หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 313
บทที่ 313
เซ่าหมิงยวนอาจไม่เคยเข้าไปใกล้ๆ อารามซูอิ่ง แต่เขาเคยทอดสายตามองอยู่ไกลๆ จากนอกวัดต้าฝูหลายครั้งหลายหน
คุณหนูหลีอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาจึงจดจำเส้นทางไว้จนขึ้นใจ
เพลานี้เขาวิ่งเร็วรี่ปานสายลม เผ่นโผนโจนทะยานอยู่กลางพงไพรประหนึ่งเสือดาวที่แข็งแรงประเปรียวตัวหนึ่ง เขาไม่ได้ใช้ถนนจากวัดต้าฝูสู่อารามซูอิ่งเส้นนั้น แต่เลือกเส้นทางที่วาดไว้ในหัว
ตลอดทางสายนี้แทบจะต้องลัดเลาะไปตามหน้าผาลาดชัน ทว่าเป็นทางลัดที่สุด
หลังกระโจนกายขึ้นๆ ลงๆ สองสามตลบ เซ่าหมิงยวนก็มาถึงด้านนอกอารามซูอิ่งแล้ว
ประตูอารามปิดสนิท เห็นเพียงกิ่งเหมยยื่นออกมานอกกำแพง
ชายหนุ่มดีดตัวจากพื้นไต่ขึ้นกำแพง เขามองปราดเดียวก็ตะลึงพรึงเพริดถึงขีดสุด
เขาชักมีดสั้นจากสนับแข้งแล้วตวัดมือซัดออกไปโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ
มีดสั้นลอยพุ่งตรงไปที่ขมับของบุรุษผู้นั้น
เมื่อมีดสั้นปักเข้าตรงจุดนี้ของคนร้าย จะต้องทำให้คุณหนูหลีตกใจเสียขวัญเป็นแน่ แต่เซ่าหมิงยวนมีทางเลือกทางเดียว
คนร้ายมีฝีมือเพียงใดยังไม่แจ่มแจ้ง ถ้าซัดอาวุธใส่กลางหลังแล้วเขาหลบได้ เช่นนั้นผลที่ตามมาอาจเลวร้ายจนไม่กล้าคิด
เฉียวเจากำปิ่นในมือแน่น จ้องเขม็งที่บุรุษผู้นั้นไม่ยอมหลับตา
นางจะไม่ถอยหนี ไม่ตายก็รอด
ทันใดนั้นเบื้องหน้าสายตานางกลายเป็นสีแดงฉาน โลหิตข้นเหนียวสาดกระเซ็นเต็มใบหน้า
เฉียวเจาคลายมือที่กำปิ่นออกฉับพลัน ตอนร่างของคนผู้นั้นจะล้มลงมาทับ นางปลดปล่อยพลังสุดตัวผลักเขาออกไปได้อย่างเหลือเชื่อ
บุรุษผู้นั้นตายในสภาพน่ากลัว มีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักอยู่ตรงขมับ แม้นางจะผลักลำตัวท่อนบนเขาไปด้านข้างได้ แต่ท่อนล่างยังทับร่างนางอยู่
เพลานี้ความรู้สึกขยะแขยงถึงท่วมทะลักเข้ามาในใจนางคล้ายทำนบพังทลาย
“ออกไป!” นางผลักศพที่ทับขาสองขาของตนไว้อย่างสุดชีวิต
มีเงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงแดดแยงตาไว้ เซ่าหมิงยวนก้มลงผลักศพบุรุษออกให้แล้วถามเสียงนุ่ม “คุณหนูหลี ท่านเป็นอย่างไร…”
เฉียวเจาโถมเข้าสู่อ้อมแขนชายหนุ่มทันที นางโถมตัวมาหาอย่างกะทันหันจนไม่ทันตั้งตัวสักนิด เขาโอบรับนางไว้พร้อมถอยหลังครึ่งก้าว
ชั่วอึดใจที่เด็กสาวโผเข้ามาในอ้อมอก ความคุ้นเคยแปลกๆ ก็บังเกิดขึ้นมาเอง ทว่าเรือนร่างนุ่มนิ่มที่สั่นเทานั่นทำให้เซ่าหมิงยวนไม่มีแก่ใจขบคิดอะไรมาก เขาอุ้มนางขึ้นโดยไม่รอช้า
“เซ่าหมิงยวนๆ…”
“ข้าอยู่นี่” น้ำเสียงของชายหนุ่มสั่นน้อยๆ เขากอดนางไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว
เขารู้สึกว่าเขาอาจจะทำผิดแล้ว แต่ในเวลานี้เขาจะหักใจวางตัวนางลงได้เช่นไรเล่า
