หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 319
บทที่ 319
เซ่าหมิงยวนนั่งอยู่บนพื้นหญ้าริมป่าไผ่ มีนกพิราบสื่อสารสีเทาตัวหนึ่งบินถลาลงมากระโดดวนเวียนอยู่ข้างเท้า
เขายื่นมือไปหาพร้อมกับผิวปากเป็นท่วงทำนองแปลกพิสดาร เจ้านกพิราบก็กางปีกบินมาอยู่ในอุ้งมือเขา
เฉียวเจาสาวเท้าเข้ามานั่งลงด้านข้าง ถามอย่างสนใจใคร่รู้ “นี่เป็นนกพิราบสื่อสารที่ผ่านการฝึกฝนมาโดยเฉพาะหรือเจ้าคะ”
“ใช่” เซ่าหมิงยวนเอาแผ่นกระดาษส่งข่าวที่ม้วนเป็นท่อนเล็กจิ๋วที่เตรียมไว้แล้วใส่เข้าไปในกระบอกทองแดงตรงขานกพิราบ จากนั้นชูมือขึ้นปล่อยมันบินไป
เฉียวเจามองตามนกพิราบสื่อสารที่หายลับไปในท้องฟ้าจนตาลอย
“คุณหนูหลีชอบนกพิราบหรือ” เซ่าหมิงยวนผินหน้าถามเด็กสาวด้านข้าง
เฉียวเจาหลุดจากภวังค์ “จะบอกว่าชอบนกพิราบเช่นนี้ก็ไม่เชิงเจ้าค่ะ ขอแค่เป็นนกที่บินได้ข้าล้วนชื่นชอบ จริงสิ เมื่อครู่ข้าซักถามจิ้งซีซือฟู่จนได้รู้เรื่องอดีตบางส่วนเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวพันกับการหายตัวไปของอู๋เหมยซือไท่หรือไม่”
“คุณหนูหลีลองว่ามาให้ฟังที”
“จิ้งซีซือฟู่บอกว่าหลังจากอู๋เหมยซือไท่มาอยู่ที่อารามซูอิ่งเนิ่นนานถึงเพียงนี้เคยลงเขาเพียงหนเดียว แต่ว่าเป็นเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อน”
“รัชศกหมิงคังปีที่ห้าหรือ”
“ใช่ เป็นรัชศกหมิงคังปีที่ห้า ตอนนั้นแม่ทัพเซ่าเพิ่งเกิดกระมัง”
นางกับเซ่าหมิงยวนมีอายุเท่ากัน ต่างถือกำเนิดในรัชศกหมิงคังปีที่ห้า
ปีนั้นสำหรับอู๋เหมยซือไท่แล้ว เกิดเรื่องที่ไม่ธรรมดาอะไรกันแน่นะ
เซ่าหมิงยวนได้ยินเด็กสาวที่อ่อนวัยกว่าตนถึงแปดปีเต็มๆ กล่าววาจาด้วยน้ำเสียงแก่แดดแก่ลมแล้วรู้สึกชวนขันอย่างสุดระงับ “ไม่ผิด ตอนนั้นข้าเพิ่งเกิด”
รัชศกหมิงคังปีที่ห้า เขายังเป็นเด็กทารกแบเบาะ ท่านพ่อบอกว่ามารดาบังเกิดเกล้าของเขาตายเพราะคลอดยาก จากนั้นเขาถูกอุ้มกลับจวนจิ้งอันโหวในฐานะบุตรชายคนรองสายเลือดภรรยาเอกแทน
เขาเคยถามท่านพ่อว่าฝังศพมารดาไว้ที่ใด ท่านพ่อบอกว่าฝังอยู่ที่คฤหาสน์โรงนาชานเมืองของจวนโหวในฐานะบ่าวไพร่ เขาตามไปที่นั่น เห็นเป็นเนินดินเล็กๆ ไม่มีป้ายหลุมศพ
เขาคุกเข่าอยู่หน้ากองดินที่มีหญ้าขึ้นรกบดบังไว้แทบไม่เห็นจุดนั้น อดคิดไม่ได้ว่าคนที่ฝังอยู่ข้างใต้คือมารดาผู้ให้กำเนิดเขาหรือ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางเคยกล่าวโทษว่าเขากับท่านพ่อไม่เคยมาเยี่ยมนางบ้างหรือไม่
รัชศกหมิงคังปีที่ห้าเป็นปีที่ไม่ธรรมดาสำหรับเขาเหมือนกันมิใช่หรือ
