หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 310
บทที่ 310
สายตาของเฉียวโม่ทำให้เซ่าหมิงยวนหายใจไม่ทั่วท้อง
ถ้อยคำนี้ของเขาไม่มีพิรุธอะไร เหตุใดพี่เฉียวโม่ถึงมองเขาเช่นนี้
แม้ว่าเขาจะไม่สบายใจที่คุณหนูหลีบาดเจ็บที่เท้า แต่ด้วยฐานะของเขามีสิทธิ์แสดงออกมาที่ใดกันเล่า
“ยังดีที่แค่บาดเจ็บที่เท้า” สีหน้าของเฉียวโม่กลับเป็นปกติ “ถนนบนเขาถูกปิดตายแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ พรุ่งนี้ข้าขึ้นเขาไปแล้วจะอยู่ในวัดจนถนนใช้การได้ ค่อยส่งข่าวถึงจวนสกุลหลีให้พวกเขามารับนาง”
“ท่านโหวเป็นคนพาเจาเจาลงเขามาเลยก็ได้”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันเป็นคำรบที่สอง ครั้นเห็นสีหน้าของเฉียวโม่เรียบเฉยก็รู้สึกว่าตนคิดมากไปเอง เขาเอ่ยยิ้มๆ “ได้”
เขาออกไปแล้ว เฉียวโม่มองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับถอนใจเฮือกหนึ่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างน้องสาวคนโตกับกวนจวินโหวพัวพันยุ่งเหยิงตัดกันไม่ขาด หรือจะปิดบังกวนจวินโหวไปชั่วชีวิตดังเช่นที่น้องเจาพูดจริงๆ
หลังเซ่าหมิงยวนกลับเข้าห้อง เขาเรียกองครักษ์มาทันที ก่อนจะวาดแผนที่คร่าวๆ แล้วออกคำสั่ง “ตรงแอ่งเขาจุดนี้มีโตรกธารสายหนึ่ง คะเนจากทิศทางกระแสน้ำ เทือกเขาตรงนี้น่าจะเป็นปากแม่น้ำ เจ้าพาคนหลายคนไปสำรวจแถวปลายน้ำด้านนี้ดูว่ามีวี่แววของเฉินกวงหรือไม่”
“น้อมรับคำสั่ง”
วันรุ่งขึ้นเซ่าหมิงยวนยังไม่ออกจากเรือน ฉือชั่นก็รุดมาถึงอย่างเร่งร้อน พร้อมเอาห่อผ้าเล็กๆ ใบหนึ่งยัดเยียดให้เขา “รู้ว่าเจ้าจะปีนเขาไม่สะดวก ในนี้มีแต่พวกของกิน เจ้านำไปให้หลีซานแทนข้าเถอะ”
“ได้” เซ่าหมิงยวนรับห่อผ้ามาสะพายหลัง
ฉือชั่นลังเลใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยกำชับ “ในนั้นมีสารฉบับหนึ่ง อย่าทำหล่นนะ”
“สาร?” เซ่าหมิงยวนแก้ห่อผ้าออก มีสารฉบับหนึ่งเสียบรวมไว้กับของกินหลายห่อจริงๆ
“ถิงเฉวียน เจ้าเปิดห่อผ้าออกด้วยเหตุใด” ฉือชั่นหลากใจอยู่สักหน่อย
เซ่าหมิงยวนหยิบสารฉบับนั้นออกมาส่งให้ฉือชั่น “สิ่งนี้ข้าเอาไปไม่ได้”
“เอาไปไม่ได้? ถิงเฉวียน เจ้าหมายความว่าอะไร”
“นำสารไปไม่เหมาะสม”
“ไม่เหมาะสมอย่างไร” ฉือชั่นยกสองมือกอดอก ใบหน้าฉายแววไม่พึงใจ
“เวลานี้มีคนมาชุมนุมกันอยู่ที่เชิงเขาลั่วสยามากมาย ข้าต้องปีนผาขึ้นเขาจากตรงนั้นไม่อาจมั่นใจได้เต็มที่ เกิดพลั้งพลาด…ทำห่อผ้าหล่นโดยไม่ระวัง เป็นเพียงพวกของกินกลับไม่เป็นไร แต่หากสารฉบับนี้ตกอยู่ในมือคนอื่นก็จะไม่ดี”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ฉือชั่นกลอกตาขึ้น วรยุทธ์ของเซ่าหมิงยวน คนอื่นอาจไม่ประจักษ์แจ้ง แต่เขายังไม่ล่วงรู้ได้หรือ พูดถึงเรื่องพลาดพลั้งจะมีได้ที่ใดกันเล่า
“ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น*” เซ่าหมิงยวนไม่โอนอ่อน “เจ้าฝากความข้าไปบอกต่อได้”
“ถิงเฉวียน เจ้าคงมิใช่จงใจหัวเราะเยาะข้ากระมัง”
