หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 315
บทที่ 315
เซ่าหมิงยวนเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งสนิท “เรื่องนี้ยังต้องสืบต่อไปจึงจะหาเบาะแสได้ คุณหนูหลี ท่านฟื้นกำลังแล้วใช่หรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจาไม่เข้าใจว่าเขาถามเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใดกัน
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปดูข้างนอกด้วยกันเถอะ”
ทั้งสองก้าวออกจากห้องพร้อมกัน
เฉียวเจาเดินอยู่ข้างกายเขา เห็นเขาสาวเท้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ คนร้ายที่หมดลมหายใจนานพักใหญ่แล้วย่อกายลงตรวจดูอย่างละเอียด
ความทรงจำดุจฝันร้ายไหลพรั่งพรูมา นางเบือนหน้ามองไปทางอื่น
ประตูอารามซูอิ่งเปิดอ้ากว้าง ได้ยินเสียงพูดคุยปนเปกับเสียงฝีเท้าลอยแว่วๆ ดังใกล้เข้ามาทุกที ผู้มาถึงคือภิกษุที่ทางวัดต้าฝูส่งมาเพิ่มขึ้นหลังได้ข่าว
ราวกับว่าอารามนางชีที่ลึกลับสุดจะเปรียบในใจชาวเมืองหลวงนับไม่ถ้วนหลังเล็กๆ แห่งนี้ได้เบิกม่านแห่งความลี้ลับที่ปิดไว้มาช้านานชั้นนั้นออกในพริบตาเดียว
เฉียวเจาทอดถอนใจเบาๆ
ตั้งแต่ฟื้นคืนชีพเป็นต้นมา ชีวิตของนางนับวันยิ่งล่อแหลมระทึกใจขึ้นเรื่อยๆ แทบไม่มีเวลาที่สุขสงบสักเท่าไร
กลุ่มภิกษุแห่กันเข้ามา เซ่าหมิงยวนยืดกายขึ้นบังเฉียวเจาไว้ ถอยออกเปิดทางให้ภิกษุเหล่านี้
จนกระทั่งเหล่าภิกษุเข้าไปหมดแล้ว เซ่าหมิงยวนถึงแบมือออก กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูหลี ท่านดูสิ”
เฉียวเจามองไปทันที สีหน้านางฉายแววประหลาดใจน้อยๆ “นี่คือ…ฟัน?”
“ใช่ ในนี้ซ่อนพิษไว้”
เฉียวเจาหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน “เช่นนี้แสดงว่าคนผู้นี้คือพวกนักรบพลีชีพ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างลังเลใจ “ตามความเห็นข้า คนผู้นี้มิใช่นักรบพลีชีพที่ดีนัก เอ่อ…คงเป็นเพราะปลอมตัวเป็นชาวป่าชาวเขานานเกินไปก็เลยลืมฐานะของตนเองไปแล้ว”
นักรบพลีชีพที่ดีไม่พึงหวั่นไหวกับสิ่งรอบข้าง แต่ข้าเห็นกับตาว่าคนผู้นี้หมายจะลวนลามคุณหนูหลี…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซ่าหมิงยวนทั้งรู้สึกโชคดีทั้งหวาดผวาไม่หาย
ถึงกระนั้นก็เป็นเคราะห์ดีที่คนผู้นี้ไม่นับว่าเป็นนักรบพลีชีพที่ดี หาไม่แล้วเขาคงมาถึงไม่ทันการณ์เป็นแน่
เฉียวเจาฉลาดเฉลียวชั้นใด นางฟังเซ่าหมิงยวนกล่าวเช่นนี้แล้วครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจความหมายของเขาได้ จึงพาให้ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้
อาจจะมิใช่ว่าคนผู้นี้ขาดคุณสมบัติ แต่เป็นนางยั่วยุจนเลยเถิดไป
ตอนนี้พอคิดๆ ดู นางสงสัยว่าคนผู้นี้คงถูกตนถีบจนกลายเป็นขันทีไปแล้ว เขาไม่บันดาลโทสะก็แปลก
ทว่า…เฉียวเจาอดชายตามองเซ่าหมิงยวนไม่ได้
พักก่อนในเมืองหลวงมีเสียงโจษจันเซ็งแซ่ว่ากวนจวินโหวหมดน้ำยา แม้แต่นางยังได้ยินได้ฟัง
มาตรว่าในฐานะผู้เป็นหมอ นางดูไม่ออกว่าเขามีปัญหาใด แต่เขาทำได้อย่างไรถึงเผชิญหน้ากับข่าวลือน่าอับอายพรรค์นั้นโดยไม่สะดุ้งสะเทือน
หรือว่าจะมีโรคร้ายแอบแฝงที่นางดูไม่ออกกัน
สายตาของเฉียวเจาที่ตวัดผ่านตัวเซ่าหมิงยวนแฝงนัยเคลือบคลุม
เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าแววตาของเด็กสาวดูแปลกๆ รู้สึกไม่วายว่าคุณหนูหลีเข้าใจอะไรผิดเสียแล้ว
แม่ทัพหนุ่มขบคิดต้นสายปลายเหตุไม่ออก เขายื่นฟันของคนร้ายให้นาง “คุณหนูหลีเก็บไว้ให้ดีๆ”
เฉียวเจาทำสีหน้าชอบกล “เก็บให้ดี?”
