หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 318
บทที่ 318
ระหว่างที่เดินไปยังกระท่อม เฉียวเจาพูดกับเซ่าหมิงยวนเสียงเบาๆ
“แม่ทัพเซ่า ข้ายังคงรู้สึกว่าเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนที่คนร้ายจะซ่อนตัวอยู่ในวัดต้าฝู ก่อนหน้านี้ข้ากลับไปถึงอารามซูอิ่ง มิใช่เคราะห์ร้ายถึงเจอเข้ากับคนร้าย แต่เขาซุ่มรอข้าอยู่ นี่บ่งชัดว่าเขาแจ่มแจ้งว่าข้าไปฝังเข็มให้ท่านที่วัดต้าฝูเวลาใด กระนั้นเขาไม่เลือกลงมือตอนข้าไปที่นั่น เพราะเช่นนั้นจะทำให้ท่านสงสัย มีเพียงรอข้าฝังเข็มให้ท่านเสร็จแล้วกลับไปค่อยฆ่าปิดปากถึงถ่วงเวลาไปถึงวันพรุ่งนี้กว่าเรื่องจะแดงขึ้น หากคนร้ายเป็นคนภายนอก ไหนเลยจะรู้อะไรๆ ได้ละเอียดเช่นนี้”
“ไม่สำคัญว่าจะซ่อนตัวอยู่ในวัดต้าฝูหรือไม่ คนร้ายต้องเกี่ยวข้องกับวัดต้าฝูเป็นแน่ ไปกัน พวกเราไปดูว่าจิ้งซีซือฟู่ตื่นหรือยัง”
ทั้งสองกลับถึงกระท่อม เฉียวเจาเอ่ยถามภิกษุที่อยู่นอกห้องของจิ้งซี “ซือฟู่ จิ้งซีซือฟู่ตื่นหรือยังเจ้าคะ”
ภิกษุประนมมือให้นาง “สีกาเข้าไปดูได้”
นางหันหน้าไปบอกเซ่าหมิงยวน “ข้าเข้าไปดูก่อนนะเจ้าคะ”
เขาผงกศีรษะตอบรับคำพูดนาง
เด็กสาวเดินเข้าไปเห็นจิ้งซียังหลับสนิทอยู่ นางจึงออกจากห้องเงียบๆ แล้วส่ายหน้ากับเซ่าหมิงยวน
เขากับนางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่หลังกระท่อมไม้ไผ่
เฉียวเจาหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พับทบอย่างเรียบร้อยออกมาคลี่ออกเผยให้เห็นฟันซ่อนพิษซี่นั้น
ตรงส่วนรากฟันเป็นสีเหลืองคล้ำชวนให้คลื่นไส้ แต่นางกลับใช้เข็มเงินเขี่ยเศษพิษก้อนเล็กๆ มาดมที่ใต้จมูก
เซ่าหมิงยวนประหลาดใจเป็นอันมาก เขานึกว่าพวกสตรีต้องรู้สึกขยะแขยงกับของจำพวกนี้
นางชายตามองเขา พูดเสียงเรียบว่า “มองข้าด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
ราวกับอ่านใจชายหนุ่มออก นางเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ข้าย่อมรู้สึกขยะแขยงแน่ แต่ตรวจออกว่าเป็นพิษอะไรสำคัญกว่ามิใช่หรือเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าพลางเพ่งมองนางอย่างพินิจ สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างที่ตนเองยังนึกไม่ถึง “ใช่”
เฉียวเจาทุ่มสมาธิไปที่ฟันซี่นั้น นางดมกลิ่นแล้วมุ่นคิ้วพูด “ไม่ใช่สารหนู”
“ดมออกได้ด้วยหรือ” เขาถามยิ้มๆ
“อื้อ สารหนูมีกลิ่นขมแบบเมล็ดซิ่ง แยกแยะได้ง่ายมากเจ้าค่ะ” เฉียวเจาใช้ผ้าเช็ดหน้ารองมือยามจับฟันที่ส่วนรากเป็นสีเหลืองซี่นั้นพลิกไปพลิกมา นางกล่าวอย่างลังเลใจ
“มีกลิ่นคาวอ่อนๆ กลับคล้ายน้ำพิษบางชนิดที่รีดออกมาจากตัวสิ่งมีชีวิต”
“สิ่งมีชีวิต?”