เซ่าหมิงยวนยกมือนวดๆ หว่างคิ้ว เขาพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “ข้าไม่ไร้สาระปานนั้น”
ถ้าทำได้ เขาอยากหลบไปอยู่ไกลๆ ใจจะขาดยังดีกว่ายืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนี้
ฉือชั่นลังเลแล้วลังเลอีกก่อนพูดอย่างใจเด็ด “ตกลง ข้าจะไม่พูดพล่ามให้มากความ เจ้าบอกกับหลีซานว่าให้นางรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีๆ สองปีนี้ข้าจะมานะพยายาม รอเมื่อนางปักปิ่นแล้วจะสู่ขอนางมาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณี”
เขาพูดจบแล้วเห็นสหายรักไม่มีท่าทีใดๆ จึงยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย “ถิงเฉวียน เจ้ามึนงงไปแล้วหรือ”
“เปล่า ข้าจำได้แล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้ว” ฉือชั่นยื่นมือตบไหล่เขา “ปีนเขาระวังตัวด้วย”
ตอนเซ่าหมิงยวนไปถึงวัดต้าฝูเป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน เขากินอาหารมังสวิรัติไม่กี่คำอย่างขอไปทีก็ขอให้เณรน้อยเสวียนจิ่งไปบอกความเฉียวเจาที่อารามซูอิ่ง
ยามนี้เฉียวเจากำลังคัดลอกพระธรรมเป็นเพื่อนอู๋เหมยซือไท่
กลิ่นธูปไม้จันทน์หอมลอยอวลอยู่ในห้องทำสมาธิ ราวกับแบ่งกั้นที่นี่ให้เป็นดินแดนซึ่งตัดขาดจากโลกียวิสัย
“ใจเจ้าไม่สงบ” อู๋เหมยซือไท่กล่าวเสียงเนิบนาบ
เฉียวเจาวางพู่กันลง แสดงคำนับต่ออู๋เหมยซือไท่อย่างเรียบร้อยสำรวมแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ทำให้ท่านตลกขบขันแล้ว ท่านแม่ทัพที่ส่งข้ามาที่วัดเมื่อวานลงเขาไปส่งข่าว บอกว่าจะกลับขึ้นมาตอนเช้าวันนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวคราวเขา ข้าจึงกังวลใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ”
อู๋เหมยซือไท่มองนางอย่างพินิจ จู่ๆ ก็โคลงศีรษะยิ้มๆ “เจ้าช่างเป็นเด็กที่ไม่เหมือนใครจริงๆ”
นางนึกว่านี่คือสตรีที่หยิ่งทะนงผู้หนึ่ง แต่เด็กสาวผู้นี้กลับบอกความในใจที่มีต่อผู้อื่นอย่างเปิดเผย
บางทีเด็กเช่นนี้มักพบความสุขได้ง่ายกว่า
เวลานี้เองมีเสียงรายงานดังมาจากหน้าประตู “พระอาจารย์อา เสวียนจิ่งน้อยมาที่นี่บอกว่าท่านแม่ทัพคนเมื่อวานมาถึงแล้ว กำลังรอคุณหนูหลีซานอยู่ที่วัดเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ”
ภิกษุณีจิ้งซีประคองเฉียวเจาลุกขึ้น
“รบกวนซือฟู่แล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวขอบคุณ
จิ้งซีประคองนางเดินไปถึงลานกว้าง มีภิกษุณีร่างกายแข็งแรงสองรูปยกคานหามเข้ามา
อารามซูอิ่งมีฐานะพิเศษ ไม่อนุญาตให้ฆราวาสชายเข้ามา เมื่อวานพอเซ่าหมิงยวนให้เฉียวเจาขี่หลังมาถึงวัดต้าฝู ก็ให้เณรน้อยเสวียนจิ่งมาบอกจิ้งซี เมื่อได้รับความเห็นชอบจากอู๋เหมยซือไท่ จิ้งซีถึงส่งภิกษุณีสองรูปไปรับตัวเฉียวเจาที่ขาแพลงมาที่นี่
เฉียวเจากล่าวขอบคุณซ้ำๆ ก่อนขึ้นเสลี่ยงหาม