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนกลับมีสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่รู้เรื่องวิชาแพทย์แม้สักกระผีก แต่ได้ยินมาว่ายาเป็นพิษ พิษเป็นยา ไม่แยกแขนงกัน คุณหนูหลีจะลองศึกษาดูได้หรือไม่ว่าที่ซ่อนอยู่ในฟันของคนผู้นี้เป็นพิษอะไร ถ้ายืนยันได้ว่ายาพิษรุนแรงที่ทำให้คนจบชีวิตได้ทันทีทันใดเช่นนี้เป็นชนิดใด ไม่แน่ว่าอาจได้เบาะแสว่าเขาอยู่ใต้อาณัติกลุ่มอำนาจสายใด”
“ได้เจ้าค่ะ” พอได้ยินว่าเป็นเรื่องงาน ต่อให้เฉียวเจารู้สึกขยะแขยงปานใดก็ไม่บอกปัด นางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อฟันซี่นั้นไว้อย่างดี
“ขณะนี้ไม่เหมาะจะพูดอะไรมาก ไปเถอะ พวกเราเข้าไปข้างในก่อน”
หัวหน้าภิกษุมอบหมายงานต่างๆ เรียบร้อย
ภิกษุกลุ่มหนึ่งตรวจค้นในอารามซูอิ่งต่อ กลุ่มหนึ่งไปสำรวจรอบนอก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่เก็บศพของเหล่าภิกษุณีที่เสียชีวิต
“ซือฟู่ อารามซูอิ่งไม่ปลอดภัยแล้ว ข้าอยากพาคุณหนูหลีกลับไปที่วัดต้าฝู ไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือไม่” เซ่าหมิงยวนไต่ถาม
หัวหน้าภิกษุกล่าว “ถึงแม้ในวัดมีห้องรับรองเตรียมไว้ให้ผู้มาจุดธูปไหว้พระได้พักผ่อน แต่ยังไม่เคยมีสตรีอยู่ค้างแรมมาก่อน ทว่าตรงข้างป่าไผ่นอกประตูลานทางตะวันตกของวัดมีหมู่กระท่อมไม้ไผ่สร้างไว้ติดๆ กันแถวหนึ่ง สามารถให้สตรีพำนักชั่วครั้งชั่วคราวได้”
“ตกลง ข้าจะย้ายออกจากวัดไปคอยดูแลจิ้งซีซือฟู่กับคุณหนูหลีเอง”
เซ่าหมิงยวนกล่าวถ้อยคำเดียวก็ผูกเฉียวเจาโยงไว้กับจิ้งซีซือฟู่แล้ว
หัวหน้าภิกษุย่อมจะไม่คัดค้าน “อาตมาจะส่งศิษย์วัดที่มีวรยุทธ์ไปช่วยท่านโหวคุ้มครองพวกนาง อมิตาภพุทธ หวังเพียงว่าจะพบตัวซือไท่โดยเร็วที่สุดจึงจะดี”
หลังจากนั้นคนทั้งวัดต้าฝูมีงานยุ่งวุ่นวายไปตามๆ กัน บรรยากาศตึงเครียดปกคลุมวัดชื่อดังนานนับร้อยปีแห่งนี้ ส่งผลให้ภิกษุจำนวนมากที่เพิ่งพบเจอเหตุดินถล่มมาหมาดๆ ไม่อาจสงบจิตใจบำเพ็ญเพียรได้
เฉียวเจาย่างเท้าออกจากกระท่อมไม้ไผ่
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ข้างกอไผ่สูงชะลูดเขียวขจี อาภรณ์สีขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงทีนุ่มนวลดุจกิ่งไผ่ ปราศจากรังสีพิฆาตใดๆ ให้เห็นสักนิด
“จิ้งซีซือฟู่หลับแล้วหรือ” ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา เขาหมุนกายมา
เฉียวเจาเดินไปถึงข้างกายเขาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “อื้อ หลังจิ้งซีซือฟู่โดนตีศีรษะอย่างแรงดูเหมือนจะกระทบกระเทือนถึงสมอง ทำให้ความทรงจำขาดหายไปบ้าง นางกินยากล่อมอารมณ์แล้วนอนหลับไป บางทีตื่นขึ้นมาอาจจะจำอะไรๆ ที่เป็นเบาะแสได้มากขึ้น”
เซ่าหมิงยวนเอามือจับต้นไผ่เขียวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “ความทรงจำขาดหายไปหรือไม่ ผู้เป็นหมอจะวินิจฉัยอย่างแม่นยำได้หรือไม่”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “นี่จะเป็นไปได้เช่นไร สมองของคนเราเป็นส่วนซับซ้อนที่สุด ทั้งไม่อาจผ่าออกดูได้ แล้วจะยืนยันได้อย่างไรว่าความทรงจำขาดหายหรือไม่ ความหมายของแม่ทัพเซ่าคือ…”
นางเหลียวมองไปข้างหลังแวบหนึ่ง ลดสุ้มเสียงเบาลง “จิ้งซีซือฟู่อาจจะแสร้งทำ?”
