หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 316
บทที่ 316
“อีกทางหนึ่ง?” เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้นอย่างหลากใจ
คิ้วของเขาเป็นทรงกระบี่สมส่วน เรียวยาวคมเข้ม หากนัยน์ตากลับดำสนิทเป็นประกายอบอุ่นอ่อนโยน
“ใช่เจ้าค่ะ เสวียนจิ่งบอกว่าถนนเส้นนี้ถูกทิ้งร้างมานานแล้ว”
“เหนื่อยหรือไม่”
เฉียวเจางงงันกับคำถามนี้ นางมองเซ่าหมิงยวนนิ่งๆ
“ถ้ายังทนไหว พวกเราไปดูด้วยกัน ถ้ารู้สึกเหนื่อย อย่างนั้นรอท่านพักผ่อนเต็มที่แล้วค่อยไปพร้อมกัน”
รูปการณ์ยามนี้ เขาไม่คิดจะปล่อยให้คุณหนูหลีคลาดสายตาตนอีกต่อไป
“ทนไหวเจ้าค่ะ ไปด้วยกันเถอะ” เฉียวเจาเองยังหวาดผวาไม่หายกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นางแลมองบุรุษร่างสูงสง่าดุจต้นสนตรงหน้านี้แล้วพลันบังเกิดความสะทกสะท้อนใจเหลือแสน
บนกำแพงเมืองเยี่ยนวันนั้น หากมิใช่บุรุษผู้นี้ตัดสินใจยิงธนูอย่างเด็ดขาด นางจะพบกับบทลงเอยอย่างไร
ที่แท้ยามตกอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ ยังน่ากลัวกว่าที่นึกภาพไว้เป็นหมื่นเท่า
จวบจนขณะนี้ เฉียวเจาถึงขั้นยังรู้สึกถึงลมหายใจหนักๆ จากอารมณ์ราคะที่พ่นออกจากปากคนผู้นั้น
เซ่าหมิงยวนสังเกตว่าแม้เด็กสาวเบื้องหน้าจะมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ลึกเข้าไปในดวงตากลับไหวระริกด้วยความหวาดกลัวที่ยังสลัดทิ้งไม่ได้ ต่อให้นางพยายามไม่แสดงออกมาอย่างสุดความสามารถ ยังคงไม่อาจหลุดลอดสายตาเขาไปได้
เขาพบเห็นแววตาเช่นนี้ที่แดนเหนือมานักต่อนักแล้ว สตรีที่เขาเคยช่วยไว้มากมายล้วนเคยเผยแววตาเช่นนี้ให้เห็นทั้งสิ้น
ที่แท้สตรีจะเข้มแข็งปานใดก็กลัวเป็น ไม่ว่านางจะแสดงท่าทางไม่อนาทรร้อนใจสักเพียงใด
ชั่วเสี้ยวเวลานี้ ราวกับมุมที่อ่อนนุ่มที่สุดในหัวใจชายหนุ่มโดนกระทบแผ่วเบาคราหนึ่ง รู้สึกเจ็บๆ หน่วงๆ อยู่บ้าง หากที่มากกว่าคืออับจนปัญญา
ถ้าทำได้ เขาอยากกอดนางไว้ในอ้อมอก ช่วยบดบังลมฝนให้นางไปตลอดชาติเหลือเกิน
แต่เขาทำไม่ได้
แม่ทัพหนุ่มยกมือขึ้นจะตบไหล่ของเด็กสาว สุดท้ายกลับปล่อยทิ้งลงข้างลำตัวอย่างรักษามารยาท เอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า “ไปกันเถอะ”
เฉียวเจาหลุบตาลง “อื้อ”
นางออกเดินไปข้างหน้ากับเขา รำพึงในใจว่า ใจอ่อนไม่ได้ ถึงเขาสมควรยิงธนูดอกนั้นแล้วจะมีอันใด ถ้ามิใช่ข้าแต่งงานกับเขาแล้วจะไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ถึงใจข้าจะปล่อยวางเรื่องธนูดอกนั้นได้และให้อภัยเขาแล้ว แต่คงจะซาบซึ้งใจไม่ได้กระมัง
แม่นางเฉียวชักขุ่นเคืองกับความไม่เอาไหนของตนเอง
“คุณหนูหลี…” เซ่าหมิงยวนหมุนกายขวับกลับมา
แม่นางเฉียวซึ่งปล่อยใจลอยไปไกลอยู่ตลอดหยุดฝีเท้าไม่ทันจนชนเข้ากับเขา
หน้าผากของนางแตะกับหัวไหล่ชายหนุ่ม เขาประคองนางไว้ด้วยสองมือ
“ระวัง” ทั้งที่เป็นสัมผัสเบาๆ คราเดียว เซ่าหมิงยวนกลับคุ้นเคยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกแล้ว เขาบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกอย่างนั้นคืออะไร แต่ใบหูกลับร้อนวาบๆ อย่างช่วยไม่ได้
เขาไม่รอให้เฉียวเจายืนทรงตัวให้ดีก็ดึงมือกลับ
นางตัวเซเกือบล้มหน้าคะมำ จึงขึงตาใส่เขาอย่างสุดระงับ
ถ้าจะทำอย่างนี้ อย่าประคองดีกว่า!
