเข้าหากันแสดงถึงความเจ็บให้เห็นได้รางๆ
“คุณหนูหลี เท้าท่านได้รับบาดเจ็บหรือ” พออ้าปากพูด เสียงของเขาทั้งทุ้มต่ำทั้งแหบพร่าจนตัวเซ่าหมิงยวนเองยังแปลกใจ
เฉียวเจาชะงักมือที่นวดคลึงข้อเท้าอยู่ เบือนหน้ามามองเขาอย่างกระดากอาย นางเอ่ยเตือนเสียงค่อย “ท่าน…รีบสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยเถอะ”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป สายตาของเขาเลื่อนลงไปปะทะเข้ากับเสื้อผ้าที่คลุมอยู่บนตัวแล้วฉายแววสับสนงุนงงระลอกหนึ่ง
ความคิดที่ตีกันยุ่งในหัวทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกกับสภาพการณ์ในขณะนี้
เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเมื่อใด
ครั้นสมองแจ่มใสขึ้นบ้าง ท่านแม่ทัพผู้มีสีหน้างุนงงนึกต่ออยู่ในใจว่า ยังมีกางเกงอีก
และนึกต่ออีกว่า แล้วก็กางเกงขาสั้น…
เซ่าหมิงยวนแทบลุกพรวดขึ้น
เพราะอะไรยังมีกางเกงขาสั้นด้วย!
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อขณะมองไปทางเฉียวเจาปราดหนึ่ง
เด็กสาวหันหลังให้อยู่ เรียวคองามระหงเป็นสีแดงระเรื่อ
ในใจเซ่าหมิงยวนหมดอาลัยเสียแล้ว
เขาสวมอาภรณ์เงียบๆ เสร็จแล้วส่งเสียงเรียก “คุณหนูหลี”
“แต่งกายเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ”
“อื้อ”
เฉียวเจาถึงหมุนกายมา ใบหน้าปราศจากร่องรอยผิดแผกไปใดๆ
“เมื่อคืนข้า…”
“เมื่อคืนพิษในตัวแม่ทัพเซ่ากำเริบ ข้าเป็นห่วงว่าสวมเสื้อผ้าเปียกจะทำให้อาการท่านทรุดหนักขึ้น ก็เลยถอดออกให้เจ้าค่ะ”
“ข้า…”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “เมื่อวานแม่ทัพเซ่าบอกข้าว่าในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก ธรรมเนียมมารยาทอันใดล้วนไม่สำคัญเท่าชีวิตคน ข้าเห็นว่าคำกล่าวนี้ของท่านมีเหตุผลอย่างมากเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางมองเขาแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แม่ทัพเซ่าคงจะไม่ให้ข้ารับผิดชอบกระมัง”
ใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำทันใด “คุณหนูหลีกล่าวล้อเล่นแล้ว”
เขาเอ่ยเช่นนี้ ทว่าจิตใจว้าวุ่นยุ่งเหยิง รู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ง่ายดายปานนั้น
เขาหลับสนิทเกินไปหรือ กระทั่งคุณหนูหลีถอดชุดให้ก็ยังไม่รู้สึกตัว…
“แม่ทัพเซ่า ข้าเท้าแพลงอยู่ วันนี้จะออกไปต้องอาศัยท่านแล้ว ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
จำเป็นต้องออกไปจากที่นี่แล้ว ไม่เช่นนั้นเกิดอาการของเขากำเริบอีกครั้ง ทั้งคู่คงได้แต่รอความตาย
“ไม่เลวนัก” เซ่าหมิงยวนยืดเส้นยืดสายทั่วร่างเบาๆ ครู่หนึ่งแล้วถามเสียงขรึม “เมื่อวานคุณหนูหลีออกไปข้างนอกใช่หรือไม่”