เฉียวเจาช้อนตามองเขา บอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เป็นต้นว่าพิษงู”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเคร่งขรึมลง “หากเป็นสิ่งมีชีวิตล่ะก็ จำเป็นต้องยืนยันให้ได้ว่าเป็นพิษที่สกัดจากตัวอะไรกันแน่ให้ได้”
แต่ละพื้นที่ย่อมต้องมีสิงสาราสัตว์ต่างกัน ถ้าโชคดีอาจถึงขั้นอาศัยจุดนี้คาดเดาได้ว่าเป็นนักรบพลีชีพที่ฝึกฝนบ่มเพาะมาจากกลุ่มอำนาจฝ่ายใด
“คุณหนูหลีแยกแยะออกหรือไม่”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ยังไม่ได้ตอนนี้ ที่นี่ไม่มีอะไรสักอย่าง คิดจะยืนยันให้ได้ว่าเป็นพิษอะไรแน่จำเป็นต้องมีของหลายอย่างมากมาช่วยในการทดสอบพิสูจน์ คงได้แต่รอออกไปแล้วค่อยว่ากันอีกที ดีที่พิษจำพวกนี้เก็บรักษาไว้ได้นาน ล่าช้าไปสองสามวันไม่ส่งผลใด”
“เช่นนั้นรอออกไปแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“แม่ทัพเซ่า ท่านจะส่งข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นในอารามซูอิ่งออกไปข้างนอกหรือไม่เจ้าคะ”
บัดนี้คนภายนอกรู้กันหมดแล้วว่าเซ่าหมิงยวนมีความสามารถขึ้นลงเขาได้ อู๋เหมยซือไท่หายตัวไปเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่ส่งข่าวนี้ออกไป ภายหลังอาจโดนเบื้องบนตำหนิโทษได้
“ต้องส่งออกไป ข้าส่งสัญญาณไปแล้ว กำลังรอพิราบสื่อสารจากองครักษ์อยู่”
เฉียวเจาแปลกใจอยู่สักหน่อย เขาไม่คิดจะออกไปด้วยตนเองหรอกหรือ
คล้ายจะคาดเดาความคิดของนางได้ เซ่าหมิงยวนคลายยิ้มพลางกล่าว “ที่นี่ศัตรูอยู่ที่ลับเราอยู่ที่แจ้ง ซ้ำยังมีปริศนาซับซ้อนซ่อนเงื่อน ทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวอันตรายเกินไป”
“ที่แท้ข้ากลายเป็นภาระของแม่ทัพเซ่าไปเสียแล้ว” เฉียวเจายิ้มอย่างอ่อนใจ
“ไม่ใช่” เซ่าหมิงยวนแย้งกลับเสียงเด็ดขาด
เมื่อปะทะกับนัยน์ตาลึกล้ำของเด็กสาว เขาพูดอย่างจริงจัง “คุณหนูหลีอย่าได้คิดเช่นนี้ ตอนนี้ข้าต้องให้ท่านฝังเข็มทุกวันอย่างขาดไม่ได้ จะมิใช่ภาระของคุณหนูหลีหรือไร”
เฉียวเจาอมยิ้มน้อยๆ นับว่าเจ้าคนโง่ผู้นี่ยังรู้ตนเองดี
“ประสกกับสีกา ศิษย์พี่จิ้งซีตื่นแล้ว” ภิกษุรูปหนึ่งเดินมาบอก
เฉียวเจาเข้าไปในกระท่อม
“จิ้งซีซือฟู่ ตอนนี้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่ ยังปวดศีรษะอีกหรือไม่เจ้าคะ”
จิ้งซีกึ่งนั่งกึ่งนอน “ดีขึ้นมากแล้ว ที่แท้คุณหนูหลีซานรู้วิชาแพทย์ด้วย”
“ร่ำเรียนกับท่านปู่บุญธรรมมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ จิ้งซีซือฟู่ ท่านติดตามซือไท่มานานหลายปีแล้วกระมัง”
“ใช่แล้ว ตั้งแต่ซือไท่ปลงผมในอาราม อาตมาก็ถูกส่งมาปรนนิบัติท่าน คุณหนูหลีซาน เวลานี้มีข่าวคราวของซือไท่หรือยัง”
“ยังไม่มีเจ้าค่ะ ท่านเจ้าอาวาสของวัดต้าฝูมอบหมายให้ซือฟู่ทั้งหลายออกค้นหาทั่วทุกที่ จิ้งซีซือฟู่ทำใจให้สบายๆ”
“อมิตาภพุทธ ใครๆ ล้วนกล่าวว่าสำหรับผู้ออกบวช ทุกสิ่งคือความว่างเปล่า ทว่าคนที่ทำได้อย่างแท้จริงเกรงว่าคงสำเร็จอรหันต์ไปนานแล้ว ขอพูดโดยไม่กลัวคุณหนูหลีซานจะหัวเราะเยาะ ยามอาตมาคิดถึงว่าบัดนี้ยังไม่รู้ว่าซือไท่เป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็เหมือนหัวใจถูกมีดกรีด”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของจิ้งซีซือฟู่ได้เจ้าค่ะ แม้ข้าจะได้คลุกคลีกับซือไท่แค่ไม่กี่เดือน กลับศิโรราบในจริยวัตรอันงดงามของซือไท่แต่แรกแล้ว” เฉียวเจาพิศดูสีหน้าของจิ้งซี จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “จิ้งซีซือฟู่อยู่กับซือไท่มานานถึงเพียงนี้ เคยได้ยินซือไท่เอ่ยว่ามีสิ่งของพิเศษอะไรบางอย่างอยู่ในความครอบครองบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