ระหว่างทางเณรน้อยเสวียนจิ่งที่เดินอยู่ด้านข้างทำท่าหดหู่ใจอยู่บ้าง ตอนใกล้จะถึงวัดต้าฝู เขาอดถามขึ้นไม่ได้ในที่สุด “สีกา สีกาคนที่มาเป็นเพื่อนท่านทุกครั้งอยู่ที่ใดหรือ อาตมาจำได้ว่าเมื่อวานนางลงเขาไปพร้อมกับท่านนี่นา”
เฉียวเจาตอบไม่ออก นางไม่แน่ใจว่าปิงลวี่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าปิงลวี่จะจากไปแล้ว
จะจากไปแล้วได้เช่นไร สาวใช้น้อยผู้สดใสน่ารักนิสัยโผงผางจริงใจและร่าเริงอย่างนั้น นางยังมีชีวิตวันข้างหน้าอีกแสนยาวไกลนะ
“นางตายแล้วใช่หรือไม่” เสวียนจิ่งเงยหน้าขึ้นถาม พอเห็นเฉียวเจานิ่งเงียบไป ดวงตากลมโตของเขากะพริบปริบๆ สองทีก็มีน้ำตารื้นขึ้น “อาตมายังไม่ได้บอกกับนางเลยว่าขนมสายไหมรังนก* ที่นางนำมาให้ข้าคราวก่อนอร่อยมาก…”
เสวียนจิ่งอายุยังน้อย พอได้เริ่มพูดก็ห้ามตนเองไม่อยู่ เขากล่าวปนสะอื้น “อาตมาไม่กล่าวโทษที่นางหัวเราะเยาะว่าอาตมาฟันหลอ อาตมาไม่อยากให้นางตาย สีกาทำอย่างไรดี”
เฉียวเจายื่นมือไปลูบแก้มเล็กๆ ของเขา พูดเสียงนุ่มว่า “ซือฟู่น้อยอย่าร้องนะ นางไม่เป็นไร”
“จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดนางไม่ได้อยู่ด้วยกันกับท่านเล่า”
เฉียวเจาผลิยิ้มอ่อนโยน “เพราะข้าเจ็บเท้า แม่ทัพท่านนั้นให้ข้าขี่หลังได้คนเดียว นางมีอีกคนหนึ่งดูแลอยู่”
เณรน้อยถึงยิ้มออกทั้งน้ำตา “เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน ทว่าไฉนคนที่ดูแลนางไม่ให้นางขี่หลังมาด้วยกัน”
เฉียวเจาโอดครวญในใจว่าจะหลอกล่อเด็กน้อยมิใช่ง่ายๆ เลย นางหยิกแก้มเขาพลางพูด “เพราะคนผู้นั้นเรี่ยวแรงไม่มากพอ ให้นางขี่หลังนานถึงเพียงนั้นไม่ไหว พวกเขาจึงไปพักอยู่ในเรือนชาวบ้านละแวกใกล้ๆ ส่วนข้ากลัวซือฟู่น้อยจะเป็นห่วงก็เลยมาที่นี่อย่างไรล่ะ”
เณรน้อยหน้าแดงทันใด เขาโบกมือไปมาเป็นพัลวันพลางกล่าวว่า “อาตมาไม่เป็นห่วง ผู้ครองสมณเพศละวางแล้วซึ่งกิเลสตัณหา ทุกสิ่งคือความว่างเปล่า อมิตาภพุทธ…อีกอย่าง สีกาไม่ควรหยิกแก้มอาตมานะ”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่
เซ่าหมิงยวนรออยู่นอกประตูวัด มองปราดเดียวก็เห็นเด็กสาวอมยิ้มละมุนละไมกับเณรน้อย
ชั่วพริบตานั้นชายหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น เขาลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งถึงควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วนกะทันหันให้สงบลง พลางก้าวขาเดินเข้าไปหา
เฉียวเจาตามเซ่าหมิงยวนเข้าสู่ห้องพักแขกที่เขาพำนักอยู่ชั่วคราว
“แม่ทัพเซ่านำข่าวไปบอกคนในครอบครัวข้าแล้วกระมัง”
“พวกเขารู้แล้ว”
สายตาของนางหยุดอยู่ที่ห่อผ้าในมือเขา “นี่เป็นของที่คนในครอบครัวข้าฝากมาให้หรือ”
* ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น เป็นสำนวน หมายถึงคนเรามักไม่กลัวสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หากแต่กลัวสิ่งที่นานๆ จะเกิดขึ้น ให้เตรียมพร้อมไว้เสมอ อย่าประมาท
* ขนมสายไหมรังนก ทำจากน้ำตาลกวน ถั่วลิสง ถั่วเหลือง และงา แล้วนำมายืดเป็นเส้นเล็กละเอียดเหมือนเส้นไหม หน้าตาคล้ายขนมสายไหม