“เซ่าหมิงยวน ท่านจะขว้างใส่จุดอื่นไม่ได้หรือ” เฉียวเจาสงบจิตใจลงได้แล้วรู้สึกว่าท่าทางอ่อนแอเมื่อครู่นี้น่าอายอยู่บ้าง
“ข้าพาท่านไปล้างหน้า”
“ท่านวางข้าลงเถอะ รีบไปดูว่าพวกซือไท่เป็นอย่างไรกันบ้าง”
“พาท่านไปล้างหน้าก่อน” เซ่าหมิงยวนเดินก้าวยาวๆ พาเฉียวเจาไปตรงอ่างน้ำข้างกำแพง ตักน้ำขันหนึ่งเทลงพื้น
เฉียวเจารีบใช้สองมือรองน้ำมาชะล้างคราบเลือดบนใบหน้าออก ส่วนเลือดที่กระเด็นติดตามตัวนั้นนางไม่มีแก่ใจจะล้างออก พูดเร่งเขาว่า “แม่ทัพเซ่า ท่านรีบไปดูเถอะว่าอู๋เหมยซือไท่เป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้ข้าหกล้ม ขาสองข้างไม่มีแรง ข้าจะรอท่านอยู่ตรงนี้…”
นางไม่ทันพูดจบก็ร้องอุทานเบาๆ คำหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะบุรุษด้านข้างช้อนตัวนางขึ้นอุ้มไว้
“ไปด้วยกัน” เซ่าหมิงยวนบอกโดยไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
เฉียวเจาอ้าปากออก สุดท้ายก็มิได้ทัดทาน
คืนนั้นนางข้อเท้าแพลง ก็เป็นเซ่าหมิงยวนแบกนางขึ้นหลังมาถึงวัดต้าฝู หากจะทำกระบิดกระบวนในเวลานี้ออกจะไร้เหตุผลแล้ว
“อู๋เหมยซือไท่พำนักอยู่ห้องใดหรือ”
เฉียวเจายกมือชี้ “ตอนกลางวันซือไท่จะพักผ่อนในห้องนั้นเสมอเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนอุ้มนางแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปเตะประตูเปิดออก
ประตูทั้งสองบานแกว่งไกวไปมาไม่หยุด ในห้องว่างเปล่าไม่มีใครสักคน
“ผ้าห่มบนตั่งถูกคลี่ออกแล้ว” เฉียวเจากล่าว
เงามืดในใจที่เกิดจากคนร้ายยังไม่เลือนหายไป สุ้มเสียงของเด็กสาวสั่นเทาอย่างปิดไม่มิด แต่ความปลอดภัยในยามนี้ของพวกอู๋เหมยซือไท่ทำให้นางไม่อาจไม่ลืมเรื่องพวกนี้ไปชั่วคราว เพียงพุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“ยังมีจิ้งซีซือฟู่ ปกติท่านจะพักผ่อนอยู่ในห้องติดกันเจ้าค่ะ” เฉียวเจาดิ้นขลุกขลัก “แม่ทัพเซ่า ท่านวางข้าลงเถอะ รีบไปดูที่ห้องด้านข้าง”
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนวางนางลงแล้วหมุนกายออกไป
เฉียวเจามองสำรวจห้องพักผ่อนของอู๋เหมยซือไท่
ตั่งขาเตี้ยตัวหนึ่ง อาสนะผืนหนึ่ง และตู้เสื้อผ้าซึ่งตั้งอยู่ตรงผนังสีขาวเหมือนกำแพงหิมะ นอกเหนือจากนี้ก็มีแค่กระถางต้นจันทน์หอมดัดที่วางประดับไว้บนโต๊ะเล็กริมหน้าต่าง
เฉียวเจามองไปทั่วห้องรอบหนึ่งแล้วรู้สึกรางๆ ว่ามีตรงใดผิดปกติอยู่
นางบอกไม่ถูกว่ามันผิดปกติที่ตรงใดกันแน่ บางทีอาจเป็นสัญชาตญาณของสตรี แต่มันทำให้ใจนางกระวนกระวายอย่างปราศจากสาเหตุ
เพราะตกใจขวัญเสียเกินไป ส่งผลให้ร่างกายของเฉียวเจาไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าไร นางยื่นมือเลิกผ้าห่มบนตั่งขึ้นจ้องมองนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ค่อยเบนสายตามองไปทางอื่น
บนพื้นห้องทำสมาธิซึ่งเป็นที่นอนพักกลางวันของอู๋เหมยซือไท่ห้องนี้ปูด้วยไม้กระดาน มีรอยลากของเห็นได้ไม่ชัดนัก