จิ้งซีส่ายหน้าช้าๆ “หลังอาตมาฟื้นขึ้นมาได้คิดทบทวนดูแล้ว ไม่มีเลย”
“ซือไท่ไม่ได้พูดหรือทำเรื่องที่ผิดปกติเลยหรือ จิ้งซีซือฟู่ลองคิดให้ดีๆ นี่อาจจะเกี่ยวพันถึงว่าจะตามหาซือไท่ได้ราบรื่นหรือไม่”
จิ้งซีนิ่งตรึกตรอง “เมื่อแรกที่ซือไท่มาอยู่ในอาราม อาตมายังเยาว์วัย จำได้เลือนรางว่ายามนั้นซือไท่มักนอนไม่หลับทั้งคืนบ่อยๆ แต่นี่เป็นธรรมดาของคนกระมัง ไม่นับว่าผิดปกติ แต่ภายหลังกิจวัตรประจำวันของซือไท่ก็ค่อยๆ เป็นปกติแล้ว”
นางเล่าถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อย “ขออาตมาคิดก่อน ต่อมาดูเหมือนซือไท่ยังมีช่วงที่นอนหลับไม่สนิทอีก หนหนึ่งเป็นเมื่อสามปีที่แล้ว…”
สามปีที่แล้วเป็นตอนที่ท่านปู่สิ้นลมพอดี
ไม่รู้ด้วยเหตุใด ทั้งที่รู้ถึงจิตใจของอู๋เหมยซือไท่ที่มีต่อท่านปู่ กลับยากมากที่นางจะบังเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อองค์หญิงที่หันหน้าเข้าทางธรรมมาครึ่งค่อนชีวิต
เมื่อนึกถึงอู๋เหมยซือไท่ นางมักสะทกสะท้อนใจมากกว่า
คำว่า ‘รัก’ คำเดียวนี้คือบ่อเกิดแห่งทุกข์โดยแท้
กระนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าการหายตัวไปของอู๋เหมยซือไท่ไม่เกี่ยวอันใดกับการจากไปของท่านปู่
“ยังมีจุดน่าแปลกอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีดีดักมาแล้ว ซือไท่เคยลงเขาหนหนึ่ง หลังกลับมาก็นอนหลับไม่สนิทอีกหลายวัน” จิ้งซีทอดถอนใจ “สาเหตุที่อาตมาจดจำได้เพราะว่าซือไท่อยู่ในอารามมาหลายสิบปี นั่นเป็นเพียงครั้งเดียวที่ลงเขา”
“จิ้งซีซือฟู่ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นเป็นปีใดเจ้าคะ”
“สักยี่สิบปีแล้วกระมัง อืม…ขณะนี้เป็นรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบห้า ตอนนั้นเป็นรัชศกหมิงคังปีที่ห้า”
“จิ้งซีซือฟู่ลงเขาไปกับซือไท่ด้วยหรือไม่เจ้าคะ แล้วรู้หรือไม่ว่าซือไท่พบกับใคร”
“คนที่ไปกับซือไท่มิใช่อาตมา เป็นสาวใช้ที่ปลงผมพร้อมกับซือไท่ในครั้งนั้น แต่ศิษย์พี่ท่านนั้นล่วงลับไปหลายปีแล้ว” จิ้งซีดึงความคิดคืนมา “เรื่องผ่านไปเนิ่นนานปานนั้น ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเคราะห์ภัยในครานี้ของซือไท่”
“ถ้าอย่างนั้นจิ้งซีซือฟู่เคยพบกับเรื่องแปลกๆ บ้างหรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเจาสบช่องการสนทนากำลังเป็นไปด้วยดีนี้หันเหไปถามเกี่ยวกับตัวจิ้งซีเอง
นางแย้มยิ้มเอ่ย “ตั้งแต่จำความได้อาตมาก็อยู่ในอารามแล้ว ชีวิตแต่ละวันล้วนไม่ต่างกันเท่าไร”
“จิ้งซีซือฟู่เคยช่วยคนเอาไว้หรือว่าคบหาสหายอะไรบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“อาตมาลงเขาน้อยครั้งมากจึงไม่มีโอกาสคบหาสหาย ส่วนเรื่องช่วยคน…” จิ้งซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เคยให้หมั่นโถวลูกหนึ่งกับคนที่หิวจนแทบเป็นลมตรงเชิงเขา นอกจากนี้แล้วไม่มีเรื่องใดเป็นพิเศษอีก”
“เช่นนั้นจิ้งซีซือฟู่พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ ข้าจะไปสอบถามดูอีกทีว่าสถานการณ์คืบหน้าไปถึงที่ใด หากมีข่าวของซือไท่จะรีบมาบอกให้ท่านทราบเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณคุณหนูหลีซานมาก”
จากนั้นเฉียวเจาก็เดินออกจากห้องไป