เซ่าหมิงยวนกระอักกระอ่วนเหลือหลาย เขาอยากขอขมาทว่าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีเลยหมุนกายเดินต่อไป
เฉียวเจาอดถามขึ้นไม่ได้ “แม่ทัพเซ่า เมื่อครู่ท่านเรียกข้ามีเรื่องใดหรือ”
เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพูดด้วยรอยยิ้มกระดากๆ “จู่ๆ ก็ลืมไปแล้ว”
เขาอยากบอกนางว่าไม่ต้องกลัว แต่คิดดูอีกทีพูดคำนี้ไปจะมีความหมายอันใดเล่า
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปเงียบๆ จนพบกับเสวียนจิ่ง จมูกของเณรน้อยแดงก่ำจากการร่ำไห้
เฉียวเจาย่อกายลง “ซือฟู่น้อยร้องไห้ด้วยเหตุใด”
“อาตมาไม่ได้ร้องไห้” เสวียนจิ่งลุกลนใช้แขนเสื้อเช็ดตา เขาเงยหน้าเอ่ยถามด้วยน้ำตาคลอเบ้า “สีกามาหาอาตมามีเรื่องใดหรือ วันนี้อาตมาไม่อยากกินขนมสายไหมรังนก”
ฮือๆๆ พวกอาจารย์ป้าใจดีในอารามซูอิ่งตั้งหลายคนล้วนจากไปหมดแล้ว น่าเศร้าเหลือเกิน!
เฉียวเจาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหางตาเขา พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกข้ามาหาซือฟู่น้อยเพราะมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ”
“เรื่องใดกัน”
“ก่อนหน้านี้ซือฟู่น้อยบอกว่าจากวัดต้าฝูยังมีถนนอีกเส้นหนึ่งไปยังอารามซูอิ่งได้มิใช่หรือ จะพาพวกข้าไปดูสักหน่อยได้หรือไม่”
“อ้อ ได้สิ…” เสวียนจิ่งมองเซ่าหมิงยวนพลางกะพริบตาปริบๆ จนแพขนตายาวกระพือขึ้นลง
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เขา
เณรน้อยนิ่วหน้าทันที
“…” ถึงข้าไม่นับว่ารูปงาม แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เด็กน้อยตกใจกระมัง
กับเด็กน้อยที่อ่อนวัยยิ่งกว่าเฉียวหว่าน สีหน้าของคนบางคนปรากฏแววงงงวยทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง
“ซือฟู่น้อยเป็นอะไรไป” เฉียวเจาถามอย่างฉงนใจ
“ประสกกับสีกาโปรดรอสักครู่” เสวียนจิ่งบอกคำหนึ่งแล้วหันหลังก้าวขาสั้นๆ วิ่งเข้าไป ทิ้งให้เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนมองหน้ากันไปมา
เฉียวเจานิ่งเงียบไปประเดี๋ยวหนึ่งถึงถามขึ้น “หลายวันมานี้แม่ทัพเซ่าพักอยู่ในวัดได้พูดคุยกับเสวียนจิ่งซือฟู่บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“เปล่า” เซ่าหมิงยวนงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
เขาไม่รู้วิธีรับมือกับเด็กเล็กๆ มากที่สุด ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาไม่เข้าใกล้เป็นอันขาด
“ข้ารู้สึกไม่วายว่าซือฟู่น้อยไม่ค่อยชอบท่านนะ” เฉียวเจาบอกความรู้สึกตามสัตย์จริง
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
ไม่นานนักเสวียนจิ่งวิ่งฉับๆ กลับมา ในมือถือหมั่นโถวไว้สองลูก “ประสก หมั่นโถวนี้ให้ท่าน”
เณรน้อยเขย่งส้นเท้าขึ้นเอาหมั่นโถวยัดใส่มือชายหนุ่ม