แววตาของเฉียวเจาฉายรอยตึงเครียดฉับพลัน
อู๋เหมยซือไท่รักความสะอาดอย่างมาก จิ้งซีซือฟู่จึงเช็ดถูห้องนี้ทุกเช้าค่ำ ดังนั้นตามปกติแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะมีรอยเช่นนี้ปรากฏอยู่
รอยลากเป็นทางนั่นเลือนรางอย่างยิ่ง เฉียวเจาก้มลงมองพลางเดินไปตามรอย สุดท้ายหยุดลงตรงหน้าตู้เสื้อผ้า
นางยืดตัวขึ้นจ้องมองตู้เสื้อผ้าที่ปิดสนิทโดยไม่ขยับกาย นานพักหนึ่งถึงยื่นมือไปจับห่วงประตูทำจากทองแดง
ห่วงทองแดงซึ่งมีร่องรอยของกาลเวลาให้สัมผัสเย็นเฉียบ เฉียวเจาลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนดึงประตูตู้เปิดออกทันทีโดยไม่ลังเลใจอีก
ร่างงอก่องอขิงร่างหนึ่งเอนล้มลงมาทับนางไว้กับพื้น
“เซ่าหมิงยวน!” นางเปล่งเสียงตะโกน
ชายหนุ่มพุ่งเข้ามาแทบในชั่วพริบตา
“อย่าผลักแรงๆ นะ นางคือจิ้งซีซือฟู่” ถึงแม้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงเฉกนี้ เฉียวเจายังคงดึงรั้งสติสัมปชัญญะสุดท้ายไว้ได้
เซ่าหมิงยวนอุ้มจิ้งซีไปบนตั่งขาเตี้ย จากนั้นก้มตัวพยุงเฉียวเจาขึ้นมา
“คุณหนูหลีเจอจิ้งซีซือฟู่ในตู้เสื้อผ้าหรือ”
“ใช่ นาง…ใช่หรือไม่ว่านาง…”
“ร่างกายยังไม่แข็งทื่อ” เซ่าหมิงยวนพินิจพิเคราะห์อย่างใจเย็น
“ข้าตรวจดูสักหน่อย” เฉียวเจากัดฟันกล่าว
เซ่าหมิงยวนถอยออกด้านข้างอย่างฉับไว
เฉียวเจามองเขาอย่างจนปัญญา “ตัวข้าไม่มีแรง ประคองข้าไปใกล้ๆ สิ”
“อ้อ” เซ่าหมิงยวนจึงอุ้มนางเข้าไปใกล้ๆ
“…” คนผู้นี้นับวันยิ่งอุ้มข้าได้คล่องมือแล้วใช่หรือไม่
สองมือของจิ้งซีถูกมัดไพล่หลังไว้ ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท
เฉียวเจาดูสีหน้านางก่อน จิตใจที่หวาดหวั่นวิตกอยู่ถึงผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย จากนั้นค่อยจับชีพจรนางแล้วเผยรอยยิ้มราวกับยกภูเขาออกจากอกอย่างสุดระงับ “ดีเหลือเกิน จิ้งซีซือฟู่เพียงหมดสติไป”
เฉียวเจายื่นมือไปแก้มัดให้จิ้งซี
เซ่าหมิงยวนพูดโพล่งขึ้น “เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลอยู่สักหน่อย”
นางชะงักมือช้อนตาขึ้นมองเขา
แม่ทัพหนุ่มคล้ายหวั่นกลัวว่าเด็กสาวตรงหน้าจะทนรับไม่ไหว เสียงของเขาเบามาก “เมื่อครู่ข้าไปตรวจดูตามห้องอื่นๆ ซือไท่พวกนั้นตายหมดแล้ว ถูกปาดคอตายอยู่บนเตียง”
ความคิดอ่านของเฉียวเจาเฉียบไวปานใด นางได้ยินเซ่าหมิงยวนกล่าวเช่นนี้ก็มองขวับไปทางจิ้งซีที่สลบไสลไม่ได้สติอยู่
หากซือฟู่คนอื่นๆ ล้วนจบชีวิตทั้งหมด เหตุใดมีเพียงจิ้งซีผู้เดียวที่ยังรอดชีวิต
นางยื่นมือไปตรวจบริเวณลำคอของจิ้งซีโดยไม่รอช้า ฝั่งที่หันมาทางนางขาวเกลี้ยงไร้ร่องรอยใด
เฉียวเจาจับศีรษะของจิ้งซีพลิกไปอีกข้างหนึ่งเบาๆ สายตาของนางนิ่งขึงทันควัน
บาดแผลตื้นๆ รอยหนึ่งพาดเป็นทางยาว แต่ตรงปากแผลแห้งกรังไม่มีเลือดออกแล้ว