“จิ้งซีซือฟู่แสร้งทำหรือไม่ ข้าไม่มั่นใจ ทว่าคนร้ายไว้ชีวิตนางเพียงคนเดียวจะต้องมีเหตุผลพิเศษ ข้าสังหรณ์ใจว่าถ้าไขเหตุผลนี้ได้ ดีไม่ดีอาจสืบหาตัวคนร้ายได้ก็ไม่แน่”
เฉียวเจาพยักหน้า “ไม่ผิด ยังมีบาดแผลบนลำคอจิ้งซีซือฟู่รอยนั้น มันบ่งบอกว่าเริ่มแรกคนร้ายคิดจะเอาชีวิตนาง แต่เป็นเหตุผลอะไรถึงทำให้คนร้ายเปลี่ยนใจ”
“นั่นสิ เหตุผลอะไรที่ทำให้คนร้ายเปลี่ยนใจ” เซ่าหมิงยวนมองไปทางวัดต้าฝูพลางกล่าวเสียงเบา
เดิมทีเขามีเรือนกายสูงใหญ่อยู่แล้ว เฉียวเจายืนอยู่ข้างๆ ยิ่งดูตัวเล็กบอบบาง นางต้องแหงนคอถึงจะเห็นสีหน้าเขาได้ถนัด
เขารู้สึกได้ว่าเด็กสาวมองตนอยู่เลยก้มหน้าลง “คุณหนูหลียังค้นพบอะไรอีกหรือ”
เฉียวเจากระแอมกระไอให้คอโล่ง “แม่ทัพเซ่าคิดว่าในวัดต้าฝูไม่ปลอดภัยหรือเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนเผยรอยยิ้มบางๆ “มิใช่ในวัดต้าฝูไม่ปลอดภัย แต่ก่อนที่ความจริงของเรื่องนี้จะเปิดเผยออกมา ที่ใดๆ ก็ไม่ปลอดภัยเท่าข้างกายข้า”
เฉียวเจาเหยียดมุมปาก ชิ ช่างหน้าหนาดีแท้!
แท้ที่จริงเซ่าหมิงยวนมิได้มีความหมายอื่นใด แต่ท่าทีของเด็กสาวทำให้เขากระดากกระเดื่องทันใด เขาไอเบาๆ ทีหนึ่งแล้วเอ่ยอธิบาย “ในความคิดข้า วัดต้าฝูเข้าข่ายน่าสงสัยอย่างปฏิเสธไม่ได้จริงๆ บัดนี้ถนนบนเขาใช้การไม่ได้ วัดต้าฝูกับอารามซูอิ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่แน่ว่าคนร้ายผู้นั้นอาจจะซ่อนตัวอยู่ในวัดต้าฝูก็เป็นได้ กระนั้นมีจุดหนึ่งที่ข้าขบไม่แตก”
“แม่ทัพเซ่าขบอะไรไม่แตกเจ้าคะ”
“ถนนจากวัดต้าฝูไปอารามซูอิ่งมีคนผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา หากคนร้ายพาตัวอู๋เหมยซือไท่ไปซ่อนตัวในวัดต้าฝูจริงๆ เขาจะเล็ดลอดหูตาผู้คนได้อย่างไร”
“ยังมีถนนอีกเส้นหนึ่งเจ้าค่ะ” สีหน้าของเฉียวเจาเคร่งเครียดขึ้นทันใด “เสวียนจิ่งบอกข้าว่าจากวัดต้าฝูไปที่อารามซูอิ่งยังมีอีกทางหนึ่ง”