“จิ้งซีซือฟู่บอกว่าในปีนั้นหลังอู๋เหมยซือไท่ลงเขาไปแล้วกลับมาก็นอนไม่หลับตอนกลางคืนอยู่นานระยะหนึ่ง น่าเสียดายว่าผ่านไปนานแสนนานแล้ว อีกทั้งอารามซูอิ่งยังตัดขาดจากโลกภายนอก คิดจะสืบว่ายามนั้นอู๋เหมยซือไท่ลงเขาไปทำอะไรก็ไม่ต่างอันใดกับฝันกลางวัน” เฉียวเจากล่าวทอดถอนใจ
เซ่าหมิงยวนวางสองมือยันกับพื้นหญ้าพลางแหงนคอมองท้องฟ้าสีคราม แสงแดดอบอุ่นทำให้เขาสบายตัวขึ้นมาก “เรื่องเก่าแก่เกินไปสืบได้ยากมากจริงๆ”
หากทำได้เขาอยากรู้เหลือเกินว่ามารดาบังเกิดเกล้าเป็นสตรีเช่นใด มีชาติกำเนิดอย่างไร แล้วท่านยังมีญาติพี่น้องเหลืออยู่ในโลกนี้อีกหรือไม่ น่าเสียดายที่ท่านพ่อไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้สักคำ
“แต่มีเรื่องหนึ่งอาจจะสืบได้” เฉียวเจาก็วางสองมือยันกับพื้นดึงต้นหญ้าเล่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย
เซ่าหมิงยวนเบือนหน้ามามองนาง
“จิ้งซีซือฟู่บอกว่าเคยมีบุญคุณให้อาหารคนที่หิวโหยแทบเป็นลมตรงเชิงเขาลั่วสยา สมมติว่าจิ้งซีซือฟู่ไม่ได้ปิดบังอะไรไว้ พวกเราลองสืบดูได้ว่าคนผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับวัดต้าฝูในภายหลังหรือไม่” เฉียวเจามองกระท่อมไม้ไผ่แวบหนึ่งก่อนพูดเสียงค่อย “ถ้าจะพูดว่าคนร้ายมีช่องโหว่อะไรล่ะก็ การไว้ชีวิตจิ้งซีซือฟู่เพียงคนเดียวก็คือช่องโหว่ใหญ่ที่สุด แม่ทัพเซ่าเห็นว่าอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีเบาะแสมากไปกว่านี้ จะมองข้ามความเป็นไปได้แม้เพียงน้อยนิดใดๆ ไม่ได้จริงๆ”
นกพิราบสื่อสารสีเทาบินผ่านเส้นทางภูเขาที่ปิดตายอยู่ไปร่อนลงในมือของเซ่าจือ
เจียงสืออีเดินเข้ามาใกล้เขาเงียบๆ
เซ่าจือตวัดสายตามองอีกฝ่ายแล้วหันหลังไปแกะกระบอกทองแดงบนตัวนกพิราบสื่อสาร และหยิบกระดาษสารออกมาจากในนั้น
เจียงสืออีอ้อมไปตรงหน้าเขาอีก ไต่ถามเสียงเย็น “กวนจวินโหวส่งข่าวอะไรมา”
มารดามันเถอะ! เซ่าจือลอบสบถคำหนึ่ง
ขณะนี้ใครๆ ก็รู้กันหมดแล้วว่าท่านแม่ทัพของพวกเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ส่งข่าวในภูเขาออกมาได้ ฉะนั้นข่าวทุกอย่างล้วนมิใช่ความลับ
ถึงกระนั้นไฉนคนผู้นี้ถึงน่าชังเช่นนี้ ต่อให้ต้องเปิดเผยข่าวที่ท่านแม่ทัพส่งออกมาต่อทุกๆ คน แต่จำเป็นต้องเกาะติดถึงเพียงนี้ประหนึ่งสุนัขตามเจ้าของต้อยๆ ด้วยหรือ
องครักษ์จินหลินเก่งกาจมากมิใช่รึ ในเมื่อเก่งนักไฉนไม่เข้าไปเองเล่า
เซ่าจือคลี่กระดาษสารออก กวาดตาอ่านปราดเดียวก็หน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน
“เรื่องอะไร” เจียงสืออียื่นมือขอกระดาษสาร
ช่างไร้ความเกรงอกเกรงใจจริง! เซ่าจือแอบเบะมุมปากทีหนึ่ง จากนั้นส่งกระดาษสารให้เจียงสืออีอย่างกระแทกกระทั้น
เจียงสืออีเปิดออกอ่าน บนใบหน้าเฉยชาปรากฏแววประหลาดใจ