เขาถือหมั่นโถวไว้ด้วยสองมืออย่างงงงัน
เซ่าหมิงยวนนึกว่าซือฟู่น้อยมีอคติต่อตน ที่แท้เข้าใจผิดไป ซือฟู่น้อยเอาหมั่นโถวมาให้เขากินต่างหาก
“ประสกรีบกินเถอะ กินแล้วท่านจะได้มีเรี่ยวแรง” เสวียนจิ่งมองเขาด้วยสีหน้าวาดหวัง
“…” มีเรี่ยวแรงหมายความว่าอะไร
ทีแรกเฉียวเจายังงุนงงอยู่บ้าง ครั้นมองสบนัยน์ตาสุกใสของเณรน้อย นางก็กระจ่างแจ้งในบัดดล
วันนั้นเสวียนจิ่งถามถึงปิงลวี่ นางไม่อยากให้เขาเสียใจถึงหลอกเขาว่าเซ่าหมิงยวนไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะพานางกับปิงลวี่กลับมาพร้อมกัน…
เฉียวเจามองเขาแวบหนึ่ง นางยกมุมปากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ดังนั้นเซ่าหมิงยวนจึงโดนเณรน้อยปรามาสอยู่ในใจเรื่อยมาใช่หรือไม่
“เมื่อก่อนอาจารย์อาเคยบอกข้าว่ากินหมั่นโถวเยอะๆ ถึงจะตัวสูง แม้ประสกตัวสูงขึ้นไม่ได้แล้ว แต่กินหมั่นโถวช่วยให้มีแรง เช่นนี้พอพวกเราเจอกับอันตราย ประสกจะได้แบกอาตมากับสีกากลับมาด้วยกันได้” เสวียนจิ่งอธิบายด้วยสีหน้าขึงขัง
มาตรว่าเขาจะอายุน้อย กลับล่วงรู้ว่าที่อารามซูอิ่งเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น ข้างนอกนั้นอันตรายอย่างมาก อันที่จริงเขาไม่กลัว แค่เป็นห่วงว่าสีกาตกอยู่ในอันตรายแล้วจะทำอย่างไรเล่า
หลังได้ยินคำกล่าวของเสวียนจิ่ง สีหน้าแม่ทัพหนุ่มนั้นเรียกได้ว่าน่าดูชมสุดจะกล่าว เขาสวาปามหมั่นโถวลงท้องลูกหนึ่งเงียบๆ กลับพบว่าเณรน้อยยังมองตนด้วยสีหน้าวาดหวังดังเก่า ได้แต่ฝืนกินหมั่นโถวอีกลูกอย่างว่องไว
ระหว่างที่เดินอยู่ เซ่าหมิงยวนอดรนทนไม่ไหว ก้มหน้ากระซิบถามเฉียวเจา “คุณหนูหลี ท่านพูดอะไรแปลกๆ กับซือฟู่น้อยกันแน่”
“เปล่าเจ้าค่ะ” แม่นางเฉียวเหลือบตามองฟ้า ไร้เดียงสานัก เรื่องอะไรข้าจะยอมบอกท่านเล่า
เซ่าหมิงยวนลอบกดๆ ท้อง จุกเสียจริง!
เฉียวเจาชำเลืองเห็นท่าทางของเขาทางหางตา นางยกมุมปากโค้งขึ้นอย่างสุดระงับ พูดเสียงค่อยว่า “ท่านกลับพาซื่อ ให้ท่านกินสองลูกท่านก็กิน”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าจนใจ “ถ้าไม่กิน เกิดเขาร้องไห้จะทำฉันใด”
เด็กสาวกลอกตาขึ้นด้วยกิริยาที่ไร้ความสง่างามสักเศษเสี้ยว
“ถึงแล้ว” เณรน้อยผู้นำทางหยุดฝีเท้าแล้วยกมือชี้บอก “ขึ้นไปจากตรงนี้เอง”
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสามแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นถนนสายหนึ่ง ทางเดินศิลาเขียวแคบๆ โดนปกคลุมด้วยหญ้ารกชัฏจนหมด เห็นก้อนหินโผล่ออกมาเพียงรำไรๆ
เซ่าหมิงยวนย่อกายลงบอกเสียงนุ่ม “ซือฟู่น้อย ข้าอุ้มท่านดีหรือไม่”
เณรน้อยไม่เข้าใจความห่วงใยของผู้ใหญ่ เขาโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องอุ้มอาตมา ประสกอุ้มสีกาก็พอแล้ว”