“ไม่มีสมุนไพร วันนี้ท่านคงไม่ฟื้นหรอก” เฉียวเจาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ขอบคุณมาก…” เซ่าหมิงยวนยังรู้สึกว่ามีตรงใดผิดปกติอยู่ แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกชอบกลเช่นนี้มาจากที่ใด
เขารู้ว่านี่เป็นจิตใต้สำนึก ทว่าเขาก็เชื่อในจิตใต้สำนึกที่เกือบเป็นสัญชาตญาณของตนเอง
เขาคิดว่าต้องให้เวลาตนเองสักหน่อย แล้วเขาก็จะค่อยๆ คิดออกเอง
“มา ข้าแบกท่าน” เซ่าหมิงยวนย่อตัวลง
เฉียวเจามิได้กระมิดกระเมี้ยน นางยกมือวางลงบนแผ่นหลังเขา
ยามมือนุ่มนิ่มของเด็กสาวแตะลงบนหัวไหล่ สายตาของเซ่าหมิงยวนมองกวาดไปโดยไม่ตั้งใจ ปะทะเข้ากับคราบเลือดแห้งกรังบนหลังฝ่ามือของนาง ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในเวลาชั่วเสี้ยวแล่นนี้ เขาลุกพรวดขึ้นยืนตัวตรง
เฉียวเจาลื่นตกจากหลังของชายหนุ่ม แต่ชั่วพริบตาก่อนเท้าแตะพื้น เซ่าหมิงยวนหมุนกายมาใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้อย่างว่องไว ช่วยให้นางพ้นเคราะห์ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าซ้ำอีกครา
“แม่ทัพเซ่า?” เฉียวเจาขมวดคิ้ว
นัยน์ตาของเซ่าหมิงยวนจับอยู่ที่เรือนผมรุ่ยร่ายของนางนิ่งๆ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
“มีอะไรหรือเจ้าคะ” เฉียวเจารู้สึกว่าสายตาของคนบางคนน่ากลัวอยู่สักหน่อย
สุ้มเสียงของชายหนุ่มละล้าละลัง “บนผมของคุณหนูหลีมีฟางติดอยู่เต็มไปหมด”
“อย่างนั้นหรือ” เฉียวเจาลูบผมโดยไม่รู้ตัว นางแย้มยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อคืนข้าหอบฟางแห้งพวกนี้มาห่มตัวให้อุ่นเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างพินิจราวกับอยากมองลึกเข้าไปถึงจิตใจนาง
เขาเอ่ยเสียงเบา “แต่บนเสื้อผ้าของคุณหนูหลีไม่มี”
ชั่วอึดใจนั้น เฉียวเจารู้สึกอับอายสิ้นท่าคล้ายโดนจับโกหก
เมื่อคืนนางกับเขาต่างเปลือยกายล่อนจ้อน ย่อมต้องไม่มีเศษฟางติดตามอาภรณ์เป็นแน่
เขาจะช่างสังเกตถึงเพียงนี้ไปด้วยเหตุใดกัน ถึงที่สุดแล้วเรื่องเมื่อคืนนี้ทำให้จิตใจนางสับสนว้าวุ่นจนมองข้ามจุดที่ส่อพิรุธอย่างนี้ไปเสียได้
“ถ้า…” เซ่าหมิงยวนอ้าปากแต่พูดไม่ออก เขายังไม่มั่นใจว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วสมควรพูดเช่นไรดี
“ก็ต้องไม่มีแน่นอน ข้าตื่นขึ้นมาก็ปัดออกแล้ว” เฉียวเจากล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้มละไม จากนั้นพูดเร่ง “แม่ทัพเซ่า พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ หากวันนี้ไปไม่ถึงวัดต้าฝูแล้วพิษในตัวท่านกำเริบซ้ำอีก ข้าก็จนปัญญา”
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนเก็บงำข้อกังขาในใจไว้ก่อน เขาแบกเฉียวเจาขึ้นหลัง
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ทั้งคู่ปีนขึ้นเนินไปนั่งอยู่บนพื้นหอบหายใจแฮกๆ มองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาในที่สุด