“ถ้ากวนจวินโหวยังส่งข่าวอื่นออกมาอีก โปรดแจ้งให้ข้าทราบด้วย” เจียงสืออีเดินฉับๆ ไปด้านข้าง กวักมือเรียกองครักษ์จินหลินคนหนึ่งมาสั่งกำชับเบาๆ สองสามคำ
องครักษ์จินหลินผู้นั้นพลิกกายขึ้นม้าควบตะบึงจนฝุ่นตลบจากไปทันที
ตอนที่ได้ข่าวว่าอู๋เหมยซือไท่หายตัวไป เจียงถังกำลังนั่งรับลมบนเก้าอี้เอนหลังอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนของเรือนตน เขาตกใจจนพัดใบลานในมือตกลงพื้น
“แน่ใจนะว่าเป็นข่าวที่กวนจวินโหวส่งออกมาจากในภูเขา”
“เรียนท่านผู้บัญชาการใหญ่ ท่านสิบเอ็ดเห็นกับตาว่าองครักษ์ของกวนจวินโหวหยิบสารแจ้งข่าวจากขาของนกพิราบสื่อสารขอรับ”
เจียงถังลุกขึ้นยืนโคลงศีรษะพร้อมรอยยิ้มขื่นๆ เขาเดินไปข้างหน้าพลางพูด “พักนี้ไม่สงบสุขเอาเสียเลย จริงสิ คุณหนูหลีซานปลอดภัยดีกระมัง”
“เรื่องนี้ท่านสิบเอ็ดไม่ได้พูดขอรับ”
เจียงถังระบายลมหายใจเบาๆ
กวนจวินโหวไม่เอ่ยถึงก็แสดงว่าแม่นางน้อยผู้นั้นปลอดภัยไม่เป็นอะไร
ว่าไปแล้วไฉนเด็กสาวผู้นี้ไปถึงที่ใดเป็นต้องเกิดเรื่องร้ายที่นั่นนะ
ความคิดวาบเข้ามาในหัว เจียงถังคลายยิ้ม เขานึกในใจ ขอแค่แม่นางน้อยนั่นไม่เป็นอะไรก็พอ ระยะนี้ตั้งแต่กินยาลูกกลอนถอนพิษ เขาก็สบายไปทั้งเนื้อทั้งตัว
“ท่านพ่อ ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ” เจียงซือหร่านเดินเข้ามาหา
“พ่อจะผลัดชุดเข้าวังสักหน่อย”
“ป่านนี้แล้วท่านยังจะเข้าวังอีกหรือเจ้าคะ”
“มีเรื่องสำคัญ หร่านรานอยู่ในเรือนตามลำพังต้องกินข้าวมากๆ”
เจียงซือหร่านเบ้ปาก “กินข้าวคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ท่านพ่อต้องเข้าวัง พี่สือซานก็ไม่อยู่เรือน ท่านพ่อ หรือไม่ข้าตามท่านเข้าวังเถอะ”
เจียงถังปั้นหน้าขรึม “เหลวไหล พ่อเข้าวังเพราะมีเรื่องงานต้องเข้าเฝ้า เจ้าจะตามไปทำอะไร”
“ข้าไปเยี่ยมเจินเจินน่ะสิเจ้าคะ นางไปที่อารามซูอิ่งแล้วพบกับเหตุดินถล่มไม่ใช่หรือ วันก่อนข้าเข้าวังไปเยี่ยม นางกำลังนอนพักอยู่พอดีเลยไม่ได้เจอตัวเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะไปเยี่ยมองค์หญิงเก้าเมื่อไรก็ได้ จำเพาะต้องตามพ่อไปให้วุ่นวายด้วย” เจียงถังขมวดคิ้ว
บุตรสาวผู้นี้ของเขาถูกเขาตามใจจนเหลิงแล้วจริงๆ ดูเหมือนตั้งแต่วัยเยาว์ก็ไม่มีสหายสนิทอะไร มีแต่องค์หญิงเก้าที่มีไมตรีกับบุตรสาวไม่เลว
“ท่านพ่อ ไปด้วยกันนะเจ้าคะ ไปด้วยกันกลับด้วยกันไม่ดีหรือ” เจียงซือหร่านคล้องแขนกับบิดาพลางพูดอ้อนวอนเสียงออดอ่อย
“เอาเถอะ ถ้าเจ้าออกมาก่อนก็ไม่ต้องรอพ่อ นั่งรถม้ากลับเรือนเอง จำได้หรือไม่”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”